เลี่ยวฟู่กุ้ยถอยหลังไปหนึ่งก้าว เสี่ยวเชี่ยนเห็นหลังหูของเขาขนลุก ในใจของพี่ชายเธอจะต้องรู้สึกอยากจะบ้าแน่นอน
เสี่ยวเชี่ยนมองใบหูของเขาแล้วยิ้มมุมปาก
ในใจของผู้บริหารใหญ่ก็อยากจะบ้าเช่นกัน เด็กคนนี้เกินไปไหม นี่เขาก้มหัวให้ก่อนแล้วนะทำไมยังไม่เสนอทางลงให้เขาอีก
เขาไม่มีทางรู้หรอกว่าในใจของเสี่ยวเชี่ยนนั้นนอกจากมีคนที่เธอแคร์อยู่แค่ไม่กี่คน คนอื่นๆเธอก็แค่เขียนตัวโตๆว่า เหอๆ
ขัดหูขัดตาก็เหยียบซะ ปกติแทบไม่ชายตามองเลยด้วยซ้ำ
“จริงสิเสี่ยวเชี่ยน เธอก็ใกล้เรียนจบแล้วนะ สนใจมาทำงานที่ศูนย์วิจัยไหม ตอนนี้ที่นี่กำลังขาดคนมีความสามารถแบบเธอนะ ถ้าเธออยากล่ะก็ฉันจะร่างหนังสือสัญญาให้เธอก่อนเลย ต่อให้อีกหน่อยเธออยากจะเรียนดอกเตอร์ต่อก็กันที่ไว้ให้ก่อนได้ เบิกค่าเรียนที่ศูนย์วิจัยได้ด้วยนะ” ผู้บริหารใหญ่หยิบยื่นโอกาสให้เสี่ยวเชี่ยน เรื่องแบบนี้แค่เขาพูดคำเดียวก็จัดการได้หมด
“เพราะครอบครัวสามีฉันเหรอคะ?”
หัวหน้าใหญ่ร้องโวะในใจ
ตระกูลอวี๋ไปหาผู้หญิงแบบนี้มาจากไหนเนี่ย ทำไมไม่ทำตามธรรมเนียมที่คนเขาทำกัน! เรื่องแบบนี้เขารู้กันแต่ไม่พูดไม่ใช่เหรอ แล้วนี่ปาระเบิดออกมาหมายความว่าไง?
“คือว่า ไม่ใช่แน่นอน พวกเราเห็นในความสามารถของเธอต่างหาก—” แน่นอนว่าจะให้บอกว่าไม่เกี่ยวข้องกับตระกูลอวี๋เลยก็คงไม่ใช่ เดิมคิดจะหยิบยื่นน้ำใจแต่กลับถูกคำพูดเสี่ยวเชี่ยนทำให้จุก
ผู้บริหารใหญ่หน้าเสียสุดๆ เขาพูดไม่ออกอีกต่อไป เพราะเสี่ยวเชี่ยนกับเลี่ยวฟู่กุ้ยทำสายตาแบบเดียวกัน ประมาณว่าพูดอะไรเพ้อเจ้อน่ะลุง เล่นเอาผู้บริหารใหญ่อยากจะบ้าตาย
“พวกเราชื่นชมในความสามารถของเธอจริงๆนะ พูดตามตรงเลย คดีนี้ถ้าไม่รีบปิดให้ไว เบื้องบนได้เชิญศาสตราจารย์ชีมาช่วยงานแน่ ค่าตัวศาสตราจารย์ชีแพงอย่างกับอะไรดี เรื่องเงิน…เอาเป็นว่าเธอช่วยไว้ได้เยอะเลย” ผู้บริหารใหญ่พบว่าตัวเองยิ่งอธิบายยิ่งเละ
เนื่องจากไม่ได้เริ่มต้นให้ดี ทำให้ถึงตอนนี้เขาจะพูดความจริงเสี่ยวเชี่ยนก็ไม่เชื่อ!
ที่เขาระเบิดอารมณ์ไปแบบนั้นมันก็เกี่ยวกับเรื่องที่เบื้องบนกดดันลงมานะ ถ้าเรื่องนี้พวกเลี่ยวฟู่กุ้ยจัดการไม่ได้ก็จะต้องเชิญศาสตราจารย์ชีมาช่วย ค่าใช้จ่ายมหาศาล ซึ่งมันไม่ดีในด้านผลงานด้วย
เสี่ยวเชี่ยนขี้เกียจจะไปยุ่งเรื่องงานบริหารไร้สาระ พูดจาเออออไปแล้วจึงรีบขอตัว
เสี่ยวเฉียงไม่อยู่ด้วย ตอนนี้เธออยากจะใช้เวลาก่อนที่จะไปทำงานรอบดึกหาที่ดื่มเหล้าสักหน่อย
เธอปฏิเสธเลี่ยวฟู่กุ้ยแบบอ้อมๆที่จะไปส่งเธอ เสี่ยวเชี่ยนออกจากหน่วยตำรวจอาชญากรรมตามลำพัง ขณะที่กำลังจะไปเอารถที่ลานจอดรถ ทันใดนั้นเธอก็เห็นคนแก่สองคนนั่งอยู่ตรงแปลงดอกไม้ตรงทางเข้าหน่วย
เสี่ยวเชี่ยนยืนหลังรถตำรวจ แล้วมองพวกเขาผ่านกระจกรถ
นั่นคือพ่อแม่ของจือหมิง
ทางด้านเลี่ยวฟู่กุ้ยกำลังวินิจฉัยจือหมิงอย่างเคร่งเครียด ถ้าพิสูจน์ได้ว่ากระทำความผิดตอนที่อาการกำเริบ ถ้าอย่างนั้นต่อให้พ้นความผิดทางกฎหมาย แต่ผู้ป่วยโรคประสาทที่เป็นภัยต่อสังคมมากขนาดนี้ ทางรัฐบาลอาจจะบังคับให้รักษา โรคนี้ไม่รู้ว่าเมื่อไรจะหายแล้วออกจากโรงพยาบาลได้ ต่อให้ออกไปแล้วก็ยังต้องมีคำสั่งให้พ่อแม่จือหมิงดูแลเขาให้ดี
คนในสังคมมักคิดว่าผู้ป่วยโรคประสาทฆ่าคนไม่ผิดกฎหมาย แท้ที่จริงแล้วเป็นความเข้าใจผิด
ไม่ว่าใครก็ตามที่ใช้ความรุนแรงทำร้ายคนอื่นล้วนมีความผิดทางกฎหมาย เพียงแต่กฎหมายในตอนนี้มีความเห็นว่า การลงโทษคนส่วนหนึ่งที่กระทำความผิดโดยไม่รู้ตัวในขณะที่อาการกำเริบนั้นไม่มีความหมายอะไร ไม่ได้ก่อให้เกิดการป้องกันการกระทำผิดซ้ำสอง ดังนั้นจึงมีข้อกฎหมายพิเศษ
ผู้ป่วยโรคประสาทที่กระทำความผิดในช่วงที่อาการกำเริบถูกแบ่งออกเป็นสองประเภทคือ กระทำไปโดยไม่รู้ตัวเลยกับกระทำไปโดยที่มีความรู้ตัวอยู่บ้าง ถ้าผู้ป่วยโรคประสาทกระทำความผิดโดยที่ยังมีความตระหนักรู้หรืออาการไม่ได้กำเริบ แต่มีประวัติการป่วยเป็นโรคประสาทล้วนต้องรับผิดทางอาญา ดังนั้นคนที่แสร้งทำเป็นป่วยโรคประสาทคิดจะหนีความผิดนั้นจึงเป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้



VERIFYCAPTCHA_LABEL
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: แผนรักสยบใจบอสสาวตัวร้าย