เข้าสู่ระบบผ่าน

รัชทายาทจอมเจ้าเล่ห์ นิยาย บท 4

หัวใจของหลี่เฉินหนักอึ้ง เขารู้ว่า ฮ่องเต้กำลังทดสอบตัวเอง

ผลงานของเจ้าของร่างเดิมนั้นไม่ค่อยดีนัก จนถึงขั้นที่ว่าแม้แต่วินาทีสุดท้ายของฮ่องเต้ พระองค์ก็ยังไม่กล้าที่จะมอบภาระของประเทศไว้บนบ่าของเขา

ตอนนี้อาจกล่าวได้ว่า การกระทำของเขานั้นจะเป็นตัวกำหนดชะตากรรมของเขาในท้ายที่สุด

“ความยากในการบริหารแผ่นดิน เกิดจากปัญหาภายในและภายนอก”

หลี่เฉินผสมผสานความทรงจำจากเจ้าของร่างเดิม เข้ากับความรู้ทางประวัติศาสตร์เกี่ยวกับการขึ้นและลงของราชวงศ์ที่เขาอ่านก่อนทะลุมิติมา จากนั้นก็กล่าวว่า “ปัญหาจากภายนอก มาจากพวกคนเถื่อน เฉวี่ยนหรง หนู่เจิน ซยงหนู นอกจากนี้ยังมีพิษร้ายที่เหลือรอดจากอดีตราชวงศ์หยวน ซึ่งต้องการทำลายต้าฉินของพวกเรา”

“ปัญหาจากภายใน มาจากการแบ่งแยกของอ๋องศักดินา ซึ่งก็คือพระบรมวงศานุวงศ์ที่ได้รับการแต่งตั้งให้เป็นท่านอ๋องหรือโหว พวกเขามีอำนาจเก็บภาษีในดินแดนศักดินา และมีอำนาจทางการทหาร มันเป็นเพียงสถานที่นอกกฎหมาย เป็นเขตปกครองตนเอง นับว่าเป็นปัญหาที่ร้ายแรงจริงๆ ”

“ยังมีเจ้าหน้าที่ทุจริตออกอาละวาดในท้องถิ่น พวกขุนนางใหญ่จัดตั้งกลุ่มเพื่อผลประโยชน์ส่วนตัว พวกเขาต่อสู้เพื่ออำนาจและผลประโยชน์ โดยไม่คำนึงถึงความปลอดภัยของประเทศ กระหายอำนาจจนจิตใจมืดบอด สมควรฆ่าให้ตาย”

“นอกจากนี้ยังมีภัยพิบัติทางธรรมชาติที่เกิดขึ้นอย่างต่อเนื่อง ภัยแล้งที่รุนแรงในภาคเหนือ น้ำท่วมใหญ่ในภาคใต้ ผู้คนต่างแลกลูกกันกิน มีเหยื่อนับไม่ถ้วนที่ถูกบีบให้กลายเป็นโจร ลัทธินอกรีต และพวกกบฏที่โผล่ออกมาอย่างไม่มีที่สิ้นสุด พวกผู้มีอันจะกินในท้องถิ่น สมรู้ร่วมคิดกับพวกกบฏหรือลัทธินอกรีตอย่างลับๆ เพื่อยึดครองประเทศ ส่งผลให้บ้านไม่เป็นบ้าน ประเทศไม่เป็นประเทศ”

ทุกคำพูดของหลี่เฉิน เปรียบเสมือนมีดที่แทงทะลุหัวใจผู้คน

ด้านหน้าแท่นบรรทมมังกร มีเพียงฮ่องเต้และขันทีซานเป่าซึ่งเป็นหัวหน้าหน่วยงานบูรพาเท่านั้น ขันทีซานเป่าแสดงสีหน้าทึ่งๆ เพราะใครก็ตามที่พูดประโยคเหล่านี้ออกมา จะถือว่าเป็นคนทรยศ และจะถูกลากออกไปตัดหัวทันที

แต่หลังจากที่ฮ่องเต้ได้ยินดังนั้น ก็ปรากฏริ้วสีแดงขึ้นบนใบหน้าที่ซีดเซียวของเขา

“ดี! ดีมาก!”

ฮ่องเต้ที่เปรียบเสมือนเปลวเทียนกลางสายฝนในตอนแรก ก็ร้องออกมาเสียงดัง

เขามองไปที่หลี่เฉินด้วยความยินดีและพูดว่า “ข้ารู้อยู่แล้ว ว่าข้าเลือกคนไม่ผิด”

“ซานเป่า ประกาศราชโองการ”

ขันทีซานเป่าค้อมกายเคารพ แล้วหยิบราชโองการที่ดูเหมือนจะเตรียมไว้นานแล้วออกมา ก่อนเผชิญหน้ากับนางสนมในวังหลัง เหล่าขุนนางบุ๋นบู๊ และกล่าวเสียงดังว่า “ประกาศราชโองการ”

ผู้คนในห้อง ต่างก็มีสีหน้าแตกต่างกัน ดวงตาฉายแววสับสนและสั่นไหว แต่พวกเขาทั้งหมดซึ่งนำโดยจ้าวเสวียนจีและ ฮองเฮาจ้าวชิงหลาน พากันคุกเข่ารับราชโองการ

ขันทีซานเป่าเปิดราชโองการ และอ่านราชโองการเสียงดัง “ด้วยโองการแห่งฟ้า ฮ่องเต้ทรงมีพระบัญชาว่า นับตั้งแต่ที่ข้าขึ้นครองราชย์ ข้าได้มีส่วนร่วมอย่างลึกซึ้งในการบริหารแผ่นดินมาเป็นเวลา 19 ปี ยามราตรีมิอาจข่มตาหลับ ยามทิวาไม่กล้าเหนื่อยล้า บัดนี้พลานามัยไม่แข็งแรงเท่าเดิม และรู้สึกว่ากิจการบ้านเมืองเหน็ดเหนื่อยทั้งใจและวิญญาณ อย่างไรก็ตาม ราชกิจบ้านเมืองไม่อาจละทิ้งได้แม้แต่วันเดียว โชคดีที่โอรสคนที่สองนามเฉิน ดำรงตำแหน่งองค์รัชทายาทมาสิบห้าปี ทรงคุณวุฒิและเปี่ยมไปด้วยความสามารถ มีคุณธรรม รับผิดชอบหน้าที่ทั้งในและนอก เป็นที่จับตามองทั้งฝ่ายราชสำนักและฝ่ายราษฎร เหมาะที่จะรับหน้าที่อันใหญ่หลวง เป็นอาวุธปกป้องประเทศ สามารถรับหน้าที่ดูแลกิจการบ้านเมืองทางการทหาร บริหาร และราษฎรที่สำคัญทั้งหมดของประเทศได้ สามารถตัดสินใจกิจการทหารและกิจการภายในในราชสำนัก พบองค์รัชทายาท เท่ากับพบข้า จบราชโองการ”

ด้วยราชโองการนี้ องค์รัชทายาทหลี่เฉินได้รับการแต่งตั้งให้เป็นผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ ฮ่องเต้ได้มอบอำนาจสูงสุดของจักรวรรดิให้กับองค์รัชทายาทเป็นการส่วนตัว

หลี่เฉินเป็นคนแรกที่กล่าวขอบคุณ “ลูกน้อมรับราชโองการ ฝ่าบาททรงพระเจริญหมื่นปี หมื่นๆ ปี”

ต่อมา ไม่ว่าจะเต็มใจหรือไม่ เหล่าขุนนางทั้งบู๊และบุ๋น นางสนมในวังหลัง ตลอดจนเหล่าพระบรมวงศานุวงศ์ ต่างก็คุกเข่ารับราชโองการ

“กระหม่อมน้อมรับราชโองการ ฝ่าบาททรงพระเจริญหมื่นปี หมื่นๆ ปี”

หลังจากหลี่เฉินรับราชโองการ ฮ่องเต้ก็อ่อนแอลงอย่างเห็นได้ชัด

เขาหลับตาแล้วกล่าวพึมพำว่า “ข้าเหนื่อยแล้ว พวกเจ้าออกไปเถอะ ออกไป”

“ลูกรับพระบัญชา”

หลังจากหลี่เฉินทำความเคารพ เขากับเหล่าขุนนาง นางสนม และคนอื่นๆ ก็ออกจากพระราชวังสุทธาสวรรค์

แต่มีเพียงคนเดียวเท่านั้นที่เริ่มตะโกน

เฉินไหวจื้อโอดครวญเสียงดังว่า “ฝ่าบาททรงเสียสติไปแล้ว ให้องค์รัชทายาทเป็นผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ รัชทายาทที่ไร้คุณธรรมเช่นนี้ จะบริหารประเทศได้อย่างไร? กระหม่อมต้องการเข้าเฝ้าฝ่าบาท กระหม่อมอยากอธิบายประเด็นสำคัญ ไม่อาจทำลายประเทศเช่นนี้ได้!”

ไม่มีขุนนางคนใดพูด ทุกคนต่างมองไปที่หลี่เฉิน ราวกับว่าต้องการดูว่าเขาจะตอบสนองอย่างไร

หลี่เฉินมองไปที่เฉินไหวจื้อที่กระโดดขึ้นๆ ลง ๆ อย่างเงียบๆ แล้วก้าวเข้ามาหาเขา

เฉินไหวจื้อเห็นสีหน้าอันเย็นชาของหลี่เฉิน เขาก็รู้สึกขาดความมั่นใจนิดหน่อย แต่ก็กลับมาตั้งตัวได้ เขาแน่ใจว่าหลี่เฉินไม่มีรากฐานในราชสำนัก และเนื่องจากตัวเองเป็นมือขวาของจ้าวเสวียนจีหัวหน้าสภาขุนนาง ถึงแม้ว่าองค์รัชทายาทจะได้บริหารแผ่นดิน แต่ก็ไม่กล้ารุกรานเขา

ด้วยความคิดนี้ เฉินไหวจื้อก็มั่นใจขึ้นมา

หลี่เฉินแสยะยิ้มอย่างเย็นชาแล้วพูดว่า “ดี ตาเฒ่านี่ ข้าอยากฆ่ามานานแล้ว”

พูดจบ หลี่เฉินก็กวาดตามองไปทางกลุ่มขุนนาง

เหล่าขุนนางแต่ละคนที่ถูกหลี่เฉินเหลือบมอง ต่างก็รู้สึกหนาวที่คอ คล้ายกับว่าองค์รัชทายาทกำลังพิจารณาว่าจะเก็บหัวใครต่อไปดี

“กระหม่อมทูลลา”

จ้าวเสวียนจีประสานมือ และนำกลุ่มขุนนางออกจากวังสุทธาสวรรค์

จ้าวชิงหลานมองหลี่เฉินด้วยสายตาที่ซับซ้อน และจากไปพร้อมกับนางสนมและองค์ชายคนอื่นๆ

ด้านนอกพระราชวังสุทธาสวรรค์ ก็ถูกทิ้งร้างอย่างรวดเร็ว

“องค์รัชทายาท โปรดเช็ดเลือดสกปรกบนพระวรกายเถิด”

ไม่รู้ว่าขันทีซานเป่าเดินมาที่ข้างกายของหลี่เฉินเมื่อไหร่ เขาถือผ้าเช็ดหน้าด้วยสองมืออย่างนอบน้อม

เมื่อมองไปที่ขันทีซานเป่าที่ทั่วร่างมีบรรยากาศที่นุ่มนวล หลี่เฉินก็รับผ้าเช็ดหน้ามา แล้วเช็ดเลือดที่แข็งตัวบนใบหน้า และพูดอย่างใจเย็นว่า “รบกวนใต้เท้ากวางกงนำศพของตาเฒ่านี่ไปโยนให้สุนัขกินด้วย”

ไม่เพียงแต่ฆ่าคน กระทั่งศพยังโยนให้หมากิน

องค์รัชทายาทช่างโหดเหี้ยมยิ่งนัก!

ขันทีซานเป่าพูดอย่างนอบน้อม “พ่ะย่ะค่ะ บ่าวรับพระราชดำรัส”

ปลายดาบเปื้อนเลือดยังมีเลือดไหลลงกับกระเบื้อง ส่งเสียงดังติ๊งๆ หลี่เฉินจึงกล่าวว่า “ในราชสำนัก ไม่มีใครเชื่อฟังข้า กวางกงจะจัดการอย่างไร?”

ขันทีซานเป่าขมวดคิ้วกล่าวว่า “บ่าวเป็นคนไม่มีรากฐาน ไม่ใช่ทั้งชายหรือหญิง ไม่ใช่หยินหรือหยาง ทั้งหมดที่บ่าวมีล้วนมาจากราชวงศ์ ราชวงศ์ให้บ่างทำอะไร บ่าวก็ทำสิ่งนั้น”

ประวัติการอ่าน

No history.

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: รัชทายาทจอมเจ้าเล่ห์