บัลลังก์หมอยาเซียน นิยาย บท 1069

อาหารยกมาแล้ว แต่ฮ่องเต้หมิงหยวนกลับไม่ได้ถามคำถามอะไร แค่ปล่อยให้นางกินข้าว

หยวนชิงหลิงหยิบตะเกียบขึ้นมาแล้วเริ่มกิน แม้ว่าจะไม่ใช่ครั้งแรกที่ได้ร่วมโต๊ะกับเสด็จพ่อ แต่ครั้งนี้ นางไม่อาจรู้สึกผ่อนคลายสบายใจได้ เพราะที่นางกำลังเผชิญหน้าอยู่ คือพ่อที่มีอายุมากแล้วคนหนึ่ง ซึ่งอาจจะต้องสูญเสียลูกชายของตัวเองไป

ต่อให้จะโกรธที่หยู่เหวินจุนไม่รู้ความมากแค่ไหน แต่ก็เป็นไปไม่ได้ที่คนเป็นพ่อจะเพิกเฉยต่อความเป็นความตายของเขาโดยไม่ดูดำดูดี

ดังนั้นอาหารมื้อนี้ แม้ว่าหยวนชิงหลิงจะหิวมาก แต่นางก็กินอะไรได้ไม่เยอะ เพราะใจไม่ค่อยอยู่กับเนื้อกับตัวเท่าไหร่

ในทางกลับกัน ฮ่องเต้หมิงหยวนกลับเสวยข้าวไปหนึ่งชามเต็ม ๆ ทั้งยังดื่มน้ำแกงเข้าไปถึงสามชามติด ๆ จนมู่หรูกงกงต้องเข้ามาหยุดไว้ ฮ่องเต้ยังสั่งให้เขาถอยไปอย่างเคือง ๆ ทำเอาหยวนชิงหลิงที่เห็นเหตุการณ์อยู่ตำตา พาลรู้สึกหวั่นใจขึ้นมาบ้างแล้ว

ในวังนี้มีกฎในการกินข้าวอยู่ว่า ไม่ว่าอาหารจานนั้นจะอร่อยแค่ไหนก็ตาม ก็จะไม่มีการคีบซ้ำเกินสามครั้ง ยิ่งไม่ต้องพูดถึงการดื่มน้ำแกงทีเดียวสามชามติด ๆ เลยด้วย

เมื่อเห็นฮ่องเต้หมิงหยวนที่เป็นเช่นนี้นางก็เกิดความรู้สึกทรมานใจขึ้นมาเล็กน้อย

ตั้งแต่หยู่เหวินจุนเกิดเรื่องจนถึงตอนนี้ นางก็แค่ทำการรักษาให้ตามหน้าที่ของหมอไปก็เท่านั้น แต่นางไม่เคยมีอารมณ์ร่วมอื่นใดเลยทั้งสิ้น ทว่าในตอนนี้ เมื่อต้องมาเผชิญหน้ากับฮ่องเต้หมิงหยวน นางก็ถึงกับคิดว่าถ้าหยู่เหวินจุนไม่เป็นไร มันคงจะทำให้พระองค์มีความสุขได้ นางจึงหวังขึ้นมาจริง ๆ ว่าหยู่เหวินจุนจะไม่เป็นไร

หลังจากฮ่องเต้หมิงหยวนเสวยเสร็จ ก็เช็ดมุมพระโอษฐ์ รอจนมู่หรูกงกงสั่งให้คนมายกอาหารที่เหลือออกไปจนหมด ก็กดพระหัตถ์ทั้งสองข้างลงบนโต๊ะหนัก ๆ เงยพระพักตร์ขึ้นมองหยวนชิงหลิง " กินอิ่มแล้ว เช่นนั้นก็พูดมาเถอะ สถานการณ์ของเขาตอนนี้เป็นอย่างไรบ้าง?”

เมื่อได้ยินประโยคนี้ หยวนชิงหลิงก็รู้สึกทรมานใจมาก เขาอยากกินให้อิ่มก่อนถึงค่อยฟัง เพราะกลัวว่าหลังจากฟังแล้ว คืนนี้คงจะกินข้าวไม่ลงนั่นเอง

เขาแบกแผ่นดินทั้งผืนไว้บนบ่า ดังนั้นเขาจึงต้องกินข้าวเพื่อให้มีแรงต่อ

หยวนชิงหลิงพูดอย่างตรงไปตรงมาว่า : “สถานการณ์ไม่ดีอย่างที่คิด เขาเสียเลือดมากเกินไป ตอนที่พบตัวก็ถือว่าช้าเกินไปแล้ว ตอนนี้เรียกว่าแค่ยื้อลมหายใจเฮือกสุดท้ายไว้ได้เท่านั้น ใช้การสรุปของเจ้าห้ามาวิเคราะห์ได้ว่า หลังจากที่ได้รับบาดเจ็บสาหัส เขาก็รีบปิดผนึกจุดชีพจรไว้ในทันที แม้ว่าผลที่ได้จะไม่ดีนัก แต่ก็ช่วยยับยั้งเลือดที่ไหลออกต่อเนื่องได้ระดับหนึ่ง จึงยังพอจะสามารถรักษาชีวิตนี้ไว้ได้เพคะ"

ฮ่องเต้หมิงหยวนขยับพระหัตถ์ขึ้นไปข้างหน้า แต่ร่างกายกลับขยับถอยมาข้างหลัง "ถ้าอย่างนั้น ตามความเห็นของเจ้า พอมีโอกาสฟื้นขึ้นมาได้บ้างหรือไม่?"

หยวนชิงหลิงพิจารณาคำพูดไปรอบหนึ่ง ไม่กล้าพูดคำว่าตายออกมา แค่พูดว่า: "อาจมีโอกาสที่จะดีขึ้นได้ แต่ก็แค่นั้น เพราะต่อให้ดีขึ้นจริง ก็เกรงว่าอาการของโรคที่แสดงออกในภายหลัง ซึ่งเป็นผลสืบเนื่องจากการบาดเจ็บคงจะร้ายแรงมากเพคะ"

"จะเป็นอย่างไรรึ?"

“ ส่วนของสมองอาจจะเสียหาย มีโอกาสที่จะมีสภาพแบบคนที่ต้องนอนเป็นผัก หรือหลังจากที่ฟื้นขึ้นมาก็อาจสมองรับรู้ช้า หรือลืมเหตุการณ์เมื่อครั้งอดีตไปเป็นต้น ตอนนี้พวกเรายังคาดเดาอะไรไม่ได้มาก ได้แต่ต้องคอยติดตามความคืบหน้าต่อไปเพคะ”

สีพระพักตร์ของฮ่องเต้หมิงหยวนยังคงไม่เปลี่ยนแปลง "กล่าวอีกนัยหนึ่งคือ ถ้าเขาไม่ตาย ก็ไม่อาจกลับไปเป็นเหมือนแต่ก่อนได้อีกแล้วอย่างนั้นสินะ?"

“นี่ก็ .… พูดไม่ได้แบบชี้ชัดว่าจะถึงขั้นนั้นเพคะ แต่โดยรวมแล้วมันเป็นเช่นนี้” หยวนชิงหลิงแบ่งรับแบ่งสู้

“มีโอกาสที่จะฟื้นขึ้นมาได้อยู่กี่ส่วน?” ฮ่องเต้หมิงหยวนตรัสถามขึ้นอีกครั้ง

หยวนชิงหลิงถอนหายใจเบา ๆ “ไม่มากเพคะ ไม่ถึงหนึ่งส่วน”

ฮ่องเต้หมิงหยวนรู้สึกเหมือนดั่งตรงหน้าถูกปกคลุมไปด้วยหมอกควันจนดูพร่าเลือน นิ่งเงียบไม่เอ่ยวาจา หยวนชิงหลิงก็ไม่กล้ามองพระองค์เช่นกัน พยายามเค้นสมองก็คิดไม่ออกว่าควรพูดอะไรออกไปดีถึงจะเหมาะ สุดท้ายจึงทำได้เพียงนิ่งเงียบไปด้วยอีกคน

หลังจากผ่านไปครู่หนึ่ง พระองค์ก็ตรัสว่า: "เจ้าไปอยู่เป็นเพื่อนไท่ซ่างหวงที่พระตำหนักฉินคุนเถอะ แล้วเรียกเจ้าห้ามาที่นี่หน่อย"

“เพคะ!” หยวนชิงหลิงรู้สึกโล่งใจเหมือนได้ยกภูเขาออกจากอก  ลุกขึ้นยืนแล้วค้อมตัวคำนับทันที “หม่อมฉันทูลลาเพคะ!”

หลังจากถามถึงอาการบาดเจ็บแล้ว ก็ควรจะถามเกี่ยวกับคดีนี้สักหน่อย หยวนชิงหลิงคิดในใจว่าถ้าหยู่เหวินจุนจะลดความทะเยอทะยาน หรือปรารถนาในอำนาจให้น้อยลงหน่อย ก็คงจะไม่ต้องมาเจออะไรแบบนี้จริง ๆ นั่นแหล่ะ

หยวนชิงหลิงเพิ่งหันหลังไป แต่กลับได้ยินเสียงของฮ่องเต้หมิงหยวนดังขึ้นมาอีกครั้งว่า“ช้าก่อน เจ้านั่งลงก่อน!”

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: บัลลังก์หมอยาเซียน