ปรมาจารย์การแพทย์ นิยาย บท 14

ตอนที่ 14 ตอนนี้ฉันเป็นญาติของคุณ

ตุ้บ! จางฮุ่ยล้มลงบนพื้นอย่างแรง ทำให้หินอ่อนแตกราวกับว่าอวัยวะของเขาระส่ำระสายไปหมด ใบหน้าครึ่งหนึ่งของเขาอาจดูชาแต่ความเจ็บปวดระทมทุกข์ยังคงแผ่ซ่านไปทั่วร่างกายของเขา ซึ่งนั่นทำให้จางฮุ่ยตกใจอย่างมาก ไอ้เด็กนี่แข็งแกร่งแค่ไหนกัน แค่ตบเดียวก็เอาชนะเขาได้เลยเหรอ จางฮุ่ยมีความชำนาญในศิลปะการต่อสู้ของเขาและไม่ได้พูดเกินจริงเลยว่าไม่มีใครเอาชนะเขาได้ เขาไม่เคยแพ้ แต่ตอนนี้การตบได้แทบคร่าชีวิตเขาไปแล้ว แม้แต่ตัวเขาเองแทบไม่อยากจะเชื่อเลย ฉินจวิ้นยกขาของเขาขึ้นพลางเหยียบกระทืบไปที่ใบหน้าอีกด้านหนึ่งของจางฮุ่ย แม้ว่าจะเป็นเพียงขาแต่น้ำหนักที่เหยียบลงบนใบหน้านั้นราวกับว่าเอาภูเขาลงมาบดบนหน้า สามารถได้ยินแม้กระทั่งเสียงกระดูกที่ร้าวราวกับว่าสมองของเขากำลังจะระเบิด จางฮุยรู้แน่ว่าเขาจะถูกกระทืบตายแน่ถ้าไม่ร้องขอชีวิต ไม่กี่วินาทีก่อนหน้านี้เขายังคงเยาะเย้ยฉินจวิ้น เรียกเขาว่าแมลงวันและเรียกตัวเองว่ามีดปังตออย่างภาคภูมิใจ แต่หลังจากนั้นไม่นาน เขาก็ถูกทำให้ร่วงลงกับพื้นและขอความเมตตาจากฉินจวิ้นให้ปล่อยเขา ซึ่งในขณะเดียวกันตระกูลถังตกตะลึง ไอ้เด็กฉินจวิ้นคนนี้แข็งแกร่งขนาดนั้นได้อย่างไร จางฮุ่ยเป็นผู้เชี่ยวชาญที่มีชื่อเสียงในโลกของศิลปะการต่อสู้ มีหลากหลายตระกูลเสนอที่จะจ้างเขาด้วยราคาสูงเสียดฟ้า แต่เขาปฏิเสธ แต่ตอนนี้ปรมาจารย์เทพผู้นี้กำลังล้มลงพ่ายแพ้ฉินจวิ้นเนี่ยนะ ฉินจวิ้นยกขาของเขาขึ้นพลางมองไปที่จางฮุ่ย ซึ่งในสายตาของเขานั้นไร้ประโยชน์ราวกับแอ่งน้ำขัง เขาหยิบเข็มเงินออกมาก่อนจะฝังมันไว้บนหัวของเขา “ฉันไม่อยากให้มือแปดเปื้อนเพราะฉะนั้นจะให้เวลาแกสองนาทีเพื่อบอกให้พวกมันคุกเข่าลงต่อหน้าฉัน” จางฮุ่ยที่มีสภาพอยู่ระหว่างเป็นกับตายนั้น จู่ๆ ก็มีพลังเพราะเข็มเงินที่ฝังในหัวของเขา จางฮุ่ยนั้นกลัวฉินจวิ้นมาก เขาลุกขึ้นด้วยสภาพโซเซและไม่กล้าที่จะฝ่าฝืนคำสั่งของเด็กหนุ่ม เพราะไม่เพียงแต่เขาจะเป็นแพทย์ผู้เชี่ยวชาญเท่านั้น เขายังเป็นนักศิลปะการต่อสู้ในแบบฉบับของเขาเองอีกด้วย เขากำลังกุมชีวิตและความตายของคนหนึ่งอยู่เชียว จางฮุ่ยลุกขึ้นพลางเดินไปหาตระกูลถัง และเตะเข่าของพวกเขาให้ล้มลงทีละคน นอกจากเสียงกระดูกที่แตกร้าวแล้ว ภายในบ้านก็เต็มไปด้วยเสียงร้องอย่างเจ็บปวดระงมไปหมด เหลือเพียงคนสุดท้ายคือถังเทียนฮ้าวซึ่งต้องนั่งรถเข็น จางฮุ่ย ยกคอเสื้อของเขาราวกับว่าเขากำลังยกลูกเจี๊ยบตัวเล็กๆ และเหวี่ยงโยนมันลงที่พื้นตรงหน้าฉินจวิ้น ซึ่งเข่าของถังเทียนฮ้าวก็กระแทกพื้นดังแกร้บ กระตุ้นความเจ็บปวดสุดสาหัสจากบาดแผลเก่า แน่นอนเขาเจ็บปวดอย่างมากและเหงื่อกาฬผุดขึ้นเต็มไปหมด และไม่สามารถเคลื่อนไหวได้เลย ครอบครัวถังทั้งหมดกลัวตัวสั่น “ฉิน...ฉินจวิ้นพวกเราเป็นญาติกันนะ เมื่อแกยังเด็ก ฉันเคยให้อั่งเปาแกในช่วงตรุษจีนด้วยนะ” ฉินจวิ้นมองไปตามเสียงก่อนจะยิ้มอ่อน “ญาติเหรอ” “เมื่อกี้แกสั่งให้เขาฆ่าฉัน เคยแบบนี้มาก่อนไหมนะ ตระกูลฉินถูกกำจัดในชั่วข้ามคืนและพวกแกทุกคนก็ทำตัวเป็นใบ้และหูหนวกตาบอด ตอนนั้นคิดว่าเราเป็นญาติของตัวเองจริงๆ น่ะเหรอ แล้วยังตอนที่คุณขังป้าเฟิงไว้ในกรงอีก ตอนนั้นคุณคิดว่าเราเป็นญาติจริงหรือเปล่า” “แต่ตอนนี้พวกแกทุกคนคุกเข่าต่อหน้าฉัน กระดิกหางอย่างสำนึกผิดและร้องขอการให้อภัยเนี่ยนะ ตระกูลถึงที่ดูเหมือนจะเก่งมากที่กลับกลายเป็นสุนัขตัวเล็กๆ ที่ร้องขอชีวิต” ถังเทียนฮ้าวนั่งคุกเข่าบนพื้นรู้สึกข้างในด้านชาไปหมด “ฉินจวิ้นตอนนี้ฉันไม่มีอะไรจะพูดจริงๆ แต่หวังว่าแกจะปล่อยเไปเพื่อเห็นแก่น้องสาวคนเล็กของเรานะ” ฉินจวิ้นเย้ยหยัน “แกยังกล้าพูดถึงแม่ของฉันอีกเหรอ! ช่างมันเถอะ ไม่มีประโยชน์ที่จะเปลืองน้ำลายกับขยะอย่างแก...จะปล่อยไปก็ได้ แต่มีเงื่อนไขสามข้อ” “ก่อนอื่น ให้ก้มกราบป้าเฟิงและขอโทษเธอ” ถังเทียนฮ้าวกัดฟันพยายามทนต่อความเจ็บปวดที่หัวเข่าพลางหันตัวกลับไป เขาหมอบตัวไปข้างหน้าและแตะศีรษะลงกับพื้นต่อหน้าป้าเฟิง "ฉันขอโทษ" และตระกูลถังที่เหลือก็ทำตามทั้งหมด ป้าเฟิงน้ำตาซึม หลังจากหลายปีที่ผ่านมา ในที่สุดเธอก็สามารถปลดปล่อยความคับข้องใจที่กักขังอยู่ในใจได้แล้ว “อย่างที่สอง ตั้งแผ่นป้ายวิญญาณบรรพบุรุษไว้สำหรับแม่ของฉันที่นี่ และถวายเครื่องบูชาแก่ท่านทุกวัน” แม่ของฉินจวิ้นยังคงเป็นสมาชิกของตระกูลถัง ดังนั้นเธอจึงสมควรที่จะเป็นเจ้าของป้ายวิญญาณที่ระลึกในห้องโถงบรรพบุรุษ “ตกลงพวกเราจะทำ” “และสุดท้ายแต่ไม่ท้ายสุด ภายในอีกสองวันให้หลัง รวบรวมตระกูลของพวกแกทั้งหมดให้สวมชุดไว้ทุกข์และสวดภาวนาต่อหน้าหลุมฝังศพของตระกูลฉินซะ” "แต่นี่มัน..." ถังเทียนฮ้าวรู้สึกลังเลเล็กน้อย “ฉันไม่อยู่ในฐานะที่จะตัดสินใจได้หรอกนะ” ฉินจวิ้นเย้ยหยัน เอื้อมมือออกไปและบีบคอของถังเทียนฮ้าวก่อนที่จะยกเขาขึ้นด้วยมือเดียว “แกชอบถูกทรมานนักใช่ไหม? หรือฉันควรจะจบชีวิตแกเลยตอนนี้ดีไหม” ถังเทียนฮ้าวแทบช็อกตาย ขาของเขาเตะอากาศไปทั่วและพึมพำไม่เป็นภาษาในระหว่างที่เขาถูกยกขึ้นสูงโดยการบีบคอ “ตกลง ตกลง แน่นอน ฉันจะทำตาม" ฉินจวิ้นปล่อยมือและปล่อยให้เขาล้มลงกับพื้น “แกต้องแจ้งเรื่องนี้แก่ถังหลงหมินถ้าฉันไม่เห็นแกที่นั่นแกเจอดีแน่” "ได้ยินที่พูดชัดนะ" ถังเทียนฮ้าวและคนอื่นพยักหน้าหงึกหงักอย่างเชื่อฟัง เนื่องจากพวกเขาเป็นสมาชิกในครอบครัวของแม่ เด็กหนุ่มจึงตัดสินใจไม่ใช้วิธีที่โหดร้ายที่สุดในการจัดการนัก เห็นได้ชัดว่าถังเทียนฮ้าวเป็นนักเลงด่านหน้าให้กับถังหลงหมิน ผู้อาวุโสของตระกูลถังซึ่งเป็นหลานของแม่ของฉินจวิ้นนั่นเอง ทุกคนในตระกูลนี้รวมถึงถังหลงหมินเองก็ต้องแสดงความเคารพต่อตระกูลฉินที่หลุมฝังศพของพวกเขากันทั้งหมด... หลังจากที่พูดจบ ฉินจวิ้นและป้าเฟิงก็ออกจากบ้านตระกูลถัง ผู้คนที่ยังคุกเข่ามองหน้ากันด้วยความกระอักกระอ่วนใจ ไม่มีใครมีแรงพอที่จะยืนขึ้นได้เลย เพราะเด็กหนุ่มคนนั้นน่ากลัวเกินไป “พี่ใหญ่....แล้วพ่อจะว่ายังไงกับเรื่องนี้” ความเจ็บปวดแผ่ซ่านไปทั่วร่างกายของถังเทียนฮ้าว เพราะร่างกายครึ่งหนึ่งเกือบเป็นอัมพาตไปแล้ว เขาทำเพียงแค่ส่ายหัว “ฉันไม่รู้ว่าจะยังไงนะ แต่ทั้งหมดที่รู้ตอนนี้ก็คือฉันไม่สามารถเสี่ยงชีวิตด้วยการต่อสู้กับหมอนั่นอีกแล้ว” คนในตระกูลถังก็เป็นเพียงสิ่งมีชีวิตที่เห็นแก่ตัว พวกเขามักจะเห็นแก่ผลประโยชน์ของตนเองเหนือสิ่งอื่นใด ในช่วงเวลานั้นถังเทียนฮ้าวไม่สนใจอีกแล้วว่าพ่อของเขาจะคิดยังไงกับเรื่องนี้ สมาชิกในครอบครัวคนอื่นๆ พยายามช่วยพยุงถังเทียนฮ้าวให้ลุกขึ้นจากพื้น เขาถูกทรมานสองครั้งแล้วจากฉินจวิ้นอย่างที่ไม่เคยเจอมาก่อนและอาจารย์จางซึ่งตอนนี้ใบหน้าเป็นอัมพาต มองไปยังถังเทียนฮ้าวซึ่งกำลังนั่งอยู่บนรถเข็นและพูดว่า "คุณไม่ควรเป็นศัตรูกับเด็กนั่นอีกแน่ๆ " พูดจบเขาก็เดินออกไป ความสามารถของฉินจวิ้นนั้นเหนือความคาดหมายนัก เรื่องที่เกิดขึ้นก่อนหน้าทำให้จางฮุ่ยตระหนักได้ว่าเขาไม่ใช่คู่ต่อสู้ของฉินจวิ้น ปรมาจารย์อย่างฉินจวิ้นไม่ใช่คนที่ตระกูลถังจะจัดการได้ง่ายๆ เลย คำพูดของจางฮุ่ยทำให้ถังเทียนฮ้าวต้องระมัดระวังมากยิ่งขึ้น และถังเทียนฮ้าวที่นั่งอยู่บนรถเข็นก็แจ้งให้พ่อเขาทราบเรื่องนี้ทันที และนั่นทำให้ถังหลงหมินโกรธมาก “ไร้สาระ ไร้สาระสิ้นดี!" “ไอ้เด็กเหลือขอตระกูลฉินนั่น มันกล้าดียังไงที่ไม่เคารพฉันในฐานะญาติผู้ใหญ่เลยเหรอ” ถังหลงหมินโกรธมากจนทำถ้วยแตก การแต่งงานกับฉินทำให้พวกเขาเกือบจะสูญเสียอนาคตหากไม่ใช่เพราะถังหลงหมินที่ตัดสินใจต่อต้านฉินพวกเขาอาจประสบชะตากรรมเดียวกันก็เป็นได้ เขาไม่ได้คาดหวังว่าเด็กน้อยคนนี้จากตระกูลฉินจะกลับมาเลยสักนิด

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ปรมาจารย์การแพทย์