บุบผาร้อยเสน่ห์ นิยาย บท 523

บทที่523 กระแสน้ำ

บนหน้าผาที่อยู่ห่างออกไป เสื้อคลุมของกู้อ้าวเวยถูกลมหนาวพัดมา แต่ตอนที่จับบังเหียนแน่นหยุดอยู่ตรงที่หน้าผา กดหน้าแนบแน่นผมยุ่งแทบจะปิดตา นางแค่กลับตัวลงจากม้านั่งลงบนหน้าผาสูงชันนี้แล้วเอาเสบียง ถุงน้ำออกมา

เสื้อคลุมสีเทาเข้มบดบังใบหน้านางไปครึ่ง นางมองความยุ่งเหยิงภายใต้ทหารม้าที่อยู่ไกลๆ  ไม่อาจรู้สึกถึงความเดือดพล่านไม่อาจต้านได้ที่เหล่าทหารพูดถึง มีเพียงแต่ความเปล่าเปลี่ยวเท่านั้น

นางไม่ได้ใช้อาวุธเข้าสนามรบฆ่าศัตรู การฆ่าอย่างกระหายเลือดนั่นก็ไม่ได้เกี่ยวกับนางสักนิด

“คนอย่างล่ายเสวียนข้าเดาไม่ออก”กู้อ้าวเวยพึมพัมกับตนเองใช้นิ้วเขี่ยอาหารยัดเข้าปาก รออยู่ตรงหน้าผารับลมหนาว

หน้าผาชันแห่งนี้ คนที่สามารถพาม้าขึ้นมาได้นั้นมีเพียงไม่กี่คน ถึงแม้ว่าจะขึ้นมาแล้วจริงๆแต่ที่สูงเช่นนี้ก็ไม่มีประโยชน์สำหรับการรบด้วยเหตุนี้นางจึงสามารถรอได้อย่างสบายใจ มองพระอาทิตย์ตกพระจันทร์ขึ้นอีกหนึ่งคืนที่นอนไม่หลับ

ล่ายเสวียนเริ่มนับจำนวนศพและอาวุธแต่เช้าตรู่ เหล่าทาสก็ได้แต่ยืนอัดแน่นกันอยู่ในกรงเพื่อที่จะให้ร่างกายอบอุ่นในความหนาวแต่เพราะการยืนเป็นเวลายาวนานก็เกิดการอ่อนล้า อาหารถังใหญ่ก็ถูกป้อนเข้าปากทีละช้อนๆ

ล่ายเสวียนกำหมัดแน่นอย่างไม่รู้ตัวทุกๆครั้งที่เดินจึงเดินไปข้างหน้า: “เอาพวกเขาออกมา”

“ฮ่องเต้สั่งไว้ว่าห้ามให้ทาสพวกนี้ได้รับอิสระ”รองแม่ทัพที่กู้เฉิงส่งมาเองขวางเขาไว้ มือกดไปที่ไหล่เขาด้วยแรง: “ตราบใดที่มีคนใดคนหนึ่งหายไปก็จะไม่มีทาสคนไหนได้เข้าแคว้นใหม่”

“แต่เขาเคยพูดแล้วว่าหลังจากนี้จะไม่มีทาสอีก พวกเขาจะมีชื่อ……”

“พวกนั้นเป็นแค่เพียงคำชวนเชื่อตอนนี้พวกเราต้องการคนจำนวนมาก เหล่าทาสที่ใช้โอกาสวุ่นวายหลบหนีคือกำลังคนที่ดีที่สุด บางทีอาจรออีกสักสิบกว่าปีพวกเขาก็อาจจะไม่ใช่ทาสแล้ว”รองแม่ทัพถึงกับหัวเราะขึ้นมาเบาๆ มองเหล่าทาสที่อยู่ในกรงขังอย่างเหยียดๆ: “พวกเขาเกิดมาก็เป็นทาสออกจากกรงขังนี้ไปจะสามารถทำอะไรได้?”

ล่ายเสวียนหยุดอยู่กับที่ไม่ได้ไปขัดขวาง ในใจก็นึกถึงวันที่อยู่บนท้องถนนกับกู้อ้าวเวย

ทุกครั้งตอนที่ค้างแรมข้างนอก นางก็จะจัดวางสาวใช้ไว้ในมุมที่อบอุ่นปลอดภัยส่วนตนเองไปอยู่ด้านนอกหันหลังให้กับพวกเขากลุ่มทหารเหล่านี้ ในรถม้าก็จะใช้น้ำเขียนตัวอักษรไว้บนโต๊ะแล้วให้เหล่าสาวใช้เลือก

แล้วก็ยังมีดวงตาที่ปฏิบัติต่อเด็กๆด้วยรอยยิ้มเสมอ: “ในอนาคตพวกเจ้าต้องรู้จักตัวอักษรเยอะๆจะได้มีอนาคต สามารถไปสอบขุนนางได้แล้วก็สามารถทำธุรกิจ แม้เพียงเป็นการช่วยคนวิ่งเต้นให้ทำงานระยะยาวหรือระยะสั้นก็ยังดีกว่าปัจจุบัน”

“คนก็ควรจะมีชื่อ ควรนั่งกินข้าว ยืนเดินบนถนน เจ้าเป็นอิสระ”

นี่คือประโยคที่กู้อ้าวเวยพูดกับเหล่าสาวใช้บ่อยที่สุด

แต่เขากลับพาเหล่าทาสเข้าสนามรบอย่างไร้ความรู้สึก พวกเขาใช้อาวุธไม่เป็นทั้งหมดได้แค่สามารถพึ่งกำลังที่ดุร้ายแม้แต่ขนาดมีดยาวยังยกขึ้นมาป้องกันไม่ได้เลย

ตอนที่เขากำลังคิดเพ้อเจ้ออยู่นั้นทหารที่ปกป้องเมืองก็รีบร้อนเข้ามาแล้วเอาขนมส่งให้ในมือเขา: “นอกประตูมีคนอยากพบท่านอยู่ที่นอกประตูเมือง”

ล่ายเสวียนก็สะดุ้งเล็กน้อย ส่งคนไปเปิดประตูเมืองแล้วต้อนรับคนเข้ามา

แต่คนบนม้าในชุดสีเทากลับพูดเสียงดังว่า: “มีอะไรที่ข้าช่วยเจ้าได้ไหม?”

ล่ายเสวียนมองไปยังระหว่างดวงตากับเสื้อคลุมสีเทาที่ปลิวว่อน เอาขนมที่แสนล้ำค่าในมือห่อกลับอีกครั้งแล้วพูดว่า: “เจ้าชนะเดิมพันแล้ว”

กู้อ้าวเวยหัวเราะขึ้นมาเบาๆ ดึงบังเหียนแล้วเปลี่ยนทิศทางออกไปเหลือทิ้งไว้เพียงประโยคไว้กับสายลม: “คนที่ชนะคือเจ้า”

ไม่มีคนรู้ว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้นจำได้แค่เพียงว่าชุดสีเทากับม้าสีดำจากไปอย่างรวดเร็วแล้วประตูเมืองทั้งสีก็ทยอยถูกล็อกปิดตายด้วยโซ่ตรวน

ชุดเกราะเปื้อนเลือดบนตัวล่ายเสวียนยังไม่ถูกเอาออก แววตามองอย่างเคร่งขรึม

“ข้าล่ายเสวียนไม่รับใช้กษัตริย์ รับใช้เพียงแค่ประชาชน”

“ปล่อยตัวทาสในเมืองทั้งหมดไม่ว่าจะแคว้นใหม่เจียงเยี่ยนก็ตาม”

“ผู้ใดที่ไม่เคารพทาสเหมือนมนุษย์จะถูกฆ่าอย่างไร้ปรานี”

ทันใดนั้นทั้งเมืองก็เหมือนอยู่ในกระทะน้ำมัน รองแม่ทัพที่กู้เฉิงส่งตัวมาก็พาทหารพุ่งไปที่กำแพงเมือง แต่ในตอนที่กำลังก้าวขึ้นบันไดกำแพงเมืองก็ถูกทหารที่เคยต่อสู้เคียงบ่าเคียงไหล่กดลงไปไว้ที่พื้นทั้งเลือดและน้ำตาผสมปนกัน

“ทาสยังไงก็เป็นทาสไปชั่วชีวิต! จะมาเป็นคนได้อย่างไร!” มีคนตะโกนร้องขึ้นมาค่อยๆยกอาวุธในมือขึ้นมาแล้วพุ่งไปทางกรง

ทหารม้านับพันปราบปรามเขาอย่างไร้ปรานี

ตอนที่ทุกกรงถูกเปิดออก เลือดและน้ำตาผสมผสานไปกับเสียงโห่ร้องของผู้คนนับไม่ถ้วน

กลางเมืองเหลือแต่บรรยากาศแห่งการสังหารแต่ล่ายเสวียนเพียงแค่ยืนมองสิ่งที่เกิดขึ้นทั้งหมดอย่างเงียบๆไม่ไหวติง มีเพียงแต่ลมหายใจที่อยู่ในปอดขยายจนถึงขีดสุดกั้นทางเดินหายใจเขา

ส่วนกู้อ้าวเวยกลับไปที่หน้าผาอีกครั้งก็ไม่เพียงแค่ได้ยินเสียงโห่ร้องในเมืองแต่เห็นผู้ชายยืนถือมือไขว้หลังอยู่ที่หน้าผาอย่างเหน็ดเหนื่อย

“เลือดของการปฏิวัติกับเลือดในสงครามสุดท้ายก็มีสีที่ไม่เหมือนกัน” กู้อ้าวเวยก้าวไปข้างหน้าแล้วมองลงมายังความวุ่นวายกลางเมือง: “แต่น่าเสียดายที่ล่ายเสวียนไม่ใช่ผู้นำเขาเป็นแค่เพียงคนคนหนึ่งท่ามกลางกระแสน้ำที่ควบคุมสถานการณ์ใดๆไม่ได้”

“ครั้งนี้เจ้าไม่ได้ไปช่วยพวกเขาเอง ถ้าเจ้าจัดคน พวกเขาอาจจะไม่โกรธเคืองแล้วฆ่ากันเองเช่นนี้”ซ่านจินจื๋อดึงหมวกนางลงแล้วช่วยจัดผมที่ยุ่งเหยิง

“แต่ก่อนข้าก็คิดเช่นนี้แต่ตอนนี้ข้ารู้สึกว่า นี่คือกรรมของพวกเขา ถ้ามีคนเห็นก่อนแล้วปกปิดในอนาคตพวกเขาอาจจะเป็นเพียงอากาศไม่มีผู้ใดเห็น” กู้อ้าวเวยมองรอบๆ: “ท่านเอาม้าข้าไปซ่อนไว้ที่ไหน?”

“มันวิ่งไปเองแล้วข้าก็เลยมารับเจ้าด้วยตนเอง” ซ่านจินจื๋อเดินมาข้างๆนาง: “ลมหนาวแรงเช่นนี้ ขาสองข้างเจ้านี่ไม่ต้องแล้วใช่ไหม?”

“ข้าแค่อยากรู้แล้วก็ไม่มีอะไรทำ ดังนั้นจึงมาที่นี่”กู้อ้าวเวยไม่สนใจว่าซ่านจินจื๋อมาจากไหนเพียงแต่พูดเบาๆว่า: “ตอนแรกข้าคิดว่าล่ายเสวียนจะพาคนไปยังที่ที่ข้าเตรียมไว้ไม่คิดว่าเขาจะปกป้องเมืองอย่างกล้าหาญเช่นนี้ ถ้าให้แคว้นใหม่เจียงเยี่ยนรู้…….”

“คนที่ข้าส่งมาอยู่นอกเมือง”ซ่านจินจื๋อดึงนางออกเล็กน้อย

เสียงของเกือกม้านั้นแม้อยู่บนเขาก็ยังมองเห็น ทั้งสองคนมองหน้ากันกู้อ้าวเวยเพียงแค่เอามือเขาออก: “ท่านนี่ฉลาดจริงๆข้าแค่ก้าวเพียงก้าวเดียวท่านก็รู้ได้ทันทีว่าข้าจะทำอะไรต่อไป”

“ไม่เพียงเท่านี้ เจ้ายังอยากให้เงินกับเสบียงถึงมือล่ายเสวียนในไม่ช้า” ซ่านจินจื๋อยิ้มให้กับสิ่งนี้แล้วจูงมือนางลงเขา

“ในอีกไม่กี่วันซูพ่านเอ๋อก็จะมาถึงแคว้นเอ่อตาน ท่านอย่าเพิ่งปรากฏตัวให้นางคิดว่าระหว่างท่านกับเขายังมีมิตรภาพอยู่” กู้อ้าวเวยพูดแล้วก็หันข้างไปมองซ่านจินจื๋อ: “เรื่องทรมานนางเกรงว่าจะยกให้ท่านไม่ได้”

“ก็ถือว่าเป็นการลงโทษของข้าละกัน” ในใจซ่านจินจื๋อรู้สึกขมขื่นแต่ก็ยังคงอุ้มนางขึ้นมาอย่างคล้อยตาม: “ได้ยินมาว่ากุ่ยเม่ยก็เคยอุ้มเจ้าขึ้นเขาลงเขา ตอนนี้ข้าก็ควรชดเชยมันกลับมา”

“ตามใจ”กู้อ้าวเวยยกมือขึ้นแล้วคล้องคอเขาไว้เบาๆ

เมืองใต้หน้าผา ซ่านจินจื๋อใช้ทหารม้าปิดล้อมเมืองที่จริงเป็นการป้องกัน ล่ายเสวียนมองร่างผู้ตายในเมืองส่วนเหล่าแม่ทัพที่เป็นทาสก็ร้องไห้เสียงดังไม่หยุด เสียงร้องดังไปไกล

 

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: บุบผาร้อยเสน่ห์