บัลลังก์หมอยาเซียน นิยาย บท 1561

อาจารย์บอกว่า ที่ว่ากันว่าฝึกฝน ที่จริงก็คือการเปิดหนทางแห่งปัญญา ไตร่ตรองทุกปัญหาที่เกิดขึ้นในชีวิต แก้ไขปัญหา พลังปัญญาถูกพัฒนาขึ้น สมองก็พัฒนาขึ้น ด้วยเหตุนี้ คนที่มีการฝึกฝนสูงส่ง จะได้รับพลังบางส่วนจากในสิ่งนั้น

มีบางคนได้เรียกสิ่งนี้ว่าความสามารถเฉพาะ แตกต่างจากที่นางมีโดยมาจากธรรมชาติ

อาจารย์ยังบอกอีกว่า มีบางคนรู้วิชาคุมอัคนี วิชาควบคุมน้ำ วิชาควบคุมนก อาจารย์ได้ยกตัวอย่างว่า ในประเทศหนึ่งมีคนต่ำต้อยกลุ่มหนึ่งอาศัยอยู่ คนต่ำต้อยกลุ่มนี้มีวิชาควบคุมอีกา ถูกต้อง นั่นก็คือการสามารถควบคุมอีกาได้ ใช้อีกาทำงานเพื่อตน

แต่ว่า ความสามารถเฉพาะที่สุดแล้วก็เป็นแค่ความสามารถเฉพาะ เป็นความสามารถเฉพาะก็สามารถถูกไขได้ง่ายดาย

ทุกคนต่างก็คิวด่า ที่นางรู้คือวิชาคุมอัคนี แม้แต่เสด็จพ่อก็คิดเช่นนั้น

นางนั้นรู้จักวิธีการควบคุมสิ่งของและพลังงานบางอย่าง ไฟคือหนึ่งในนั้น พอดีกับที่นางทำได้ค่อนข้างโดดเด่น ไม่ได้หมายความว่าจะไม่สามารถควบคุมน้ำได้

เพียงแต่ อ๋องเจิ่นกั๋วบอกว่าน้ำสามารถข่มไฟได้ มีเหตุผลที่พอจะเป็นไปได้อยู่ แต่เมื่อขยายความออกไป ก็ไม่อยากที่จะทำความเข้าใจ เหล็กน้ำไม้ไฟดิน เกิดมาเสริมสร้างและข่มซึ่งกันและกัน เขาแค่จับตาดูสิ่งที่ข่มกัน แต่กลับไม่รู้เรื่องการเกิดมาเสริมสร้างกัน

น้ำให้กำเนิดไม้ และไม้ให้กำเนิดไฟ แต่คนมากมายกลับไม่มีทางคิดเช่นนี้

เพียงแต่เรือนน้ำแข็งใต้ทะเลสาบนี้ ช่างน่าอัศจรรย์จริงๆ ราวกับบ้านที่สร้างขึ้นจากกระจก ยังสามารถมองเห็นปลาที่ว่ายวนอยู่ภายนอกได้

แคว้นจินมีคนน่าประหลาดจริงๆ นี่ทำให้เจ๋อหลานรู้สึกตื่นเต้นมาก

นางชอบที่จะอยู่กับพวกพี่ชาย เพราะว่ามีเพียงตอนที่อยู่กับพวกเขา นางจึงไม่ใช่คนที่พิเศษ

แต่ว่า นางก็ปรารถนาที่อยากจะมีเพื่อน

นางคิดว่าจะขออยู่ต่อที่แคว้นจินก่อนเป็นการชั่วคราวและยังไม่ไปไหน

แน่นอนว่า ไม่สามารถให้เขาส่งจดหมายให้ท่านพ่อได้ พ่อที่มีจิตวิญญาณอ่อนแอเช่นนั้น ถ้าหากรู้ว่านางตกอยู่ในมือของแคว้นจิน คงต้องคลั่งแน่ๆ

ได้ส่งกระแสจิตกับน้องฟีนิกซ์ ให้มันช่วยขัดขวางจดหมายทุกฉบับที่ส่งออกไปจากมือของอ๋องเจิ่นกั๋ว

ช่วงสองวันแรกอ๋องเจิ่นกั๋วไม่ให้นางออกมา เพียงแต่ให้คนส่งอาหารไปให้นาง นอกจากไปเข้าห้องน้ำแล้ว ไม่สามารถออกไปไหนได้อีก แต่แม้ว่าจะเป็นการไปเข้าห้องน้ำ ก็มีสาวใช้ที่มีวิทยายุทธคอยเฝ้านางอยู่ด้วย

หลังจากผ่านไปสองวัน สามารถออกจากเรือนน้ำแข็งได้ แต่ไม่สามารถออกห่างจากผิวน้ำทะเลสาบ นางได้แต่นั่งอยู่บนเรือมองไปรอบๆบริเวณทะเลสาบเท่านั้น

มีองครักษ์สองคนคอยจับตาดูนางอยู่

วันที่สี่ ตอนที่นางนั่งชมทะเลสาบอยู่ ก็เห็นเรือลำเล็กอีกลำหนึ่ง

เป็นหนุ่มน้อยที่สวมชุดผ้าไหมสีขาวทั้งตัว อายุราวๆสิบสองสิบสามปี เขานั่งอยู่บนเรือ ใบหน้าหล่อเหลา คิ้วเรียวยาวดุจใบหลิว ร่างกายของเขามีไอแห่งความเย็นแผ่กระจายไปทั่ว ดวงตาของเขา เป็นสีฟ้าอ่อน

ตอนที่เจ๋อหลานอยู่ในยุคปัจจุบัน เคยเห็นคนต่างประเทศมาไม่น้อย ดวงตาสีฟ้าครามก็เคยเห็นมาแล้ว แต่ว่า ดวงตาของหนุ่มน้อยคนนี้ไม่เหมือนกัน เป็นสีฟ้าอ่อนเหมือนน้ำแข็ง มีไอเย็นแผ่ซ่าน ทำให้รู้สึกถึงความเย็นชาโดดเดี่ยว

เส้นผมดำขลับที่ไม่ได้มัดหรือรวบขึ้นทิ้งตัวแผ่สยายอยู่บนผ้าไหมที่นุ่มลื่น แสงแดดเป็นประกายสีทองระยิบระยับเคลื่อนไหวไปตามคลื่นบนผิวน้ำ ประกายสีทองที่เป็นจุดๆราวกับดวงดาว ราวกับประทับไว้ในดวงตาของเขา แต่ว่า พอเขาเงยหน้าขึ้น ยังคงเต็มไปด้วยสีฟ้าอ่อน ไม่เห็นแสงอาทิตย์

เขาโดดเดี่ยวมาก

เจ๋อหลานมองเขาแค่แวบเดียวเท่านั้น ก็รู้แล้ว

เขาเองก็มองเห็นเจ๋อหลาน นิ่งอึ้งไปเล็กน้อย มองนางอยู่นิ่งๆ

เจ๋อหลานได้เผยรอยยิ้มน่ารักไร้เดียงสาให้กับเขา องครักษ์อยากจะพายเรือเล็กออกไป แต่ว่าพายอยู่ในน้ำได้ไม่กี่ที เรือเล็กราวกับไม่ฟังคำสั่ง มุ่งตรงไปทันที

เกือบจะชนเข้าแล้ว แต่เรือเล็กกลับหยุดลงเสียก่อน

องครักษ์ประสานสองมือขึ้นมา “คำนับนายน้อย”

“นางคือ?”หนุ่มน้อยยังคงจ้องมองเจ๋อหลาน ในสายตามีแววสงสัยอยู่บ้าง ในจวนไม่มีเด็ก สาวน้อยคนนี้มาจากที่ใดกัน

“เรียนนายน้อย ท่านนี้คือแขกของท่านอ๋อง”องครักษ์ตอบคำถาม

“อ๋อ”หนุ่มน้อยไร้ความสนใจขึ้นมาทันที แสงวาววับที่พาดผ่านดวงตาก็ดับมอดลง

แต่ในชั่วขณะที่องครักษ์จะพายเรือออกไปนั้น เจ๋อหลานก็กระโดดไปยังเรือของหนุ่มน้อย

ตอนที่โดดลงไปถึงเรือไม่ค่อยมั่นคงนัก เกือบจะหล่นลงไปในน้ำแล้ว

มือน้อยข้างหนึ่งดึงข้อมือของนางเอาไว้ ร้องเบาๆว่า “ระวัง”

เจ๋อหลานพูดด้วยรอยยิ้มว่า “ขอบคุณเจ้ามาก เจ้าช่วยข้าไว้”

หนุ่มน้อยพูดเสียงเรียบๆว่า“ไม่เป็นไร เจ้าตกลงไปในทะเลสาบก็ไม่ตาย องครักษ์จะช่วยเจ้าเอง ”

เจ๋อหลานยิ้มอย่างซุกซน ยื่นมือออกไปภายใต้แสงแดดจ้า “ข้าชื่อเจ๋อหลาน ยินดีที่ได้รู้จักเจ้า”

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: บัลลังก์หมอยาเซียน