หลังจากเกลี้ยกล่อมอยู่นาน นางหลี่ถึงตอบตกลงที่จะไม่ไป
ซูหวั่นอาศัยเวลากลางคืนในการขับเกวียนออกไป โดยที่สภาพการมองเห็นไม่ค่อยจะดีนัก
และนางไม่ได้ไปยังตัวอำเภอตามที่กล่าวเอาไว้
แต่พวกเขามายังถ้ำแห่งหนึ่งที่คุ้นเคย โดยช่วยกันประคองซูเหลียนเฉิงให้เข้าไปด้านในพร้อมกับซูลิ่วหลาง
ซูเหลียนเฉิงปวดระบมไปทั้งตัว โดยเฉพาะร่างกายส่วนล่างและเอว เพียงแค่ขยับตัวนิดเดียวก็ทำให้เขาโอดครวญออกมาด้วยความเจ็บปวด และเขาก็ไม่รู้ว่าซูหวั่นทำไมถึงพาเขามาในถ้ำแห่งนี้ด้วย
แต่ในใจลึกๆแล้ว เขารู้ดีว่าตัวเองไม่สามารถรักษาให้หายขาดได้
สามารถประหยัดเงินอัดไว้ให้พวกเขาทั้งสามได้นิดหน่อยก็ยังดี!
ซูหวั่นก่อกองไฟ และปาดน้ำฝนที่ใบหน้า“ท่านพ่อ ข้าสามารถรักษาท่านได้ ท่านเชื่อข้าหรือเปล่า?”
ซูเหลียนเฉิงรู้สึกมั่นใจขึ้นเมื่อได้ยินซูหวั่นพูดแบบนี้ออกมา“พ่อเชื่อเจ้า”
“ดีค่ะ ท่านพ่อต้องอดทนหน่อยนะคะ เดี๋ยวจะรู้สึกเจ็บขึ้นมาเล็กน้อย”
ซูหวั่นกำชับให้ซูลิ่วหลางออกไปข้างนอกเพื่อดูต้นลม แม้ว่าคืนที่ฝนตกหนักขนาดนี้จะไม่มีใครเข้ามา แต่ก็ต้องป้องกันเอาไว้เสียก่อน
นางหลีกเลี่ยงจากสายตาของซูเหลียนเฉิง แล้วหยิบยาชาออกจากพื้นที่จินตนาการมาฉีดที่เอวของซูเหลียนเฉิง
ไม่นานหลังจากนั้น ซูเหลียนเฉิงก็ผล็อยหลับไป
นางทำความสะอาดแผลบริเวณที่เอวให้สะอาดเสียก่อน แล้วฆ่าเชื้อด้วยไอโอดีนโวลต์ จากนั้นก็ขยับกระดูกต้นขาให้เข้าที่แล้วยึดมันไว้ที่กระดานอีกครั้ง
เมื่อการผ่าตัดโดยทั่วไปได้เสร็จสิ้นลง มันก็เป็นเวลาค่อนคืนไปแล้ว และฝนก็ได้ตกกระหน่ำลงมาเรื่อยๆ
ซ่า ซ่า——
ฟ้าแลบสลับกับฟ้าร้อง และในขณะนี้ ซูลิ่วหลางก็ได้เดินเข้ามา พร้อมกับพูดด้วยใบหน้าที่ตึงเครียดว่า“ท่านพี่ มีคนมา!”
“ห้ามพูด!”
ทันทีที่ซูลิ่วหลางพูดจบ ก็มีคนเข้ามาประชิดตัวและปิดปากของเขาเอาไว้
ซูหวั่นตกตะลึง
ไม่คาดคิดเลยว่าดึกดื่นขนาดนี้จะมีคนมาปรากฏตัวอยู่ในป่าลึกแบบนี้ได้ ดูแล้วตัวตนของเขาไม่ธรรมดา และก็ยังเป็นแขกที่ไม่ได้รับเชิญอีกด้วย
ไป๋หลี่ชิงสวมชุดลาดตระเวนในยามค่ำคืน และเปิดแค่ดวงตาเอาไว้เท่านั้น โดยที่แขนซ้ายมีรอยบาดแผลสีดำเป็นทางและเลือดก็กำลังไหลอยู่อีกด้วย
“รบกวนพี่ชายช่วยปล่อยน้องชายของข้าก่อนจะได้ไหม น้องชายข้าเป็นเด็กหัวช้า ข้ากลัวว่าเขาจะตกใจเอาไว้”ซูหวั่นไม่แน่ใจกับนิสัยใจคอของอีกฝ่าย ดังนั้นนางจึงลองๆถามไปเสียก่อน
โดยมือของเขาได้คลำไปที่อาวุธและพร้อมที่จะใช้ป้องกันตัวได้แล้ว
ดวงตาของไป๋หลี่ชิงเป็นประกาย มองดูซูลิ่วหลางที่อยู่ในอ้อมแขนและพูดเสียงทุ้มออกมา“หากเจ้ารับประกันได้ว่าเขาจะไม่ร้อง ข้าก็จะปล่อยเขาไป”
“ข้ารับประกัน!”
ไป๋หลี่ชิงคลายมือออก และซูลิ่วหลางก็รีบกระโจนไปหาซูหวั่นด้วยขอบตาที่แดงก่ำ ทั้งๆที่ตัวเขาเองกำลังหวาดกลัวอยู่ แต่ก็ยังเอาตัวมาบังเพื่อปกป้องซูหวั่นและซูเหลียนเฉิงเอาไว้
คนทั้งหมดมองหน้ากันและไม่ได้พูดอะไรออกมา
ซูหวั่นพันแผลให้กับไป๋หลี่ชิง แล้วก็หยิบยาแก้อักเสบเม็ดสีขาวออกมา
โดยที่นางกำลังคิดถึงตัวตนของไป๋หลี่ชิงอยู่ในใจ นางอ่อนแอเกินไปเมื่ออยู่ในยุคสมัยนี้ และจำเป็นต้องมีเพื่อนเอาไว้ ต่อไปหากเกิดอะไรขึ้นจะได้มีคนมาช่วยเหลืออีกทางหนึ่ง
แทนที่จะคุกเข่าลงบนพื้นและอ้อนวอนคนอื่นอยู่อย่างนั้น
ไป๋หลี่ชิงไม่เคยเห็นยาแก้อักเสบมาก่อน เขาจึงสงสัยเล็กน้อย“มันคืออะไรเหรอ?”
ซูหวั่นเม้มริมฝีปาก“ยาที่จะทำให้บาดแผลของท่านไม่เสื่อมสภาพได้”
และไป๋หลี่ชิงก็กลืนเข้าไปอย่างไม่ต้องสงสัย เขาพิงผนังหิน หรี่ตาลงและมองสำรวจไปที่ซูหวั่นอยู่ตลอดเวลา
ร่างกายของเขาเต็มไปด้วยความเย็นชา ราวกับมีดดาบที่คมกริบ
และสามารถฆ่าคนอย่างล่องหนได้ตลอดเวลา
“ฟิ้ว——”
ซูหวั่นรับของที่ไป๋หลี่ชิงโยนมาให้โดยไม่รู้ตัว และเมื่อนางก้มลงมามอง ก็พบว่ามันเป็นจี้หยกคุณภาพดีเลิศและถุงเงินอีกหนึ่งถุงนั่นเอง
เมื่อนางกำลังจะถามอะไรขึ้นมา
ไป๋หลี่ชิงก็ได้หายตัวไปท่ามกลางความมืดมิดและสายฝนเสียแล้ว
ภูเขาที่สลับซับซ้อน หน้าผาที่สูงชัน ฝนฟ้าคะนองดังสนั่น และเขาก็จากไปอย่างเงียบเชียบเหมือนตอนที่เข้ามา

ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ทะลุมิติมาเป็นสาวชาวนา