บัลลังก์หมอยาเซียน นิยาย บท 1512

บนยอดเขาหมาป่าหิมะมีวัดศาลเจ้าแห่งหนึ่ง ในรัชสมัยของไท่ซ่างหวง ได้เปลี่ยนชื่อเป็นวัดฉือหยุน

นักพรตของวัดฉือหยุน บอกว่าตนเองเฝ้าปกป้องภูเขาหิมะกับหมาป่าหิมะ หลังจากยอดเขาหมาป่าหิมะ ถูกราชสำนักยกให้เป็นภูเขาศักดิ์สิทธิ์ พวกเขาก็ยิ่งมีความรับผิดชอบ ทำหน้าที่เฝ้าปกป้องยอดเขาหมาป่าหิมะแทนราชสำนัก

บนเขามีนักพรตเพียงไม่กี่คน ล้วนอายุมากแล้ว คนชุดแรกที่มาที่นี่ เป็นนักพรตของวัดฮู่กว๋อ ต่อมาก็มีมาจากวัดฮู่กว๋ออีกหลายคน จนถึงตอนนี้ ไม่มีนักพรตที่อายุน้อยขึ้นไปอีกแล้ว เพราะวัดฉือหยุนมีกฎปฏิบัติที่เข้มงวดมาก ศีลไม่สูง ความบำเพ็ญไม่ถึง ล้วนไม่สามารถขึ้นเขา

และนักพรตคนที่อายุน้อยที่สุดในตอนนี้ ปีนี้ก็อายุหกสิบแล้ว

ฮ่องเต้กับฮองเฮามาถึงวัดฉือหยุน เจ้าอาวาสพานักพรตออกมาต้อนรับด้วยตนเอง ทั้งหมดมีห้าคน

หลังจากพาฮ่องเต้กับฮองเฮาเข้าไปแล้ว ก็ต้อนรับด้วยน้ำชารสฝาดขม หยวนชิงหลิงยังอยู่ในอาการเหม่อลอย ทุกอย่างที่นี่ยังคงสัมผัสได้ถึงลมหายใจและความแค้นของเหลิ่งเฟิ่งชิง

นางก้าวเข้าไปทีละก้าว จากนั้นก็เดินวนรอบวัดฉือหยุน หลังหยู่เหวินเห้ากับสวีอีเดินตามนางครบหนึ่งรอบ แล้วค่อยนั่งลงมาดื่มหนึ่งชา พร้อมถามถึงเรื่องเมื่อสามสิบหกปีก่อน

เจ้าอาวาสได้ยินฮ่องเต้ ถามถึงเรื่องเมื่อสามสิบหกปีก่อนว่า ได้ช่วยชีวิตผู้หญิงคนหนึ่งไว้ไหม เขานิ่งอึ้งไปชั่วขณะ สีหน้าเปลี่ยนไปเล็กน้อย พร้อมพูดขึ้นว่า “ผู้หญิงเมื่อสามสิบหกปีก่อน ฮ่องเต้ พระองค์รู้เรื่องนี้ได้อย่างไร?”

หยู่เหวินเห้าได้ยินเช่นนี้ ก็โล่งอกขึ้นมาในทันที เหลิ่งเฟิ่งชิงถูกช่วยเหลือไว้จริงๆด้วย

“เจ้าอาวาส เจ้ารู้มากน้อยแค่ไหน ก็เล่าให้ข้าฟังแค่นั้น ห้ามปิดบัง” หยู่เหวินเห้าเอื้อมมือไปจับมือของหยวนชิงหลิงไว้ แล้วพูดกับเจ้าอาวาส

เจ้าอาวาสถอนหายใจยาว พร้อมพูดขึ้นว่า “เรื่องนี้ เป็นเรื่องที่ข้ากระทำผิดที่สุดในชีวิต ตอนนี้เมื่อหวนกลับไปคิดดู ก็จะรู้สึกผิดต่อผู้ชายคนนั้น”

“ผู้ชายคนนั้น? ไม่ใช่ผู้หญิงหรือ?” หยู่เหวินเห้าอึ้งไป

เจ้าอาวาสจึงเล่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในตอนนั้นว่า “ปีนั้นอากาศหนาวอย่างมาก น้ำที่สาดกลายเป็นน้ำแข็ง ก่อนจะเข้าสู่ฤดูหนาว ผักที่ปลูกไว้ยังไม่ทันได้เก็บก็เสียแล้ว ไม่มีทางเลือก จึงต้องส่งคนลงเขาไปซื้อของกินมา ตอนนั้นข้ายังอายุน้อย จึงเสนอตัวลงเขาไป เพิ่งเดินไปได้ไม่นาน ก็เห็นผู้ชายคนหนึ่งอุ้มผู้หญิงคนหนึ่งที่เปื้อนไปด้วยเลือดมาก ผู้ชายคนนั้นคุกเข่าอยู่ไกลๆ ขอร้องให้ข้าช่วยชีวิตผู้หญิงคนนั้น เดิมดินแดนบริสุทธิ์ทางพุทธศาสนา ช่วยชีวิตรักษาคนถือเป็นสิ่งที่สมควร แต่ตอนนั้นข้าบำเพ็ญยังไม่แตกฉาน รู้สึกว่าผู้หญิงคนนั้นเต็มไปด้วยเลือดแห่งความแค้นเคือง นึกว่าเป็นคนว่าชั่วร้าย ไม่ยอมพาพวกเขากลับไปที่วัด แต่ก็ทำไม่ได้ที่จะไม่ช่วยชีวิตพวกเขา จึงพาพวกเขาไปที่หลังเขา ด้านหลังเขามีถ้ำแห่งหนึ่ง สามารถให้พวกเขาอยู่ได้ชั่วคราว”

“หลังจากพาพวกเขาไปที่ด้านหลังเขา ถึงรู้ว่าผู้หญิงคนนั้นหายใจโรยริน ผู้ชายคนนั้นให้นางดื่มยา ขอข้าวต้มกับน้ำจากข้า เพื่อป้อนให้กับผู้หญิงคนนั้น เรื่องนี้ข้าไม่กล้าบอกกับเจ้าอาวาสในตอนนั้น หลังจากกลับมาจากลงเขา ก็เอาข้าวต้มกับน้ำไปให้ทุกวัน หลังจากผ่านไปหลายวัน ผู้หญิงคนนั้นฟื้นขึ้นมา ร้องเรียกหาลูกตลอด บอกว่าลูกถูกหมาป่าคาบไปแล้ว ร้องห่มร้องไห้จะไปตามหาลูก แต่ร่างกายของนางอ่อนแอ ไม่สามารถลุกขึ้นมาได้ ต่อมาข้ากับผู้ชายคนนั้นช่วยนางออกตามหา แต่ก็หาไม่เจอ ความจริงตอนนั้นในใจของข้ารู้ดี หมาป่าคาบไปแล้ว มีชีวิตอยู่ได้อย่างไรล่ะ?”

เจ้าอาวาสพูดถึงตรงนี้ ก็ถอนหายใจยาว พร้อมพูดต่อว่า “ผู้หญิงคนนั้นก็น่าจะรู้ดีแก่ใจ ร้องไห้อยู่หลายวัน ร่างกายก็ยิ่งเลวร้ายลง และบาดแผลก็เริ่มเน่า ข้าเคยช่วยตรวจให้กับนาง รู้สึกว่านางมีชีวิตต่อไปได้อีกไม่มาก เมื่อได้คุยกับผู้ชายคนนั้น ถึงค่อยรู้สถานะของผู้หญิงคนนั้น นางเป็นประมุขตระกูลเหลิ่งของตระกูลเทียนซ่วน ช่วยคนเปลี่ยนชะตาฟ้าลิขิต จึงต้องรับกรรมแห่งการย้อนกลับมาทำร้าย เป็นภัยถึงชีวิตแล้ว ผู้ชายคนนั้นขอร้องให้ข้าช่วยนางอยู่ตลอด ตอนนั้นข้าเลอะเลือน บอกวิธีช่วยเหลือให้กับเขา จนทำให้เขาต้องเสียชีวิต”

หยู่เหวินเห้าตกตะลึงอย่างมาก “เจ้ารู้วิธีแก้กรรมแห่งการย้อนกลับมาทำร้ายหรือ? ดังนั้น สุดท้ายประมุขตระกูลเหลิ่งยังไม่ตายหรือ?”

เจ้าอาวาสถอนหายใจยาวอีกครั้ง พร้อมพูดขึ้นว่า “ข้ารู้วิธีนี้ การเปลี่ยนชะตาฟ้าลิขิต เป็นเพียงการช่วยชีวิตคนคนหนึ่งที่ใกล้จะตาย นี่เป็นพลังที่สวรรค์มอบให้กับตระกูลเทียนซ่วน ประมุขตระกูลเหลิ่งสามารถช่วยคนได้ และสามารถเปิดหินญาณสวรรค์ ให้คนอื่นช่วยนาง แน่นอนว่าต้องเป็นการยินยอมด้วยตนเอง หากไม่ยินยอม จะไม่สามารถทำได้ ตอนแรกที่ผู้ชายคนนั้นพูดกับประมุขตระกูลเหลิ่ง ประมุขตระกูลเหลิ่งไม่เห็นด้วย แต่ต่อมาเมื่อพูดถึงการแก้แค้นอะไรสักอย่าง สุดท้ายประมุขตระกูลเหลิ่งจึงยอมตกลง เรียกหินญาณสวรรค์มา แต่ข้าก็คิดไม่ถึงว่า เรื่องนี้กลับทำได้ไม่สมบูรณ์ จนทำให้ผู้ชายคนนั้นตาย ประมุขตระกูลเหลิ่งก็ไม่ได้เป็นสุข”

หยวนชิงหลิงฟังอยู่อย่างอกสั่นขวัญแขวน พร้อมพูดขึ้นว่า “ทำไมถึงไม่สามารถทำได้อย่างสมบูรณ์ล่ะ? สุดท้ายประมุขตระกูลเหลิ่งเป็นอย่างไร?”

เจ้าอาวาสมีท่าทีสงสาร พร้อมพูดขึ้นว่า “ตอนที่ข้าบอกวิธีให้กับพวกเขา ข้าไม่รู้ว่าหินญาณสวรรค์เพิ่งถูกใช้ไปไม่นาน การจะใช้หินญาณสวรรค์อีกครั้ง อย่างน้อยก็ต้องรอผ่านพระจันทร์เต็มดวงไปห้าครั้ง เพราะครั้งแรกที่มีการใช้ พลังส่วนหนึ่งของหินญาณสวรรค์อยู่บนตัวผู้รับ ถ้าใช้ในขณะที่ยังไม่ผ่านพระจันทร์เต็มดวงไปห้าครั้ง พลังจะไม่เพียงพอ ไม่สามารถเปลี่ยนชีวิตได้อย่างสมบูรณ์ เหมือนประมุขตระกูลเหลิ่งก็รู้เรื่องนี้ นางพูดเน้นย้ำว่า ให้ข้าทุบหินญาณสวรรค์แตก แต่ตอนนั้นข้าไม่รู้ว่าคนที่พวกเขาช่วยชีวิตก่อนหน้านี้เป็นใคร จึงไม่กล้าทุบหินญาณสวรรค์แตก หากทุบหินญาณสวรรค์แตก ยังจะสามารถช่วยชีวิตไว้ได้ สุดท้ายข้าทำได้เพียงมองดูอีกคนตายต่อหน้าต่อตา อีกคนหนึ่งก็เสียสติจนเป็นบ้า เรื่องนี้เป็นสิ่งที่ข้ากระทำแล้วเสียใจอย่างที่สุดในชีวิต เพราะก่อนที่ผู้ชายคนนั้นจะตาย ได้เล่าเรื่องที่เกิดขึ้นในเมืองเฟิงตูให้ข้าฟัง ข้าสำนึกผิดเสียใจก็สายไปแล้ว”

หยวนชิงหลิงขึ้นอย่างตื่นเต้นว่า “เจ้าอาวาส หากตอนนั้นทุบหินญาณสวรรค์แตก ก็จะสามารถช่วยประมุขตระกูลเหลิ่งได้หรือ? งั้นถ้าหากทุบหินญาณสวรรค์แตก จะส่องผลกับผู้รับคนก่อนอย่างไร? จะตายไหม?”

เจ้าอาวาสแสดงสีหน้าสำนึกผิด พร้อมพูดขึ้นว่า “หากทุบหินญาณสวรรค์แตก หินญาณสวรรค์จะปลดปล่อยพลังอันทรงพลัง สามารถช่วยประมุขตระกูลเหลิ่งได้ แน่นอน นี่ก็ไม่แน่นอน แต่จะทำให้ผู้รับคนก่อนต้องเจ็บปวดรวดร้าวถึงใจทุกวัน อยู่อย่างตายทั้งเป็น เพราะหินญาณสวรรค์แตกแล้ว พลังหินญาณสวรรค์ที่หลงเหลืออยู่ในร่างของคนคนนี้ ไม่สามารถดูดกลับมาได้ พลังญาณกลายเป็นกาฝากอยู่ในร่างกาย คนจะสามารถทนรับได้อย่างไรล่ะ? ต้องทนทุกข์ทรมาน แต่ก็ไม่สามารถตาย พลังญาณจะป้องนางไว้ ต่อให้ตายไปแล้ว ก็สามารถฟื้นขึ้นมาได้ ตอนที่ประมุขตระกูลเหลิ่งพูดเน้นย้ำกับข้า ร่างกายเต็มไปด้วยความแค้นนองเลือดอย่างรุนแรง ตอนนั้นข้าจึงลังเล จึงทำให้พลาดโอกาสที่ดีไป”

หยวนชิงหลิงกับหยู่เหวินเห้ามองตากัน มือทั้งสองข้างจับที่เท้าแขนไว้แน่น ความเกลียดชังและความสุขบังเกิดขึ้น เหลิ่งเฟิ่งชิงยังไงเจ้าก็ยังเหลือวิธีไว้ให้กับพวกเรา

ขอเพียงกลับไปทุบหินญาณสวรรค์แตก ซูหรูซวงจะไม่ตาย แต่จะต้องทนทุกข์ทรมานตลอดไป ตายก็ตายไม่ได้ เดิมเหลิ่งเฟิ่งชิงกับพอจีก็หวังให้เป็นเช่นนี้ แต่เพราะนักพรตคนนี้มีเมตตาต่อซูหรูซวงไม่สามารถทำตามที่เหลิ่งเฟิ่งชิงฝากฝังไว้

หยวนชิงหลิงรีบคิดวิเคราะห์ หากกลับไปเมื่อสามสิบหกปีก่อนผ่านทะเลสาบจิ้ง นางไปทุบหินญาณสวรรค์แตก จะทำให้ประวัติศาสตร์อะไรเปลี่ยนแปลงไหม?

ร่างกายซูหรูซวงยังสามารถคลอดลูกได้ไหม? ลูกของนางจะได้คลอดออกมาไหม? หากแก้ข้อข้องใจตรงนี้ได้แล้ว ก็จะไม่ทำให้อะไรเปลี่ยนแปลงไป เพราะสิ่งที่เหยี้ยนจือหยูต้องการสมหวังแล้ว สิ่งที่เขาต้องการคือซูหรูซวงมีชีวิตอยู่ต่อไป และซูหรูซวงจะไม่ตาย

มีเพียงอย่างเดียวที่เปลี่ยนแปลงก็คือ บางทีอาจจะสามารถช่วยเหลิ่งเฟิ่งชิงกลับมาได้ แต่ตอนนั้นเหลิ่งเฟิ่งชิงยังไม่ตาย แค่เป็นบ้าไปเท่านั้น งั้นนางมีชีวิตอยู่อย่างเป็นบ้า ยังคงมีชีวิตอยู่อย่างดี ล้วนไม่มีปัญหาอะไรมาก ขอเพียงนางสามารถอยู่ในสถานที่ใดสถานที่หนึ่งสามสิบหกปี รอท่านชายสี่มารับนางกลับไป ไปยุ่งเกี่ยวกับชีวิตของใครก็พอแล้ว

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: บัลลังก์หมอยาเซียน