บัลลังก์หมอยาเซียน นิยาย บท 1527

คำก่นด่าสาปแช่งของซูหรูซวง ดังต่อเนื่องยาวนานเกือบครึ่งชั่วยาม นี่ไม่ใช่สถานการณ์ที่ผิดไปจากปกติ คนรับใช้ในเรือนอู๋ซวงล้วนเห็นจนชินตาแล้ว ต่อให้เจ้าเมืองไม่มา ถ้าเมื่อไหร่ที่นางเจ็บปวดขึ้นมา นางก็จะก่นด่าสาปแช่งแบบนี้เหมือนกัน

รอจนนางด่าจนเหนื่อยแล้ว หญิงรับใช้ชราก็ก้าวขึ้นไปข้างหน้าแล้วพูดกล่อมว่า "ฮูหยิน ทำไมต้องทำร้ายตัวเองอย่างนี้ด้วย? ร่างกายของท่านสำคัญที่สุดนะเจ้าคะ"

ซูหรูซวงเอนตัวพิงพนักเก้าอี้อย่างอ่อนแรง นางใช้เรี่ยวแรงทั้งหมดที่มีไปจนไม่เหลือแล้ว ดวงตาจ้องมองไปที่หลังคาอย่างว่างเปล่า ความโศกเศร้าหลั่งไหลเข้ามาในหัวใจ “วันนี้เป็นวันที่เจ็ดของเทศกาลตรุษจีนแล้วหรือ?”

“เจ้าค่ะ!” หญิงรับใช้ชราตอบ

ใบหน้าของซูหรูซวงซีดเผือด "ใกล้วันที่สิบห้าแล้ว มันจะเริ่มทรมาทรกรรมข้าอีกแล้ว แต่ข้าขอยอมตายเสียยังดีกว่าต้องมาทนทุกข์ทรมานจากความเจ็บปวดอยู่แบบนี้"

หญิงรับใช้ชรารู้สึกทุกข์ใจมาก “ฮูหยินอย่าคิดอย่างนั้นสิเจ้าคะ แค่ความเจ็บปวดเพียงไม่กี่วัน ทน ๆ หน่อยประเดี๋ยวมันก็ผ่านไป หลายปีมานี้ ท่านก็ทนมันมาได้ไม่ใช่หรือเจ้าคะ? "

“แค่ไม่กี่วัน? ทน ๆ เอาประเดี๋ยวก็ผ่านไป?” ดวงตาของซูหรูซวงดุร้ายกราดเกรี้ยวขึ้นมาทันที “นั่นเป็นเพราะว่าเจ้าไม่เคยได้รับเจ็บปวดแบบนี้มาก่อนน่ะสิ มันเป็นความผิดของหลิ่งเฟิ่งชิง ข้าเสียใจภายหลังจริง ๆ ที่ให้ท่านพี่ไปไล่ตามฆ่านาง ควรไปหานางให้เจอแล้วจับกลับมาขังไว้ ข้าเจ็บหนึ่งครั้ง ก็เอามีดดาบไปกรีดเฉือนนางสักพันสักหมื่นดาบหนึ่งครั้ง ให้นางเจ็บปวดทรมานยิ่งกว่าข้าเป็นพัน ๆ เท่าถึงจะดี!”

หญิงรับใช้ชรากุมมือนาง “ฮูหยินอย่าคิดอีกเลยเจ้าค่ะ คนก็ตายไปแล้ว ตอนนี้คิดมากไปก็ไม่มีประโยชน์อะไร ท่านอย่าเอาแต่ทะเลาะกับท่านเจ้าเมืองอีกเลย ทะเลาะกันไปทะเลาะกันมา ความรู้สึกรักใคร่ผูกพันก็หายหมดไม่เหลือแล้ว "

ซูหรูซวงแค่นหัวเราะอย่างฝืดฝืน “เขาสูญสิ้นความรู้สึกรักใคร่ผูกพันต่อข้าไปตั้งนานแล้ว”

“แต่เขาก็คงไม่มีความรู้สึกใด ๆ ต่อเหลิ่งเฟิ่งชิงเช่นกัน ไม่อย่างนั้น ตอนแรกเขาคงไม่ฆ่านางกับคนตระกูลเทียนซ่วนเพื่อท่านหรอก”

ซูหรูซวงเอียงหน้าไปด้านข้าง ถอนหายใจหนัก ๆ เฮือกหนึ่ง “ก่อนหน้านี้ข้าก็เคยคิดว่าคงจะไม่มี แต่หลายปีที่ผ่านมา เจ้าก็คงเห็นแล้วว่าผู้หญิงที่เข้ามาในวังพวกนั้น รูปร่างหน้าตาแต่ละคนดูเหมือนเหลิ่งเฟิ่งชิงทั้งนั้น เขานึกเสียใจภายหลังขึ้นมาแล้ว เสียใจที่ฆ่าเหลิ่งเฟิ่งชิงเพื่อข้า”

นางจับมือของหญิงรับใช้ชรา แววตาหนักอึ้งเหมือนน้ำนิ่ง แต่กลับมีประกายที่แสดงความไม่ยินยอมฉายวาบ "อะเฉิน เหลิ่งเฟิ่งชิงดีกว่าข้าจริง ๆ น่ะรึ? เมื่อตอนที่ข้าได้เห็นนางตอนนั้น ข้ามักรู้สึกอยู่เสมอว่า นางไม่มีความอ่อนหวานนุ่มนวลของผู้หญิงอยู่เลย "

"นางจะดีไปกว่าท่านได้อย่างไร? นางเทียบไม่ได้แม้แต่เส้นผมสักเส้นของท่านด้วยซ้ำ"

“แต่ตอนนี้ข้าแก่ขนาดนี้แล้ว!” ซูหรูซวงสัมผัสใบหน้าตัวเอง พูดพึมพำอย่างจิตตก

หญิงรับใช้ชรายังคงพูดปลอบใจ "ถ้าเหลิ่งเฟิ่งชิงยังมีชีวิตอยู่ นางจะต้องแก่กว่าท่านแน่เจ้าค่ะ"

ซูหรูซวงพูดว่า “ข้าล่ะอยากเห็นจริง ๆ เลย อยากเห็นว่าตอนนี้นางจะมีสภาพเป็นเช่นไร แล้วก็อยากให้ท่านพี่ได้เห็นว่า สภาพของนางตอนนี้เป็นเช่นไรด้วย”

นางหลับตา คร่ำครวญกับตัวเองเสียงหนึ่ง “น่าเสียดาย กลับไม่ได้เห็นอีกต่อไปแล้ว”

น่าเสียดายที่ไม่ได้เห็นอีกต่อไปแล้ว

นางเดินโซเซไปก้าวหนึ่ง ไต่ขึ้นไปจนถึงหน้ากระจกทองแดง ยื่นมือที่สั่นเทิ้มขึ้นมาลูบใบหน้าตัวเอง นี่เป็นใบหน้าที่แม้แต่ตัวนางเองก็ยังรังเกียจเดียดฉันท์ นางนึกเสียใจภายหลังเหลือเกินแล้ว ตอนแรกไม่ควรฆ่าคนตระกูลเทียนซ่วนทิ้งจนหมดเลยจริง ๆ ถ้าเหลือไว้สักสองสามคน บางทีตอนนี้อาจมีความเป็นไปได้ ว่าพอจะมีโอกาสฟื้นคืนสู่ความอ่อนเยาว์อีกครั้ง

งานเลี้ยงวันเกิดของเหยี้ยนจือหยูแบ่งจัดขึ้นเป็นสามวัน ในวันแรกและวันที่สอง จะเป็นงานเลี้ยงที่เชิญบรรดาคนร่ำรวยและมีอำนาจ จอมยุทธ์ยอดฝีมือในยุทธภพ ญาติและเพื่อนฝูงที่สนิทสนมกัน เรียกว่ารวบรวมชนชั้นสูงและผู้แข็งแกร่งทั้งหมดที่มีเส้นสายต่อกัน

ส่วนวันที่สาม เป็นงานเลี้ยงแบบเปิดกลางแจ้ง ผู้คนในเมืองล้วนมาร่วมโต๊ะได้ โต๊ะเหล่านี้จะจัดไว้ที่จำนวนสามร้อยโต๊ะ ใครมาก่อนได้นั่งก่อน ใครมาช้า หากไม่มีที่นั่งแล้วก็คือไม่มีแล้ว

ในวังล้วนยุ่งวุ่นวายอย่างมาก เหยี้ยนจือหยูนำขุนนางของเมืองเฟิงตูออกมาต้อนรับแขก

เขายังส่งคนไปให้คอยจับตาแขกผู้มาเยือนจากเมืองหลวงด้วย รู้ว่าพวกเขาจะมาถึงเมืองเฟิงตูใน วันนี้ เขาได้เตรียมการไว้เรียบร้อยตั้งนานแล้ว มีการคุ้มกันแน่นหนาที่ประตูเมือง รวมถึงในตัวเมืองก็มีการคุ้มกันไว้แล้วเช่นกัน เขาไม่ออกไปต้อนรับด้วยตัวเอง แต่จะส่งขุนนางให้ออกหน้าแทน ให้พวกเขารับหน้าให้ดี จนวันที่สาม ค่อยเชิญพวกเขามากินข้าวในงานเลี้ยง

หรือกล่าวอีกนัยหนึ่งคือ แขกที่มาจากเมืองหลวง ไม่ใช่แขกผู้มีเกียรติของเขา

แน่นอนว่าเหยี้ยนจือหยูไม่ได้โง่ การดูถูกอ๋องชินเฟิงอันกับราชบุตรเขยเหลิ่งแบบนี้ นอกจากจะเป็นการตัดไม้ข่มนามราชสำนักแล้ว ยังต้องการทดสอบความอดทนของราชสำนักที่มีต่อเขาด้วย แน่นอนว่า ยังมีเป้าหมายสำคัญอีกประการหนึ่ง นั่นคือจงใจยั่วโมโหราชสำนัก ยั่วยุให้เกิดความขุ่นเคือง เพราะนั่นจะเป็นการสะดวกเมื่อจะโยนความผิดเรื่องการเผาสุสานของตระกูลเทียนซ่วนไปให้ราชสำนักได้

ดังนั้น ในตอนที่คนของราชสำนักเข้ามาในเมือง เขาจึงสั่งให้ขุนนางไปต้อนรับพวกของอ๋องชินเฟิงอันให้ไปพักอยู่ที่โรงเตี๊ยมขนาดเล็กในเมือง จากนั้นก็ไปต้อนรับแขกระดับสูงต่อ

ในวังประจำเมือง ผู้คนสังสรรค์เริงรื่น ผลัดถ้วยคืนจอก มิตรสหายคลาคล่ำ สนุกสนานมีชีวิตชีวาจนเกินบรรยาย วันนี้เหยี้ยนจือหยูสวมชุดคลุมสีเหลืองปักลายงูหลามยักษ์ แม้ว่าจะดูแตกต่างจากชุดคลุมสีเหลืองสดใสของราชวงศ์เล็กน้อย แต่ถ้าไม่สังเกตให้ละเอียด ก็แทบจะเข้าใจว่ามันเป็นเสื้อคลุมมังกรได้เลยทีเดียว เพราะงูหลามยักษ์ตัวนั้นอยู่ในท่าเหินทะยาน ซึ่งก็ดูคล้ายกับมังกรที่เหินทะยานขึ้นสู่ท้องฟ้ามาก

ความทะเยอทะยานของเหยี้ยนจือหยู ไม่มีการปิดบังซ่อนเร้นอีกต่อไป

แน่นอนว่า วันนี้เขาก็ไม่คิดจะปิดบังอยู่แล้ว แสดงท่าทางฮึกเหิมให้แขกเหรื่อได้เห็นเต็มตา ถึงขั้นที่ว่า มีขุนนางที่มาจากเมืองใกล้เคียง ซึ่งขุนนางเหล่านี้มีความสัมพันธ์ส่วนตัวที่ดีกับเขา ล้วนเป็นพวกที่เชื่อมสัมพันธ์กันไว้ล่วงหน้าเมื่อนานมาแล้ว ภูเขาสูงใหญ่ฮ่องเต้อยู่ไกล พวกเขาไม่ค่อยสนใจอะไรมากมายอยู่แล้ว

ในงานมีคนที่รู้ว่า วันนี้จะมีคนที่ทางราชวงศ์ส่งมา กำลังจะเดินทางมาถึง จึงเอ่ยถามเสียงดังจากที่นั่งว่า "ท่านเจ้าเมือง ได้ยินมาว่า ท่านอ๋องชินเฟิงอันกับราชบุตรเขยเหลิ่งจะเดินทางมาถึงที่นี่ในวันนี้ ทำไมถึงยังไม่เห็นเลยล่ะ?"

เหยี้ยนจือหยูยกแก้วขึ้น แล้วยิ้มจาง ๆ "หากอวยพรอย่างจริงใจ อย่างไรก็ต้องมาแน่นอน"

“ได้ยินว่าถ้านับตามระยะเวลาเดินทาง วันนี้ก็น่าจะมาถึงเมืองแล้ว ทำไมจนค่ำมืดแล้วก็ยังมาไม่ถึงอีกล่ะ? เป็นไปได้หรือไม่ว่า พวกนั้นอยากให้ท่านเจ้าเมืองออกไปต้อนรับด้วยตัวเอง?”

“อยากให้ท่านเจ้าเมืองไปต้อนรับ? คิดว่าตัวเองใหญ่โตแค่ไหนรึ? ถุย!”

“ใช่ไหมล่ะ? หากตั้งใจมาอวยพรวันเกิดอย่างจริงใจ ก็น่าจะล่วงหน้าเดินทางมาให้ถึงเมืองเฟิงตูก่อนสักสองสามวัน มาวันนี้ค่อยเอ้อระเหยลอยชายมาสาย ๆ เห็นได้ชัดว่าไม่เห็นแก่หน้าท่านเจ้าเมืองเลย ข้าคิดว่าให้คนไปขวางไว้ไม่ก็ให้กลับไปเสียเถอะ ขี้คร้านจะรับน้ำใจนี้จากพวกเขา”

“ถูกต้อง ตลอดหลายปีที่ผ่านมา ราชสำนักก็ได้รับเครื่องบรรณาการจากเมืองเฟิงตูไม่น้อย มันก็ควรจะเป็นที่น่าพอใจได้แล้วสิ”

“เมืองเฟิงตูไม่ควรต้องส่งบรรณาการอีกต่อไป อาศัยอะไรล่ะ? เมื่อหลายร้อยปีก่อน เมืองเฟิงตูก็ไม่ใช่อาณาเขตของเป่ยถังอยู่แล้ว ควรแบ่งแยกออกมา แล้วตั้งตัวเป็นประเทศเอกราชถึงจะถูกต้อง”

ทุกคนรู้ว่าเหยี้ยนจือหยูในใจคิดอะไรอยู่ หลังจากดื่มไปได้หลายจอก แน่นอนว่าก็ต้องหาทางประสบเอาใจเขา พูดในสิ่งที่เขาอยากฟังเป็นธรรมดา

ยามนี้เหยี้ยนจือหยูมีสถานะสูงส่ง ย่อมไม่กลัวที่จะพูดคำพูดเหล่านี้ เขายกจอกเหล้าขึ้นด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม แต่สายตากวาดมองบรรดาแขกที่มาร่วมงานไปรอบ ๆ เพื่อดูว่ามีใครที่ไม่พอใจกับคำพูดเหล่านี้หรือไม่ หลังจากกวาดสายตามองไปรอบหนึ่ง พบว่าทุก ๆ คนต่างก็เห็นด้วย อย่างน้อย ฉากหน้าก็ได้รับการตอบรับที่ดี เขาจึงพอใจมาก

พิธีการถัดไป คือพิธีคารวะจอกเหล้า

ซูหรูซวงก็นั่งถัดจากเขาด้วยเช่นกัน นอกจากนางแล้ว ฮูหยินหรูทั้งสองต่างก็อยู่ด้วย หากยึดตามกฎแล้ว ฮูหยินหรูจะไม่สามารถมานั่งกับพวกเขาได้ แต่ถึงอย่างไรฮูหยินหรูทั้งสองก็แต่งตัวมาแล้ว แม้ว่าพวกนางจะมีอายุพอ ๆ กับซูหรูซวง แต่กลับดูอ่อนวัยกว่าจนแทบจะเป็นลูกสาวของนางได้เลยทีเดียว

บรรดาลูกชายลูกสาวของเหยี้ยนจือหยู ล้วนเกิดจากฮูหยินหรูสองคนนี้ทั้งสิ้น ถึงแม้จะเรียกซูหรูซวงว่าท่านแม่ แต่กลับไม่ได้มีความรักใคร่ผูกพันอะไร

ยังมีอนุคนงามอีกมากมายในจวน แต่ในงานแบบวันนี้ ย่อมออกมาร่วมงานไม่ได้เป็นธรรมดา

เรื่องนี้กลายเป็นเรื่องที่ทำให้ซูหรูซวงอิจฉาไปแทน นั่นเพราะ เวลาที่แขกจะคารวะจอกเหล้า มีน้อยคนมากที่จะเอ่ยชื่อของนางขึ้นมา ในทางตรงข้าม พวกเขาจะเอ่ยชวนฮูหยินหรูทั้งสองเพื่อคารวะเหล้าอวยพรวันเกิดแทน

แม้ว่าจะเหมือนกับปีก่อน ๆ แต่ไม่รู้ว่าเพราะอะไร ปีนี้นางกลับมีอารมณ์ที่ยิ่งหงุดหงิดใจร้อน และโมโหกราดเกรี้ยวขึ้นกว่าเดิมมาก

โดยเฉพาะอย่างยิ่ง เมื่อแขกเหรื่อพากันชื่นชมว่า ลูกชายของเหยี้ยนจือหยูโดดเด่นมีแววแค่ไหน นางก็จะรู้สึกว่าในใจเหมือนมีไฟสุมแน่น จนแทบจะสะกดกลั้นเอาไว้ไม่ได้

ในตอนที่นางคิดจะลุกขึ้นแล้วจากไปนั่นเอง เหยี้ยนจือหยูก็กดมือของนางไว้ วางจอกเหล้าในมือลง แล้วกระซิบขู่ที่ข้างหูของนางพร้อมรอยยิ้มจาง ๆ ว่า "ยังจำได้หรือไม่ว่าเหลิ่งเฟิ่งชิงตายอย่างไร?"

ซูหรูซวงรู้สึกหวาดกลัวไปชั่วครู่ มองเขาที่เวลานี้ยังมีรอยยิ้มประดับอยู่บนหน้า ดวงตาดุร้ายกระหายเลือด คำพูดที่โหดร้ายเย็นชาบาดลึกถึงกระดูกนั้น ราวกับใบมีดที่กรีดแทงทะลุเข้าไปกลางหัวใจของนางเลยทีเดียว

“เหยี้ยนจือหยู เจ้าต้องถูกกรรมตามสนองแน่!” นางกดเสียงต่ำ กัดฟันพูดอย่างเคียดแค้น

ดวงตาของเหยี้ยนจือหยูเย็นเยียบ "ทุกอย่างมันเริ่มขึ้นเพราะเจ้า หากข้าต้องโดนกรรมตามสนอง เช่นนั้นกรรมที่จะตามสนองเจ้า มันจะต้องเลวร้ายยิ่งกว่าข้าเป็นเท่าตัวแน่!"

ร่างกายของซูหรูซวงอ่อนยวบ นั่งอยู่บนเก้าอี้ในสภาพที่แทบจะขยับไม่ได้

“ หมาป่า ที่นี่มีหมาป่าได้อย่างไรกัน? ”

พลันได้ยินเสียงคนร้องอุทานขึ้นมา จากนั้นก็เห็นเพียงหมาป่าหิมะบุกเข้ามาในงาน เพียงชั่วอึดใจ หมาป่าสีเทาจำนวนมากก็พุ่งทะยานเข้ามา ฝูงหมาป่าท่าทางดุร้าย แสดงท่าทีว่าพร้อมจะขย้ำได้ทุกเมื่อ ผู้ที่มีวรยุทธ์ในงานต่างพากันชักกระบี่ออกมาเตรียมพร้อม

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: บัลลังก์หมอยาเซียน