ชื่อที่เป็นมิตรรักท้องถิ่นแบบนี้ ยากที่จะเชื่อมโยงให้เข้ากับกลุ่มสาขาประสาทที่ลึกลับได้
ความคิดแรกของเสี่ยวเชี่ยนตอนเห็นชื่อนี้ก็คือ มีคนเล่นพิเรนทร์ หรือเจ้าของร้านหนังสือเห็นเธอซื้อหนังสือเกี่ยวกับการสะกดจิตเยอะแยะก็เลยอยากจะแกล้งเธอ?
แต่พออ่านต่อเสี่ยวเชี่ยนก็ล้มเลิกความคิดนี้ไป เธออินกับเนื้อหาในหนังสือมากขึ้น
ประวัติของฟาร์มเจ็ดหมู่ เป็นการรวมตัวของหัวกะทิที่มาจากแต่ละแวดวง พวกเขามีคนที่ถนัดรักษาโรคประสาท มีคนถนัดสะกดจิต มีคนก็ถนัดทำยาและคนที่ถนัดเรื่องเหนือธรรมชาติ—จริงสิ มันคือศาสตร์ที่เชื่อเรื่องเหนือธรรมชาติ เพราะคำนี้เมื่อแรกเริ่มใช้คำว่าmetaphysics พอแปลมาก็คืออภิปรัชญา หรือศาสตร์ที่ว่าด้วยความแท้จริงหรือสารัตถะ รวมถึงเรื่องเหนือธรรมชาติ แต่ดูเหมือนผู้เขียนจะอยากใช้ภาษาจีนที่เข้าถึงความหมายได้ตรงยิ่งกว่าก็เลยเขียนพิอินว่า xuan[1]
งั้นเจ้าของหนังสือเล่มนี้ไม่น่าใช่คนต่างชาติหรือเปล่า
เสี่ยวเชี่ยนอ่านต่อ ในนั้นบอกว่าคนพวกนี้ก่อตั้งเป็นกลุ่มเล็กๆที่ชื่อว่า ฟาร์มเจ็ดหมู่ พวกเขาทั้งสี่เคยสั่งสอนลูกศิษย์มามากมาย หนึ่งในนั้นมีอยู่คนที่ถนัดสะกดจิต ต่อไปเป็นการอธิบายวิธีสะกดจิตอย่างละเอียด
เสี่ยวเชี่ยนพอได้อ่านก็วางไม่ลง
เธอสืบค้นข้อมูลมาตั้งมากมาย เมื่อเอามารวมกันยังไม่มีประโยชน์เท่าเล่มนี้เล่มเดียว
ถึงหนังสือเล่มนี้จะมีแค่สิบกว่าหน้า แต่พออ่านหมดก็เหมือนได้เปิดโลกทัศน์ใหม่ มีหลายจุดที่เป็นความรู้เฉพาะทาง พอเสี่ยวเชี่ยนอ่านแล้วก็รู้สึกกระจ่าง ที่แท้ก็ทำแบบนี้ได้ด้วย!
ตอนอวี๋หมิงหลางกลับมาก็เห็นเสี่ยวเชี่ยนนั่งขัดสมาธิอยู่ตรงที่นั่งเล่นริมหน้าต่าง เธอถือหนังสือที่ดูเก่ามากกำลังอ่านอย่างตั้งอกตั้งใจ ขนาดเขาเข้าบ้านมาตั้งแต่เมื่อไรเธอก็ไม่รู้
“อ่านอะไรอยู่เหรอ?”
“ว้าย!” เสี่ยวเชี่ยนที่กำลังอินกับเนื้อหาในหนังสือตกใจเสียงอวี๋หมิงหลางจนหนังสือในมือเกือบร่วง
“เล่นอะไรแบบนี้เล่า!” หลังจากที่เห็นว่าเป็นเขา เสี่ยวเชี่ยนก็โมโหพร้อมทุบอวี๋หมิงหลาง
“ผมยืนอยู่ตรงนี้จะหนึ่งนาทีแล้วนะ!” เสี่ยวเฉียงทำหน้าน้อยใจ
“เมียจ๋า อ่านอะไรอยู่เหรอ? ไอ๊หยา ภาษายึกยือเห็นแล้วปวดหัว!”
ภาษาอังกฤษแบบตัวเขียนจะเขียนลากยาวต่อเนื่องกัน คนทั่วไปอ่านยาก อวี๋หมิงหลางเห็นบนโต๊ะไม้มีพจนานุกรมภาษาอังกฤษเล่มหนาวางอยู่ ก็แสดงว่าเสี่ยวเชี่ยนกำลังอ่านหนังสือที่มีระดับความยากค่อนข้างมาก มีบางคำศัพท์ที่เธอต้องเปิดหาคำแปล นี่ขนาดเมียเขาสอบภาษาอังกฤษระดับหกได้เกือบเต็มนะเนี่ย
“พวกตำราเฉพาะทางของฉันน่ะ” เสี่ยวเชี่ยนปิดหนังสือทั้งที่อารมณ์ยังค้างอยู่
พออ่านเล่มนี้แล้วเธอถึงได้รู้ว่าการสะกดจิตแบบแทรกซึมที่ดูเหมือนซับซ้อน แท้จริงแล้ววิธีทำไม่ได้ยาก แต่ถ้าไม่มีตำราเล่มนี้สุ่มเดาให้ตายเธอก็เดาไม่ออก
“อ่านตำราเฉพาะทางยังอินได้ขนาดนี้ นี่ถ้าคุณไม่บอกผมนึกว่าอ่านเดชคัมภีร์เทวดาอยู่ซะอีกนะเนี่ย” เสี่ยวเฉียงแซว
เสี่ยวเชี่ยน หึ ใส่ “นายก็พูดถูกจริงนะ หนังสือเล่มนี้สำหรับคนในแวดวงแบบฉันแล้วมันเหมือนเป็นคัมภีร์ลับเล่มหนึ่งเลยล่ะ!”
วิธีไม่ยาก ที่ยากคือไม่มีใครนึกถึง
“ใครให้คุณมาเหรอ?”
เสี่ยวเฉียงถามเสร็จ ใบหน้าเสี่ยวเชี่ยนที่กำลังยิ้มก็หยุดนิ่งไป
อันที่จริงตอนเธออ่าน หนังสือเล่มนี้เป็นของใครเธอก็พอจะเข้าใจทีละนิด แต่ก็แค่ไม่อยากยอมรับเท่าไร
หนังสือเล่มนี้ใช้เงินทองก็ซื้อไม่ได้ ดูก็รู้ว่าเป็นตำราลับที่สืบทอดภายใน นอกจากลูกศิษย์ของตัวเองแล้วก็ไม่มีการเผยแพร่สู่ภายนอก แมวหลีฮวาใช้สิ่งนี้หาเงินไปได้มากเท่าไรแล้วกันนะ?
บอกว่าเป็นบ่อเงินบ่อทองก็ยังได้
คนที่สามารถเขียนเรื่องแบบนี้ออกมาได้จะต้องเป็นหัวกะทิในหัวกะทิอีกที อีกทั้งยังเป็นชาวจีนที่มีพื้นเพจากเมืองนอก…
ในสมองของเสี่ยวเชี่ยนเหมือนมีเสียงชวนขนลุกของชีอวี่เซวียนดังลอยมา ‘เบบี๋เชี่ยน~มาสิจ๊ะ มาฝากตัวเป็นศิษย์เร็ว~’
เสี่ยวเฉียงรู้สึกว่าเขาก็แค่ถามว่าใครให้หนังสือเล่มนี้ที่ทำให้เธอหมกมุ่นได้ขนาดนี้มา แต่ทำไมเมียเขาถึงได้ทำหน้าเหมือนท้องผูกมาสิบวัน?
เสี่ยวเชี่ยนนอกจากจะนึกถึงชีอวี่เซวียนแล้ว ยังนึกถึงคำพูดหนึ่ง
อย่าพูดจาให้ร้ายกับคนที่มีบุญคุณ
“ฉันไม่รู้ว่าของใคร มันเป็นของแถมจากเจ้าของร้านหนังสือ!”
ใช่ ไม่ผิด ประธานเชี่ยนขอแถแบบนี้นี่แหละ
อย่างไรเสียตาชีอวี่เซวียนนั่นก็ไม่ได้ลงชื่อไว้ แถมยังแอบใส่รวมกับหนังสือที่เธอซื้อมาอีก

VERIFYCAPTCHA_LABEL
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: แผนรักสยบใจบอสสาวตัวร้าย