อาเพียวสงสัยสุดขีด เขาเคยเจอคนเก่งๆมาก็เยอะ แต่ไม่มีคนไหนเลยที่จะเทพแบบนี้ ใช้เวลาวินิจฉัยไวมาก อีกทั้งดูจากท่าทางของพี่หลี่เมื่อครู่ การวินิจฉัยของเสี่ยวเชี่ยนก็น่าจะถูกต้อง!
“ประสบการณ์การรักษาเป็นตัวตัดสินทุกอย่าง ตอนที่พวกนายยังนั่งท่องตำรากันอย่างเอาเป็นเอาตาย อาจารย์ของฉันก็พาฉันนั่งศึกษาเคสคนไข้ต่างๆแล้ว ฉันพูดแบบไม่เว่อร์เลยนะ เคสคนไข้ที่ฉันรักษาเคยศึกษาวางกองรวมกันสูงหลายเมตรเลยล่ะ เรื่องแค่นี้จิ๊บจ๊อย”
ท่าทางตอนพูดของเสี่ยวเชี่ยนต้องให้คะแนนความมั่นใจเต็มร้อย เธอเห็นพวกอาเพียวดูเชื่อจริงจัง ถึงทุกคนจะเรียนด้านจิตวิทยามาเหมือนกัน แต่สาขาของพวกเขาไม่เหมือนกับเธอ พูดเว่อร์ๆไปก็หลอกได้หมด
“อาจารย์ของคุณคือ—” อาเพียวเชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่ง
“อาจารย์ของฉันชื่อหลิวหลินหลิน ถึงฉันจะเพิ่งได้เจอเขาตอนเรียนมหาวิทยาลัย แต่ในความเป็นจริงก่อนหน้านั้นหลายปีพวกเราเคยมีวาสนาได้เจอกันแล้ว เขามอบสมุดบันทึกประจำตัวให้ฉัน”
พูดไปแบบนี้ทุกคนยิ่งเชื่อเข้าไปใหญ่
ชื่อเสียงของหลิวหลินหลินในแวดวงการรักษาโด่งดังมาก เสี่ยวเชี่ยนพูดไปชัดเจนแล้ว ศาสตราจารย์หลิวได้รับเธอเป็นลูกศิษย์ตั้งแต่ก่อนเธอเข้ามหาวิทยาลัย ประสบการณ์การรักษาจึงหาใครเปรียบได้
สิ่งที่ได้จากการเรียนในมหาวิทยาลัยคือท่องจำแบบเอาเป็นเอาตาย แต่ถ้าเจออาจารย์ที่ปรึกษาดี ยอมถ่ายทอดวิชาให้ลูกศิษย์ ประสิทธิภาพในการเรียนก็จะมากขึ้นเป็นเท่าตัว เพราะทฤษฎีมากมายที่ตายตัวอยู่ในหนังสือมีเหรอจะสู้ประสบการณ์จากการปฏิบัติจริงได้ อักษรเป็นแสนเป็นล้านตัวมีเหรอจะจำได้แม่นเท่าอาจารย์พูดเพียงครั้งเดียว
ตอนนี้เองอาเพียวถึงได้เข้าใจว่าแชมป์ระดับประเทศของเสี่ยวเชี่ยนไม่ได้ได้มาด้วยความบังเอิญ
ตอนที่เขารู้ว่าจะมีผู้ช่วยจากภายนอกเข้ามาเขารู้สึกไม่โอเคเป็นอย่างมาก ไม่คิดว่าเสี่ยวเชี่ยนจะเก่งสมกับที่ได้รางวัลมา แต่ความสามารถของเสี่ยวเชี่ยนที่แสดงให้เห็นในช่วงหลายวันที่ผ่านมานี้ก็ทำให้เขาได้ปรับเปลี่ยนมุมมองใหม่ และในที่สุดก็เข้าใจแล้วว่าเธอเก่งสมคำร่ำลือจริง การที่เบื้องบนส่งเธอมาก็มีเหตุผล
“ช่วงแบ่งปันประสบการณ์จากการวินิจฉัยของคุณเมื่อกี้หน่อยได้ไหม?” อาเพียวทำตัวเกรงใจขึ้นมากอย่างเห็นได้ชัด
เสี่ยวเชี่ยนคิดในใจ พี่หลี่เป็นโรคอารมณ์แปรปรวนมีเหรอที่เธอจะมองออกในครั้งแรกที่เจอ?
อย่าว่าแต่เธอเลย ต่อให้เป็นศาสตราจารย์หลิวมาเอง หรือแม้แต่เรียกชีอวี่เซวียนปีศาจปรมาจารย์ระดับโลกมา ก็ไม่มีทางจะวินิจฉัยได้ในแวบแรกที่เจอ
แน่นอนว่ามันมาจากประสบการณ์เมื่อชาติก่อน
ถึงพี่หลี่คนนี้ถึงจะเป็นนักวิจัยที่ก้าวหน้า แต่ตัวเขาเองกลับเป็นโรคอารมณ์แปรปรวนมาหลายปี
วงการนี้มีกฎที่ไม่เป็นลายลักษณ์อักษรอยู่ว่า ถ้าตัวเองเป็นโรคจิตเวชก็เตรียมไว้อาลัยให้กับใบอนุญาตประกอบโรคศิลปะได้เลย ถ้าแม้แต่หมอยังป่วยแล้วคนไข้ที่ไหนจะวางใจให้ตรวจ? ขนาดนักวิจัยยังป่วยแล้วใครจะเชื่อผลงานวิจัยที่ทำออกมา?
แต่ในความเป็นจริงคือ คนที่ทำงานในวงการนี้ส่วนใหญ่ล้วนมีปัญหาด้านสภาพจิตใจหรือถึงขนาดที่เป็นโรคจิตเวชเลยก็มี เพียงแต่จะมากหรือน้อยเท่านั้น
หลังจากพี่หลี่ป่วยก็ไม่กล้าทำกระโตกกระตาก ทำได้แค่ไปหาเสี่ยวเชี่ยนหมอที่เก็บค่ารักษาสูงแต่เก็บความลับเป็นเลิศ แต่นั่นก็เป็นเรื่องหลังจากนี้อีกหลายปี เสี่ยวเชี่ยนดูจากอารมณ์ขึ้นๆลงๆของเขาในวันนี้ คาดคะเนอาการที่อาจจะเกิดขึ้นในอนาคต พูดปัญหาของเขาให้เบาลงหน่อย แค่นั้นก็หลอกพี่หลี่ได้แล้ว
การประชุมยังไม่ทันเริ่มก็ทำสงครามกันไปก่อนแล้วหลายยก กลิ่นดินระเบิดเคยโชยอย่างรุนแรงเป็นทุนเดิม แต่พอพี่หลี่หัวหน้าของอีกฝ่ายถูกเสี่ยวเชี่ยนปราบแบบยกเดียวจอด ตอนประชุมจริงพี่หลี่จึงทำตัวเจี๋ยมเจี้ยมเป็นพิเศษ บรรยากาศในห้องประชุมจึงสามัคคีมากกว่าแต่ก่อน
พี่ใหญ่ของทางศูนย์วิจัยถูกปราบจนหงอไปแล้ว เหลือเพียงแต่หลิวเหมียวมองเสี่ยวเชี่ยนอย่างไม่สบอารมณ์และก็ไม่มีเหตุผล ก็แค่เป็นการเหม็นขี้หน้าตามสัญชาตญาณของเพศเมียเหมือนกัน
ยามที่ในสังคมกลุ่มหนึ่งมีผู้หญิงอยู่คนเดียวเป็นดาวเด่นและได้รับการปฏิบัติเป็นอย่างดีมาเป็นเวลานานอยู่ๆก็มีผู้หญิงสวยกว่าเด็กกว่าโผล่มา ทำให้ตัวเองถูกเบียดตกก็ย่อมไม่พอใจเป็นธรรมดา
หลิวเหมียวจงใจยิงคำถามใส่เสี่ยวเชี่ยนตอนประชุมหลายคำถาม ซึ่งล้วนเป็นคำถามที่จ้องเล่นงานโดยเฉพาะไม่ได้เกี่ยวข้องกับงานที่คุยกันอยู่ แต่เสี่ยวเชี่ยนก็ตอบได้ทั้งหมดอย่างคล่องแคล่ว สุดท้ายหลิวเหมียวสู้ไม่ได้ก็ยอมเงียบไป
หลิวเหมียวยกแก้วชาดอกไม้ที่แสนประณีตขึ้นมาดื่มด้วยท่าทางอันงามสง่า แต่เสี่ยวเชี่ยนกลับโยนคำถามเฉพาะทางที่เกี่ยวข้องกับคดีไปให้ ดูเป็นคำถามง่ายๆ แต่หลิวเหมียวกลับคิดนาน
เมื่อเทียบกันแล้ว คนละชั้น


VERIFYCAPTCHA_LABEL
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: แผนรักสยบใจบอสสาวตัวร้าย