ซวนหยวนจ้านลูบหัวนางพลางว่า "จะมีอะไรเล่า ยกให้พ่อจัดการเอง พ่อจะจัดการเผางูให้หมดทั้งรังเลย เอาไว้บำรุงร่างกายให้พี่ชายเจ้า! ถึงเวลาให้เขามีลูกหลานให้ราชวงศ์ซวนหยวนเสียหลายครอก...เสียหลายคน"
โหลชีพูดไม่ออกทันที "งั้นพี่ชายข้าคงต้องหาสตรีสักคนมาหยุดหมาโดดเดี่ยวของเขาเสียก่อน!"
"พ่อเจ้ารู้ว่าหมาโดดเดี่ยวคืออะไรรึ?" ซวนหยวนคงกลับหัวเราะร่วน
พอได้ยินอย่างนั้น ซวนหยวนจ้านไม่พอใจละ "ใครบอกข้าไม่รู้กัน? เจ้าเก่งงั้นรึ? โดดเดี่ยว ยังไม่เข้าใจได้รึ? เพียงแต่หมานี่ข้าไม่ค่อยเข้าใจ เขาไม่ได้เกิดปีหมาเสียหน่อย อีกอย่าง เจ้านั่นฉลาดหยั่งกับลิง ทำไมจึงเรียกหมาเล่า?"
เขาขมวดคิ้ว พยายามคิดวิเคราะห์หาสาเหตุ
ยังไงซะ เจ้าสามสามารถคุยกับชีชีได้ทุกเรื่อง เขาเองก็จะแย่กว่ามากนักไม่ได้
พวกเทียนยีทำหน้าแข็งทื่อ รู้สึกเหนื่อยใจนัก
ฮ่องเต้จ้าน ท่านอ๋อง จักรพรรดินี เห็นหรือไม่ ฝูงงูพากันล้อมเข้ามาแล้ว พวกท่ายังมาวิเคราะห์ถกเถียงปัญหานี้กันมันจะดีรึ?
พวกเขาเริ่มฆ่างูอย่างเหนื่อยใจ
แต่งูดำพวกนี้กลับเจ้าเล่ห์เพทุบายยิ่งนัก ฟันกระบี่ไป ก็จะมีงูอีกหลายตัวพรวดเข้ามา เริ่มเข้ามากอดรัดกระบี่พวกเขา เสียงแกร๊งแกร๊งแกร๊งดังขึ้น ฝ่ามือของพวกเขาก็โดนสะเทือนจนมือชา
พวกเทียนยีตกใจหนัก ร้องออกมา "งูพวกนี้ยังฟันแทงไม่เข้า?"
ผิวหนังของงูดำนั้น เหมือนเกราะอ่อนงั้นรึ?
พวกโหลชีได้ยินเสียงเขาก็หันมามองพร้อมกัน ซวนหยวนจ้านคิ้วมขมวดมุ่น ส่วนซวนหยวนคงกลับทำหน้าครุ่นคิด "ข้าเหมือนคิดอะไรขึ้นมาได้..."
โหลชีมองเขา ขวางซวนหยวนจ้านที่คิดจะลงมือฆ่างู "เสด็จพ่อ เดี๋ยว ดูนักพรตเลวคิดอะไรขึ้นมาได้ก่อน"
พอได้ยินว่างูเหล่านี้กลับฟันแทงไม่เข้า ในสมองนางเหมือนมีอะไรวาบผ่าน แต่ก็คว้าไม่ทัน
ซวนหยวนคงกำลังครุ่นคิดอยู่จริงๆ
และงูพวกนั้นกลับแลบลิ้นสองแฉกล้อมพวกเขาเข้ามาแล้ว วงล้อมค่อยๆเล็กลงเรื่อยๆ โหลชีรู้สึกขนพองสยองเกล้าขึ้นมา
เทียนยีมองปากงูแต่ละตัวที่อ้าค้างเบื้องหน้านั้น เพ่งมองหนึ่งตัวในนั้น กระบี่แทงเข้าไปในปากงูทันที กระบี่ยาวแทงทะลุปากงู เหมือนหาฝักกระบี่ให้กระบี่พวกเขา ต้องยอมรับจริงๆว่า ภาพเยี่ยงนี้ดูแล้วไม่ดีเอาเสียเลย
โหลชีเริ่มอยากอาเจียน
แต่การอาเจียนของนางนี้ทำให้ซวนหยวนคงตบขาผ่าง ร้องอย่างตื่นเต้นออกมา "ข้ารู้แล้ว! ข้ารู้แล้ว! ฮะฮะ ข้าสมเป็นอัจฉริยะจริงๆ!"
ซวนหยวนจ้านรีบถามทันที "เจ้ารู้ว่าจะทลายค่ายกลอย่างไรแล้วรึ?"
ซวนหยวนึงส่ายหัว "ไม่ใช่ไม่ใช่ ข้ารู้ว่าจะทำลายหมอกดำกลืนคนเหล่านั้นแล้ว! ดูแล้ว หมอกดำเหล่านั้นไม่ข้ามแม่น้ำก็เหมือนจะมีเหตุผลอยู่ ศัตรูของมันอยู่ที่นี่ไง!"
โหลชีตาเป็นประกาย "นักพรตเลว เจ้าหมายถึง งูพวกนี้?"
ใช่ ทำไมนางถึงคิดไม่ถึงนะ!
วู๊วูเป็นขุมทรัพย์ที่เฉลียวฉลาด มีซิกเซนส์ที่อัศจรรย์นัก และเฉลียวฉลาดมาก และเพราะมันรู้ว่าสิ่งที่ควบคุมหมอกดำอยู่ในแม่น้ำสายนี้ ดังนั้นเลยอยากลงน้ำตลอด เพื่อเตือนนาง!
"ใช่ ข้านึกออกแล้ว ค่ายกลเหลือเชื่อนี่จะทำให้ชี่ทิพย์ทั้งหมดในที่นี้ไหลเข้าสู่ตาค่าย ชี่ทิพย์เหล่านี้ก็ดึงดูดของอย่างงูดำเช่นนี้มา ถ้าตาค่ายเป็นวิญญาณที่ดีมาก เช่นนั้นชี่ทิพย์จะมารวมตัวกันด้านหน้าช่องว่าง สำหรับงูดำแล้วมันเป็นการบำรุงชั้นเยี่ยมเลย!"
ซวนหยวนคงมองโหลชี เชิดคางบอก "ไม่ต้องมองข้า หมายถึงเจ้าน่ะแหละ"
นางเป็นยาบำรุงของงูดำเหล่านี้?
โหลชีเหลือบตามองบน ยกย่องนางเกินไปแล้ว ต้องขอบคุณไหมเนี่ย?
ซวนหยวนจ้านซัดฝ่ามือใส่งูดำหลายตัวที่แผ่แม่เบี้ยใส่อย่างร้อนรน แต่กลับทำร้ายพวกมันไม่ได้เลย ได้แต่บีบให้พวกมันล่าถอยเท่านั้นเอง เขาถามอย่างเซ็งๆว่า "ในเมื่อรู้แล้ว จะทลายค่ายกลยังไง? จะล่องูดำพวกนี้ไปในหมอกดำยังไง? งูพวกนี้ทำไมถึงควบคุมหมอกดำได้ล่ะ?
โหลชีคิดๆดู พอเข้าใจละ ท่านหมิงเอานางมาทำตาค่าย ก็เท่ากับยิงปืนนัดเดียวได้นกสองตัว
รอจนค่ายกลสังหารมังกรน้ำนี่ฆ่าพวกเขากับคนของลัทธิชิงฟ้าจนหมดแล้ว นางก็จะกลายเป็นยาบำรุงให้งูดำพวกนี้ เลี้ยงงูดำพวกนี้จนเติบโตเต็มที่ ไหนเลยจะต้องหาคนมารองรับหมอกดำที่ไม่อาจควบคุมได้ง่ายเหล่านั้นอีก เขาพางูพวกนี้ไปด้วยก็สามารถครอบครองใต้หล้าได้แล้ว
ดังนั้น ท่านหมิงต้องรู้วิธีควบคุมงูดำพวกนี้ได้แน่
"ต้องหาคนที่วางค่ายกลนี้ออกมา บีบเค้นถามเขาว่าควบคุมงูพวกนี้ได้อย่างไร" ซวนหยวนคงบอก
"จะง่ายขนาดนั้นได้ยังไง? เขาต้องซ่อนตัวไม่ยอมปรากฏตัวเด็ดขาดแน่"
ซวนหยวนจ้านก็ซัดฝ่ามือใส่ฝูงงูไปอีก เริ่มรำคาญบ่นว่า "ตอนนี้ที่ยุ่งยากคืองูพวกนี้ฆ่าไม่ตายเสียที ทำยังไงดี?"
โหลชีคิดๆ พลันยิ้มเจ้าเล่ห์ขึ้นมา "ข้ามีหนทาง"
ทุกคนหันมองนางทันที
"ใช้คำสาปเลือดดวงชะตาของข้า หาอะไรสักอย่างมาแทนที่ข้า ล่องูพวกนี้ออกไป"
"ไม่ได้" ซวนหยวนคงคัดค้านทันที "คำสาปเลือดดวงชะตาจะใช้ง่ายได้ยังไง? เจ้าไม่อยากอยู่แล้วรึ?" ซวนหยวนจ้านครั้งนี้ยืนอยู่ฝ่ายเดียวกับเขา "ใช่ ไม่ได้"
โหลชีพูดอย่างหน่ายใจว่า "ตอนนี้ไม่เพื่อช่วยใคร คำสาปเลือดดวงชะตาใช้แค่ส่วนเดียวก็พอแล้ว ขอเพียงหลอกงูพวกนั้นได้ก็พอแล้วนี่นา"
"ต่อให้เป็นอย่างนั้น จะหาอะไรมาแทนที่เจ้าล่ะ? สิ่งไร้ชีวิตไม่ได้ ทางที่ดีที่สุดเป็นคน แต่ถ้าไม่ระวัง คนผู้นี้จะโดนงูนับหมื่นรัดกายและดูดซึมจนแห้งเหือดตาย"
ทุกคนเงียบไปทันที
ผ่านไปอยู่นาน เทียนยีก้าวออกมา "จักรพรรดินี ข้าน้อยยอมไปล่องู"
โหลชีสีหน้าเปลี่ยนเล็กน้อย
เทียนยีกับเทียนอิ่งเป็นพี่น้องแท้ๆกัน ตอนนั้นเทียนอิ่งตายที่เขาเวิ่นเทียน มันเป็นความเจ็บปวดในใจส่วนลึกของนางและเฉินซ่า ตอนนี้นางมีหรือจะยอมให้เทียนยีไปเสี่ยงอันตรายอีก?
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ใต้ร่มยาใจ