บัลลังก์หมอยาเซียน นิยาย บท 1004

สรุปบท บทที่ 1004 ใครกำลังเรียกเจ้า: บัลลังก์หมอยาเซียน

บทที่ 1004 ใครกำลังเรียกเจ้า – ตอนที่ต้องอ่านของ บัลลังก์หมอยาเซียน

ตอนนี้ของ บัลลังก์หมอยาเซียน โดย ลิ่วเยว่ ถือเป็นช่วงเวลาสำคัญของนิยายนิยาย จีนทั้งเรื่อง ด้วยบทสนทนาทรงพลัง ความสัมพันธ์ของตัวละครที่พัฒนา และเหตุการณ์ที่เปลี่ยนโทนเรื่องอย่างสิ้นเชิง บทที่ 1004 ใครกำลังเรียกเจ้า จะทำให้คุณอยากอ่านต่อทันที

หลังจากรวมตัวกันแล้ว แม่นมฉินก็วาดแผนที่ขึ้นมา แสดงให้พวกเขาดูตลอดทั้งคืน พูดอธิบายว่า “หนานเจียงเป็นเมืองภูเขา ทั้งสี่ด้านล้อมรอบไปด้วยภูเขา เข้าภูเขาไปแล้วจึงจะเป็นเมืองหนานเจียง เพราะทั้งสี่ด้านมีเกราะป้องกัน ราชสำนักจึงยากจะโจมตีเข้าไปได้ นี่ก็เป็นสิ่งฮ่องเต้ทรงคิดอยู่ว่าจะให้หนานเจียงสู้รบกันเองภายใน จากนั้นก็อาศัยเหตุผลที่ราชสำนักจะให้การสนับสนุนอีกครั้ง

เจียงเป่ยแค่ได้ยินชื่อก็รู้ความหมายว่าอยู่ทางด้านเหนือของหนานเจียง พวกเราจะไปเจียงเป่ยได้ด้วยสองเส้นทาง เส้นทางแรกคือผ่านหนานเจียง แต่ว่าตรงกันนั้นมีภูเขาหลายลูกที่แบ่งแยกเหนือใต้ ด้วยเหตุนี้ต้องปีนขึ้นไปบนภูเขาเหล่านี้ ตอนนี้ชายแดนของเจียงเป่ยกันเจียงหนานล้วนมีคนเฝ้าอยู่ ไปจากทางเจียงหนาน จะถูกพบได้ง่าย”

นางปรับปรุงแผนที่ ชี้ไปยังเส้นทางอีกเส้นหนึ่ง “ที่นี่สามารถเข้าสู่เจียงเป่ยได้โดยตรง ชายแดนนั้นไม่มีคนเฝ้า เพราะลักษณะของภูเขาสูงชันมาก และยังมีป่าทึบที่ไม่ค่อยมีคนเข้าไปเดินนัก มีอากาศเป็นพิษและงูพิษโผล่ออกมาเป็นครั้งคราว คนทั่วไปนั้นเข้าไปไม่ได้

แต่งูพิษนั้นไม่ได้น่ากลัวเท่าไหร่ ที่น่ากลัวคืออากาศที่เป็นพิษ ฉะนั้นตอนเข้าไปในภูเขาต้องเป็นเวลากลางวันตอนที่มีแสงแดดเท่านั้น แล้วต้องใส่หน้ากาก กินยาแก้พิษ หลังจากเข้าไปในภูเขาแล้ว เดินไปข้างหน้าประมาณสิบลี้ ก็สามารถเข้าสู่ดินแดนของเจียงเป่ย แต่เข้าสู่เจียงเป่ยแล้วจึงจะเป็นความอันตรายที่แท้จริง

เพราะว่าประชาชนของพวกเขาเป็นทหารทั้งหมด เมื่อเห็นคนนอกเข้ามาก็จะทำการโจมตีทันที พวกเขามีเวทมนตร์ ยากจะป้องกันเป็นอย่างยิ่ง ฉะนั้นต้องเตือนทุกคน อย่าสัมผัสกับดอกไม้สีสันสวยงามอย่างเด็ดขาด เห็นสัตว์ป่าก็อย่าได้ไล่ล่า แมลงพิษ และพวกมดถ้าเดินผ่านใต้เท้า พยายามอย่าได้ไปเหยียบย่ำ ”

นิ้วมือของนางเลื่อนขึ้นไปข้างบน “ตรงนี้ เป็นเขตของหมอผี และเป็นภูเขาที่มีความสูงที่สุดของเจียงเป่ย ด้วยเหตุนี้หลังจากเข้าไปในเจียงเป่ยแล้ว ต้องไปช่วยคนที่เขตหมอผี ก็ต้องปีนขึ้นไปบนเขาลูกนี้

หมอผีล้วนอาศัยอยู่บนภูเขา ในเขตหมอผีมีค่ายกล มีความคดเคี้ยวลดเลี้ยวมาก และมีม่านหมอก ฉะนั้นต้องมั่นใจว่าทุกคนต้องเดินทางไปพร้อมกัน และไม่มีการกระจายตัว ไม่เช่นนั้นละก็ หลงเข้าไปข้างในแล้วละก็อาศัยแค่ความสามารถของตัวเองก็ไม่สามารถเดินออกมาได้ ”

สุดท้าย นางเอ่ยกับอ๋องเว่ยอย่างระมัดระวังเป็นอย่างยิ่งว่า “ยังมีจุดหนึ่งที่ต้องจำไว้ให้มั่น นั่นก็คือหากมีคนสูญเสียการควบคุมสติ อย่าได้เข้าใกล้หรือลองเรียกขานอย่างเด็ดขาด จำเป็นต้องออกห่างอย่างรวดเร็ว

เพราะคนที่ขาดสติก็คือคนที่ถูกหมอผีควบคุมร่าง อาจมีการลงมือฆ่า สถานการณ์เช่นนี้ต้องเกิดขึ้นอย่างแน่นอน”

อ๋องเว่ยขมวดคิ้วขึ้นมา “ถ้าเป็นเช่นนี้ ถ้าขาดสติไปก็ไม่เท่ากับต้องทิ้งชีวิตเขาไปหรือ”

แม่นมฉินพูดว่า “นอกจากจะฆ่าหมอผีที่ควบคุมเขาเอาไว้ได้ ไม่เช่นนั้น เขาก็ไร้ทางรอด”

“ไม่มีวิธีการอื่นหรือ”แน่นอนว่าอ๋องเว่ยย่อมไม่ยินดีจะทิ้งชีวิตของทหารไม่ว่าใครก็ตามอย่างเด็ดขาด โดยเฉพาะการปฏิบัติงานในครั้งนี้เป็นการช่วยเหลือคนโดยเป็นส่วนตัว

แม่นมฉินกล่าวว่า “ที่จริงคำสาปที่เลวทรามที่สุด ก็ย่อมมีโอกาสให้มีชีวิตรอด โอกาสนั้นก็คือการใช้ชีวิตแลกชีวิต”

“ชีวิตแลกด้วยชีวิต เช่นนั้นก็ยังต้องเสียสละชีวิตของคนหนึ่งคนอยู่ดี ”

“ใช่ แต่ความแปลกประหลาดของเวทมนตร์ ก็อยู่ที่ความตายเป็นสิ่งที่ไม่แน่นอน โอกาสรอดสามารถหาได้ทุกที คนทั่วไปทำไม่ได้ ด้วยเหตุนี้ข้าก็จะไม่อธิบายอย่างละเอียด แม้จะเป็นการเอาชีวิตแลกด้วยชีวิตก็ไม่ได้ง่ายดายขนาดนั้น ในช่วงเวลาคับขันนั้นทำไม่ได้ ฉะนั้นถ้าหากมีคนถูกควบคุม จำเป็นต้องทิ้งไว้ทันที จะได้ไม่ทำร้ายอีกหลายชีวิต”

ในเมื่อแม่นมฉินก็พูดเช่นนี้แล้ว คนอื่นที่เหลือไม่กังวลกับเรื่องนี้ เพราะครั้งนี้ก็นับว่าออกรบเช่นกัน แต่อ๋องเว่ยเป็นคนที่ทำงานอย่างสามารถพึ่งพิงได้ ต้องเข้าใจทุกเรื่อง ด้วยเหตุนี้จึงถามปัญหานี้กับแม่นมฉินตลอด

แม่นมฉินรู้สึกว่าความคิดของอ๋องเว่ยมีความอันตรายอยู่บ้าง เพราะการพยายามเข้าไปช่วยคนที่ถูกควบคุม อาจเป็นไปได้ว่าจะให้คนอีกมากต้องเดือดร้อน ฉะนั้น เอ่ยเตือนด้วยเสียงดุว่า “ท่านอ๋อง ท่านเป็นแม่ทัพในการปฏิบัติภารกิจครั้งนี้ จะทำให้ทุกคนต้องเดือดร้อนเพียงเพราะความใจอ่อนชั่วขณะไม่ได้อย่างเด็ดขาด”

แม่นมฉินพูดจาค่อนข้างอ่อนโยนตลอดมา แต่เสียงเข้มขึ้นมาอย่างกะทันหัน ทำให้ทุกคนต่างก็หันมามอง

อ๋องเว่ยกวาดมองด้วยสีหน้าเรียบๆแวบหนึ่ง ลากตัวแม่นมฉินออกไปอีกฟาก กดเสียงต่ำลงและพูดว่า “ข้ามีน้องชายสองคนอยู่ที่นี่ เพื่อเป็นการป้องกันที่ไม่อาจคาดคิดได้ อย่างไรเสียก็ต้องถามอย่างละเอียดอยู่บ้าง ถ้าหากพวกเขาเกิดอะไรขึ้นมา ข้าคงไม่อาจนิ่งดูดายได้ แต่เจ้าวางใจ ข้าจะชั่งใจระหว่างผลดีกับผลเสีย ไม่ให้กระทบต่อทุกคน”

ในห้องเดิมทีก็มีเนื้อที่แค่นี้ แม้จะกดเสียงลงต่ำมากแล้ว แต่ก็ยังทำให้หยู่เหวินเทียนกับอ๋องอันได้ยินอยู่ดี หยู่เหวินเทียนรู้อยู่แล้วว่าพี่สามนั้นมีความรับผิดชอบในเรื่องนี้ ด้วยเหตุนี้จึงไม่รู้สึกอะไร แต่อ๋องอันกลับนิ่งอึ้งไปชั่วครู่ และหันหน้าออกไปข้างนอก แววตาลึกล้ำขึ้น

คนมากมายเดินอยู่ตรงหน้านาง ใบหน้าของผู้คนเหล่านั้นราวกับถูกย้อมไปด้วยเลือดเต็มไปหมด ยื่นมือมาทางนาง ร้องเรียกชื่อของนาง นอกจากนั้นยังมีผู้คนบางส่วนที่สีหน้าเย็นชา พยายามจะยื่นมือออกมาจับนาง และกำลังร้องเรียกชื่อนางเช่นกัน คนเหล่านั้นราวกับโคมม้าวิ่งทำให้นางรู้สึกเวียนหัวมาก เวียนหัวจนเกือบจะยืนไม่อยู่

“หมันเอ๋อ”หยู่เหวินเทียนประคองตัวนางไว้ได้ทัน “เหนื่อยมากเกินไปใช่หรือไม่ ”

สีหน้าของหมันเอ๋อขาวซีด พยายามรวบรวมสติเพ่งมองหยู่เหวินเทียน ค่อยๆส่ายหน้า “อาจเป็นเพราะว่าเหนื่อยอยู่บ้าง”

“ฉวยโอกาสที่ทุกคนพักผ่อน เจ้าก็พักผ่อนก่อนสักครู่”หยู่เหวินเทียนประคองนางให้นั่งลง เห็นสีหน้านางขาวซีดอย่างน่ากลัว ในดวงตายังมีความแดงก่ำขึ้นมา ช่างผิดปกติจริงๆ

แม่นมฉินได้พูดถึงทางเข้าไปยังภูเขาให้กับอ๋องเว่ยและอ๋องอันรู้ แล้วก็เดินเข้ามา นางยื่นมือไปจับที่หน้าผากของหมันเอ๋อชั่วครู่ เอ่ยอย่างเป็นกังวลว่า

“หมันเอ๋อ เจ้ากำลังตัวร้อน”

“นางไม่สบายหรือ ”หยู่เหวินเทียนขมวดคิ้ว “ถ้าเช่นนั้นเจ้าจะตามไปไม่ได้แล้ว เจ้าต้องกลับไป ข้าจะให้คนสองคนส่งเจ้ากลับไป”

หมันเอ๋อดึงตัวเขาเอาไว้ทันที ใบหน้ามีความดื้อดัน “ไม่ ไม่ ข้าไม่กลับไป ข้าจะไปเจียงเป่ย พวกเขากำลังเรียกข้า”

หยู่เหวินเทียนนิ่งอึ้ง “ใครกำลังเรียกเจ้า”

ประวัติการอ่าน

No history.

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: บัลลังก์หมอยาเซียน