แน่นอนล่ะ เขาต้องไม่เคยพบยอดฝีมือมากมายมาก่อน แค่พอได้เห็นท่านพ่อรำกระบี่ เขาก็รู้สึกว่านั่นร้ายกาจมากแล้ว
ในสวน หนานเปียนเค่อ เคลื่อนกายผ่านตาข่ายที่ทอด้วยปราณกระบี่ราวกับใบไม้ที่ปลิวไสว ดูสบาย ๆ เหมือนไม่ได้ออกแรงอะไร ราวกับว่าเขากำลังเล่นสนุกอยู่ก็ไม่ปาน ท่าทางของเขาดูผ่อนคลายมาก กลับกันฝ่ายเจ้าห้ากับท่านชายสี่กลับต้องดิ้นรนอย่างหนัก พวกเขาไม่ได้รับบาดเจ็บ เเต่ถ้าหนานเปียนเค่อ คิดจะทำร้ายพวกเขาจริง ๆ ก็คงจะเป็นเรื่องง่ายดายราวพลิกฝ่ามือ แต่เขาก็ไม่ทำ คล้ายกับว่าเขากำลังเล่นเกมแมวหยอกหนูอย่างไรอย่างนั้น ให้พวกเขาพยายามอย่างเต็มที่ แต่กลับไม่สามารถสัมผัสโดนกระทั่งเสื้อผ้าของเขาได้
นักแม่นธนูไม่กล้ายิงธนูอีกต่อไป ในระยะประชิดแบบนี้ ถ้ายิงธนูออกไป อาจจะไปทำร้ายโดนพวกเดียวกันได้ ดังนั้น นักแม่นธนูทุกคนจึงเข้าร่วมการต่อสู้ในสนามนี้ด้วย สถานการณ์แบบนี้ เป็นการสู้แบบใช้พวกมากเข้ารุมพวกน้อย เมื่อเทียบกับการรับมือนักฆ่าก่อนหน้านี้แล้ว เป็นอะไรที่ผ่อนคลายกว่ามาก เรียกว่าแตกต่างกันราวฟ้ากับดินเลยก็ว่าได้
ขณะที่เห็นทุกคนต่างทุ่มเทกำลังกันอยู่ ก็ได้ยินเสียงกู่ร้องยาวมาจากหนานเปียนเค่อ จากนั้นก็เหินกายเข้าไปในเรือน คว้าเอาน้ำมันขวดหนึ่งมาถูที่มือ ไม่รู้ว่าหยิบหินเหล็กไฟมาจากไหน เสียดสีที่ฝ่ามือจนเกิดเปลวไฟ แล้วถอยออกไปอย่างรวดเร็ว ปล่อยให้วงแหวนแห่งไฟลุกลามตามไปตลอดทาง ส่งผลให้แนวล้อมโดยรอบถูกบังคับให้แตกพ่ายไปทันที
ฉากนี้ทำให้ผู้ที่เข้าร่วมการต่อสู้ระยะประชิดในที่เกิดเหตุต่างตกตะลึง บางคนถูกไฟคลอกจนต้องรีบถอยกลับไป บ้างถึงกับลงไปกลิ้งกับพื้น คิ้วและผมของสวีอีก็ถูกไฟไหม้ด้วยเช่นกัน เขารีบฝังศีรษะลงในทรายภายในสวน แล้วกลิ้งไปมารอบ ๆ เรียกได้ว่าสภาพเละเทะได้เท่าไหร่ ก็เละเทะได้เท่านั้นเลยทีเดียว
“ ยังจะสู้อีกหรือไม่? ถ้ายังจะสู้อีก จวนอ๋องฉู่จะถูกเผาจนวอดวายไม่มีเหลือแล้วนะ! ” หนานเปียนเค่อ ผุดรอยยิ้มขี้เล่นบนใบหน้า ดวงตาเป็นประกายวับวาว ดูภาคภูมิใจและไม่ยี่หระ นี่เป็นครั้งแรกหลังจากที่เขาเข้ามาในจวน แล้วแสดงท่าทางอื่นนอกเหนือไปจากความอ่อนน้อมถ่อมตน แต่ดูเหมือนว่านี่ต่างหาก ที่เป็นใบหน้าอันแท้จริงของเขา
แม้ว่าหยู่เหวินเห้าจะไม่ได้ถูกไฟคลอก แต่เขารู้สึกแอบขนลุกในขณะที่มองดูวงแหวนไฟที่ลุกขึ้นมาแบบไม่มีปี่มีขลุ่ย เมื่อมองประสานสายตากับท่านชายสี่ ท่านชายสี่ก็สั่งอย่างเคร่งขรึมว่า"ควบคุมไฟ!"
ทุกคนหยุดมือ หยู่เหวินเห้าโอบกระบี่พลางสาวเท้าก้าวขึ้นไปข้างหน้า สภาพเขาเองก็ร่อแร่มากแล้วเช่นกัน "ไม่ใช่ว่าเจ้าตั้งใจจะมากุดหัวข้าไปหรอกรึ?"
หนานเปียนเค่อ มองดูเขา “ข้าไม่เคยพูดนะ เป็นพวกเจ้าที่เข้ามารุมทุบตีข้าเองแท้ ๆ ข้าเห็นว่าน่าสนุกดี ก็เลยเล่นด้วยเสียหน่อย ข้าไม่ได้ออกแรงมาหลายปีแล้ว ถ้าเมียของข้ารู้เข้า น่ากลัวว่านางคงด่าข้าชุดใหญ่จนหูชาแน่"
ทุกคนหันมองหน้ากันเลิ่กลั่ก กลัวเมียรึ? นี่คือตัวตนที่แท้จริงของจอมมารกระบี่ผู้ไร้เทียมทานหรือนี่?
ท่านชายสี่ลังเลอยู่ครู่หนึ่ง แล้วถามว่า “เจ้าบอกว่าเจ้ามาเพื่อเอาทองหนึ่งล้านตำลึงไม่ใช่หรือ? เจ้าคือหนานเปียนเค่อ จอมมารกระบี่ใช่หรือไม่?”
มีแววสงสัยในดวงตาของหนานเปียนเค่อ "ข้าคือหนานเปียนเค่อ ไม่ผิด แต่ใครคือจอมมารกระบี่รึ?"
สีหน้าของหยู่เหวินเห้ากับท่านชายสี่เปลี่ยนไปเล็กน้อย อดถามพร้อมกันไม่ได้ว่า "เจ้าไม่ใช่จอมมารกระบี่หรอกหรือ?"
“เขาไม่ใช่ แต่ข้าน่ะใช่!” จู่ ๆ ก็มีเสียงเสียงหนึ่งดังขึ้นที่ริมกำแพง เมื่อทุกคนได้ยินเสียงนั้นก็พากันหันไปมองด้วยความตื่นตระหนก เห็นเพียงชายชราสวมชุดสีเขียวยืนอยู่บนกำแพง ซึ่งไม่รู้ว่ามาตั้งแต่เมื่อไร เขาพกกระบี่มาด้วยเล่มหนึ่ง กระบี่เล่มนี้ไม่ได้สวมอยู่ในฝักจริง ๆ เผยให้เห็นเรียวกระบี่อันคมกริบ มีแสงเย็นเยียบบนใบมีด ได้กลิ่นคาวเลือดโชยมา ใบหน้าของชายชราดูสงบราบเรียบ ไม่ได้แสดงความเป็นศัตรู แต่กลับทำให้คนรู้สึกถึงกลิ่นไออันโหดเหี้ยม ที่มาจากร่างของเขาได้อย่างไม่มีเหตุผล
ทุกคนชักกระบี่ออกมาเผชิญหน้ากับเขา ทั้งหมดเตรียมพร้อมระวัง
ชายชราในชุดสีเขียว หรือที่รู้จักกันในชื่อจอมมารกระบี่หนานเปียนเค่อ เหลือบมองชายชราแล้วถามว่า "ทำไมเจ้าถึงต้องสวมหน้ากาก?"
ท่านชายสี่ได้ยินดังนั้น ก็รีบหันไปมองทางชายชรา เมื่อลองพินิจมองดูโดยละเอียด ก็ยังไม่พบว่าเขาปลอมตัวอยู่
ทั้งสองมองหน้ากันในอากาศ จนเห็นชายชรายกยิ้มเล็กน้อย "ดวงตาของเจ้าช่างแหลมคมนัก"
เขายื่นมือขึ้นมาเช็ด ๆ ถู ๆ บนใบหน้า เผยให้เห็นใบหน้าที่มีคิ้วหนาและหยาบกร้าน ไม่แก่ ดูไปแล้วน่าจะราวสามสิบกว่า ๆ โดยประมาณ คิ้วของเขาหนาและดำเป็นพิเศษ แทบไม่น่าเชื่อโดยสิ้นเชิงว่านี่คือชายชราที่แสนจะอ่อนน้อมถ่อมตนเมื่อครู่ เขาพูดขึ้นว่า"ข้ามีชื่อว่าฉีฮั่ว ไม่ใช่จอมมารกระบี่ แล้วก็ไม่ได้ชื่อหนานเปียนเค่อหรอก"
จอมมารกระบี่พูดขึ้นว่า “ข้าใช้กระบี่มาเป็นเวลานานมากแล้ว ทักษะการสังเกตจึงแตกต่างจากคนทั่วไป การปลอมตัวของเจ้านั้นละเอียดและพิถีพิถันมากจริง ๆ แต่คิ้วของเจ้าหนาและดำเกินกว่าจะปกปิดได้”
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: บัลลังก์หมอยาเซียน
สองขาของหยู่เหวินเห้าก็คดงอคุกเข่าลงอย่างช่วยไม่ได้ เอ่ยอย่างไม่เต็มใจเลยสักนิดว่า “ลูกยินดียอมรับโทษทัณฑ์ที่เหลือของเสด็จพ่อ ชอบข้อความบทนี้ตลกดีคะพระเอก ตอน 394...
1...
1...
เพิ่งอ่านได้ 2ร้อยกว่าหน้า สนุกน่าติดตามมาก แต่ทั้งเรื่องมี2พันกว่าหน้า ทำไงจะอ่านจบ...
ขอบคุณผู้แต่ง และ novelones มากๆค่ะ ดีที่สุด อ่านรอบที่ 4 แล้วก็ยังสนุกครบรส ❤️...
เรื่องนี้ถือว่าสมบูรณ์มากสนุกต้นถึงจบ อยากให้เป็นซีรี่ย์...
สนุก ตลกดี เนื้อเรื่องชวนติดตามแต่คำผิดเยอะไปหน่อยค่ะ...