บัลลังก์หมอยาเซียน นิยาย บท 1446

หลังจากถ่ายรูปแต่งงานในสตูดิโอเสร็จ ก็ไปถ่ายด้านนอกกันในวันนั้นเลย

แม้จะลำบากแต่ข้อดีคือผลออกมาเป็นที่น่าพอใจมาก สิ่งที่น่าพอใจที่สุดก็คือแม่นมสี่กับโสวฝู่ก็ถ่ายด้วยชุดหนึ่งเหมือนกัน ถึงแม้จะเป็นการถ่ายในสตูดิโอแบบธรรมดา ๆ แต่ก็ให้บรรยากาศที่อบอุ่นและน่ารักมาก

หลังจากถ่ายรูปแต่งงานแล้ว ก็เริ่มดำเนินการแต่งงานต่อได้

สำหรับงานแต่งงานกลางแจ้งงานเล็ก ๆ ก็มีการเช่าบ้านไร่เอาไว้หลังหนึ่ง และได้แจ้งไปยังบริษัทจัดงานแต่งให้ตระเตรียมสถานที่เอาไว้ล่วงหน้าเรียบร้อยแล้ว งานนี้เชิญคนไม่มากนัก ล้วนเป็นเพื่อนร่วมงานกับบรรดาเพื่อนสนิท

เพื่อนร่วมงานจากโรงพยาบาลของศาสตราจารย์หยวนก็ถูกเชิญมาด้วยหลายคน เพราะแต่ละคนรู้สถานการณ์ของครอบครัวพวกเขา ตอนนี้ได้เห็นพวกเขารับลูกสาวบุญธรรมมาคนหนึ่ง อีกทั้งเธอก็ยังดูละม้ายคล้ายลูกสาวคนเดิมมาก ทั้งยังเข้ากันได้ดีอย่างยิ่ง ทุกคนจึงรู้สึกมีความสุขแทนพวกเขาด้วย

คู่อ๋องชินเฟิงอันสามีภรรยาก็พาองค์ชายรัชทายาทเจี้ยนจงกับฮ่องเต้ฮุยจงมาด้วย และยังมีพวกหยางหรูไห่กับฟางหวู ก็มาร่วมงานแต่งงานนี้อย่างคับคั่ง

บ้านไร่หลังนี้ตกแต่งได้งดงามประณีต ดูโอ่อ่าสง่างามมาก ในสวนยังมีชิงช้ารางหนึ่งให้เด็กๆ ได้เล่น

ลูกโป่งถูกแขวนไว้ทั่วสวน ริบบิ้นสีแดงยาวมัดห้อยระย้ากับพื้น รูปถ่ายงานแต่งงานของพวกเขาถูกแขวนประดับไว้บนรั้ว

หยู่เหวินเห้าสวมชุดสูทสีขาว ดูหล่อเหลาไม่ธรรมดา หยวนชิงหลิงสวมชุดเจ้าสาวที่พริ้วสยายงามสง่า ทั้งสองดูมีความเป็นคู่สามีภรรยาที่แน่นแฟ้นขึ้นกว่าเดิม เซียวเหยากงถึงกับร้องเอ๋ขึ้นมาอย่างประหลาดใจ "ข้ามักจะคิดว่าพระชายารัชทายาทดูงดงามขึ้นมาก ดูมีความแตกต่างจากเมื่อก่อนอยู่บ้าง แต่พอมองให้ละเอียด ๆ เจ้าก็มองไม่ออกอยู่ดีว่ามันต่างกันตรงไหน”

“ แค่ดูก็พอ อย่าพูดมาก !” ไท่ซ่างหวงรู้สึกตื่นเต้นขึ้นมาเล็กน้อย มองดูพวกเขาทยอยมายืนรวมกันที่ใต้แท่นกล่าวบรรยาย รู้ว่าอีกสักครู่พ่อแม่ของฝ่ายเจ้าสาวจะขึ้นพูด เรื่องเหล่านี้เสี่ยวโจวได้บอกพวกเขาไว้ล่วงหน้าแล้ว

ศาสตราจารย์หยวนขึ้นมาบนเวทีกล่าวบรรยาย มองดูลูกเขย แล้วจู่ ๆ น้ำตาก็ไหลพราก สคริปต์ที่เตรียมเอาไว้อย่างดีกลับอ่านออกไปไม่ไหวแม้แต่คำเดียว ทำได้แค่พูดด้วยน้ำเสียงเจือสะอื้นว่า “คุณต้องดีกับเธอไปตลอดชีวิตนะ! ตลอดชีวิตนี้อย่าได้ปล่อยมือเธอเด็ดขาด!”

หยู่เหวินเห้ามองด้วยความซาบซึ้งจากข้างล่าง แล้วพูดขึ้นว่า "ข้าจะอยู่กับนางไปตลอดชีวิต แบ่งปันความสุขและความทุกข์ร่วมกัน!"

ศาสตราจารย์หยวนพูดอะไรไม่ออก จึงเปลี่ยนเป็นคุณแม่หยวนขึ้นมาบนเวทีแทน เธอมองดูลูกสาวกับลูกเขยด้วยน้ำตาคลอเบ้า “ฉันรอคอยมานานมาก รอคอยให้มีงานแต่งงานแบบนี้สักครั้ง งานแต่งที่ลูกสาวของฉันจะได้แต่งออกไปกับใครสักคนที่พึ่งพาได้ เจ้าห้า ทุกคนในครอบครัวของเราเชื่อมั่นในตัวคุณ รักคุณ และหวังว่าคุณก็จะเชื่อมั่นในตัวลูกสาวของฉันเหมือนกัน รักเธอ เอ็นดูเธอเหมือนที่พวกเราเอ็นดูเธอ ไม่ทำให้เธอโศกเศร้าเสียน้ำตา…..”

แม้ว่าจะเป็นงานแต่งงาน แต่คำพูดเช่นนี้มักทำให้คนร้องไห้ได้เสมอ ทุกคนต่างพากันทอดถอนใจ ขณะมองดูคุณแม่หยวนพูดความในใจ

หยู่เหวินเห้าเดินเข้าไปช้า ๆ กางแขนทั้งสองข้างออก แล้วสวมกอดคุณแม่หยวนไว้ในอ้อมแขน พูดด้วยน้ำเสียงเครือ ๆ ว่า "ท่านแม่โปรดวางใจ ข้าจะดีกับนางไปตลอดชีวิตที่เหลือแน่นอน!"

แม่ของหยวนชิงหลิงอดหลั่งน้ำตาออกมาไม่ได้ พูดซ้ำ ๆ ไม่หยุดว่า “ดี! ดี!”

เดิมทีหยวนชิงหลิงคิดว่าเธอจะไม่ร้องไห้ แต่เมื่อเห็นว่าคุณพ่อของเธอเป็นแบบนี้ เธอก็ร้องไห้ออกมาจนหน้าที่แต่งไว้เลอะเทอะไปหมด ขึ้นไปกอดแม่ด้วยกันกับเจ้าห้า พูดเสียงเจือสะอื้น "คุณแม่ไม่ต้องเป็นห่วงพวกเรานะคะ พวกเราจะใช้ชีวิตให้ดี แล้วเราก็จะมาเยี่ยมคุณพ่อคุณแม่บ่อย ๆ ด้วย จะอยู่กับคุณพ่อคุณแม่ไปจนแก่เลยค่ะ”

แน่นอนว่าเด็ก ๆ ต่างก็เบียดกันเข้าไปกอดกับทุกคนด้วย ยังไม่ลืมดึงคุณย่าหยวนขึ้นมาด้วยอีกคน ทั้งครอบครัวกอดกัน จ้องมองกันและกัน ต่างรู้สึกมีความสุขมากจนไม่อาจสรรหาคำใดมาเปรียบเทียบได้

ไท่ซ่างหวงสูดลมหายใจเข้าลึก ๆ เฮือกหนึ่ง เขาอายุมากแล้ว ไม่อาจเห็นภาพลักษณะนี้ได้มากนัก มันก่อให้เกิดความรู้สึกอยากจะร้องไห้!

เซียวเหยากงยืนอยู่ข้าง ๆ เขา พูดด้วยความรู้สึกซาบซึ้งว่า “เจ้าว่า เพียงพริบตาเดียวเจ้าห้าก็โตขนาดนี้แล้ว จนแต่งงานแต่งการแล้วด้วย วันเวลามันผ่านไปเร็วขนาดไหน?”

อารมณ์ซึ้งของไท่ซ่างหวงมีอันชะงักลงไปในทันที “เขาไม่ได้เพิ่งจะแต่งงานเสียหน่อย จนลูก ๆ โตกันขนาดนั้นแล้ว ดูที่เจ้าพูดสิ!”

“ ในตอนนั้น พูดตามสัตย์จริงก็ไม่ได้มีความรู้สึกซาบซึ้งยินดีอะไรนักหรอก ถึงแม้งานจะใหญ่โตมาก ก็ได้ดูแค่ฉากหน้ากับการรับส่งกันตามธรรมเนียม ไม่รู้สึกถึงความอบอุ่นเลย แบบนี้ดีกว่าเยอะ มีความรู้สึกซาบซึ้งประทับใจกว่า" เซียวเหยากงพูด

ไท่ซ่างหวงมองเขา “ประโยคนี้เจ้าพูดได้ถูกต้อง มันเป็นเหตุผลตามนี้จริง ๆ”

คุณย่าหยวนขมวดคิ้ว “ก็ไม่มีผิดนี่ ถ้าไม่สนเรื่องสถานะทางสังคมของเจ้า เจ้าก็นับว่าเป็นน้องชายของข้า เพราะถึงอย่างไร ถ้าอายุไม่ต่างกันมากก็ไม่มีปัญหาอยู่แล้ว แล้วแต่เขาสิ มันก็เป็นแค่คำเรียกอย่างหนึ่งเอง "

“เจ้าดูถูกข้า!” ไท่ซ่างหวงก็ขมวดคิ้วมุ่นขึ้นมาด้วย น้ำเสียงเต็มไปด้วยอารมณ์กล่าวหา

คุณย่าหยวนตกใจจนผงะ“เปล่าเสียหน่อย ข้าจะไปดูถูกเจ้าได้อย่างไรกัน?”

ไท่ซ่างหวงพูดว่า "อย่างไรเจ้าก็ดูถูกข้า เจ้าพูดด้วยความรู้สึกที่เหนือกว่า เจ้าคิดว่าข้าไม่รู้อะไรเลยใช่หรือไม่? เจ้าเป็นพวกนักปราชญ์ เป็นพวกชนชั้นปัญญาชน จึงดูถูกสติปัญญาของผู้อื่นที่ต่างจากตัวเอง ข้าเป็นพวกคนหัวโบราณใช่หรือไม่? ทุกครั้งที่เจ้าคุยกับข้าก็แค่คุยแบบขอไปทีให้มันผ่าน ๆ ไป”

คุณย่าหยวนถึงกับงงงันจับต้นชนปลายไม่ถูก “ข้าเคยพูดแบบนั้นที่ไหนกัน? ข้าก็เคารพเจ้ามาโดยตลอดนะ”

ไท่ซ่างหวงยกยิ้มชืดชา แสดงท่าทีเย่อหยิ่งแต่สีหน้าอึมครึม "แล้วเจ้าล่ะ นี่เป็นความจริงใช่หรือไม่? เจ้าจงใจสินะ? ถูกต้องแล้ว ข้าไม่รู้ ไม่รู้อะไรมากมายเท่าเจ้า ข้าขับรถไม่เป็น ใช้เครื่องใช้ไฟฟ้าพวกนั้นก็ไม่เป็น กระทั่งจะเปิดทีวีข้าก็ยังเปิดเองไม่เป็นด้วยซ้ำ เจ้าจะดูถูกก็เป็นเรื่องปกติ เอาเถอะ จากนี้กลับกันถ้าได้พบเจ้า ข้าก็แค่หลีกไปให้ไกล ๆ ก็พอ จะได้ช่วยเจ้าประหยัดเวลา ไม่ต้องอดทนกับข้าให้มาก เห็น ๆ กันอยู่ว่าดูถูกข้า แต่ก็ต้องแสร้งทำเป็นเคารพให้เกียรติ”

คุณย่าหยวนหันไปมองเขา แล้วหันไปมองฝูงชนที่ต่างก็ตกตะลึงอึ้งค้าง นี่มันคืออะไรกันล่ะเนี่ย? ทำไมอยู่ดี ๆ ก็ลุกขึ้นมาร่ายคำบ่นเป็นกระบุงโกยแบบนี้?

“ไม่ใช่ เจ้าฟังข้าพูดก่อน.....”

“ไม่ฟัง!” ไท่ซ่างหวงบิดตัวหนีไปอีกทาง แสดงท่าทีโกรธเคืองออกมาแล้ว

“….” คุณย่าหยวนถึงกับพูดไม่ออกโดยสิ้นเชิง

อ๋องชินเฟิงอันสามีภรรยามองดูอยู่ห่าง ๆ ยกริมฝีปากขึ้นยิ้มเยาะ ลูกไม้แบบนี้เคยเอามาใช้เมื่อหลายสิบปีก่อนแล้วใช่หรือไม่?

ประวัติการอ่าน

No history.

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: บัลลังก์หมอยาเซียน