บัลลังก์หมอยาเซียน นิยาย บท 1619

หลังจากแขกเหรื่อแยกย้ายกันกลับ จิ่งเทียนก็กลับตำหนักไปเปลี่ยนเป็นชุดผ้าแพรสีเขียว

อาภรณ์ชุดนี้เป็นสีเขียวล้วน นอกจากจะปักลายดอกกล้วยไม้ที่แขนเสื้อแล้ว ที่อื่นก็เป็นแค่ลายเมฆายืนพื้นเท่านั้น และชิ้นผ้านี้ก็มาจากเป่ยถังด้วย

“ฝ่าบาท ผู้มีพระคุณน้อยถึงประตูวังแล้วพ่ะย่ะค่ะ” เซินกงกงเข้ามารายงาน

“ดี” เขามองกระจกทองเหลือง สูดลมหายใจเข้าลึกอีกครั้ง “เตรียมเกี้ยวไปเจ๋อสุ่ยหยุนเทียน”

หลังจากเขาขึ้นครองราชย์แล้ว เจ๋อสุ่ยหยุนเทียน ก็เป็นตำหนักแรกที่สร้างขึ้นในวัง อาคารตำหนักสร้างเป็นสามชั้น แต่ตำแหน่งด้านข้างตำหนัก มีหอฟ้าจูเยว่อยู่หลังหนึ่ง เป็นสถาปัตยกรรมที่สูงที่สุดของเมืองเหลียงโจว

ที่หอฟ้าจูเยว่ราวกับสามารถคว้าดวงจันทรามาอยู่ในมือได้

และที่สำคัญไปกว่านั้น หอฟ้าจูเยว่นี้ ในระยะที่ไกลที่สุด ยังสามารถมองเห็นภูเขาที่เชื่อมติดระหว่างเมืองโร่ตูกับเมืองเหลียงโจวได้อีก

ยามที่เขาคิดถึงนาง ก็จะมายังหอฟ้าจูเยว่มองจากชั้นที่สูงที่สุด

“อะเฉิน เจ้าเคยชอบใครสักคนไหม?” จากราวกั้นเขามองทางไกลโพ้น ท่วงท่าผึ่งผายราวหยก สายลมโชยพัดชุดเขียวของเขา สี่มุมฝังมุกราตรีล้ำค่า สะท้อนอยู่บนใบหน้าคมสันของเขา

เขามองนาง ภายใต้การนำขององครักษ์ในวัง นางผ่านซุ้มประตู ผ่านระเบียงทางเดิน และกำลังมาทางหอฟ้าจูเยว่

ทันใดนั้นหัวใจของเขาก็ระส่ำระสาย!

อะเฉินหัวหน้าทหารรักษาพระองค์ยิ้ม ส่ายหน้า “มิเคยพ่ะย่ะค่ะ”

“เจ้าลองชอบใครสักคนสิ ความรู้สึกใจเต้นทำอะไรไม่ถูก มิอาจเปรียบเปรยได้” เขามองเหม่อตามเงากายนั้น มองนางเดินกรีดกราย มิเห็นโฉมหน้า แต่เขารู้ว่าต้องเป็นนางแน่

ก่อนอายุสิบสามปี ชีวิตของเขามีแต่ภูเขาและลำน้ำของแคว้น แต่หลังจากอายุสิบสามปี ชีวิตกว่าครึ่งของเขาคือนาง และเวลานี้นางก็มาแล้ว!

อะเฉินมองตามสายตาของเขา เห็นสามคน เจ้าหญิงแห่งเป่ยถังคือคนที่อยู่ตรงกลางนั่นหรือ?

ไม่รู้ว่าหน้าตาเป็นเช่นไรกัน ถึงกับทำให้ฝ่าบาทคะนึงหาถึงเพียงนี้?

“อะเฉิน นางจะขึ้นมาแล้ว เจ้าลงไปก่อน”

“พ่ะย่ะค่ะ!” หัวหน้าทหารรักษาพระองค์เดินลงบันได

“ไม่ นางขึ้นมาจากบันได เจ้าจะลงทางบันไดไม่ได้” เสียงของจิ่งเทียนร้อนรนเล็กน้อย

“เช่นนั้นกระหม่อมจะลงไปอย่างไรพ่ะย่ะค่ะ?”

“เจ้ากระโดดลงไป!”

“หา...” อะเฉินปีนกำแพงลงไป โรยตัวลงทีละชั้น สุดท้ายก็ลงสู่พื้นอีกฝั่งอย่างเงียบกริบ ไม่ให้เจ๋อหลานเห็น

หลังจากเจ๋อหลานเข้าวังมา ก็ได้ยินว่างานเลี้ยงหมั้นหมายสิ้นสุดลงแล้ว อีกทั้งฮ่องเต้ยังเชิญพวกนางไปพบที่หอฟ้าจูเยว่ เมื่อนั้นนางก็พลันเข้าใจ

รู้จักวางแผนเสียจริง

นางปลดผ้าคลุมหน้าออก มิจำเป็นต้องสวมใส่อีก

ครั้นเซินกงกงที่อยู่ข้างล่างบอกกับนางว่าฝ่าบาทต้องการพบนางคนเดียวแล้ว นางก็ปลอบแม่นางโจวที่กำลังจะคลั่งขาดสติ หัวเราะเอ่ย “ข้าขึ้นไปเอง”

แม่นางโจวเดือดจัด “พวกเขารู้ฐานะเจ้าหญิงตั้งแต่เมื่อไรกันเพคะ? ตอนอยู่ที่โรงเตี๊ยม ยังบอกว่าเชิญข้าน้อยอยู่เลย เจ้าเล่ห์นัก มีประสงค์ไม่ดี”

“มิเป็นไร ข้าก็ไปเถอะ” เจ๋อหลานเอ่ย

“หวังแต่จะไม่มีแผนร้ายอะไร” แม่นางโจวไม่ค่อยวางใจ จ้องเซินกงกง “เหตุใดจึงไม่ให้ข้าขึ้นไป? แล้วไยจึงจะพบเจ้าหญิงเพียงผู้เดียว?”

เซินกงกงขออภัย “แม่นางโจวอย่าเพิ่งโกรธ ฝ่าบาทประสงค์ปฏิสันถารกับเจ้าหญิงเพียงลำพัง”

เซินกงกงยิ่งเห็นเจ้าหญิงน้อยก็ยิ่งชอบ ช่างเป็นแม่นางที่งดงามน่ารักเสียจริง หากนางยอมรับปากเป็นฮองเฮาแคว้นจิน ก็จะดียิ่งนัก

เพียงแต่แม่นางโจวผู้นี้ดุจริง หลังจากจากกันมานาน ฝ่าบาทเพียงไม่อยากให้มีผู้อื่นอยู่ร่วมในการพบหน้าครั้งแรกเท่านั้น

เขาฝึกซ้อมซ้ำไปซ้ำมาอยู่หลายครั้ง

แม่นางโจวทางนี้เรียบร้อย แต่เหลิ่งหมิงหยู่กลับจะตามไปด้วย เซินกงกงจึงเอ่ย “คุณชายท่านนี้ โปรดอยู่รอที่นี่เถอะ อีกสักครู่ข้าน้อยจะให้คนจัดการอาหารรสเลิศมาให้ท่าน”

แต่เมื่อเห็นนัยน์ตาสงบนิ่ง ยิ้มบางบนใบหน้า และความนิ่งที่ราวกับมองทะลุทุกสรรพสิ่งในแดนมนุษย์ของนางแล้ว ทันใดนั้นเขาก็รู้สึกว่าทุกสิ่งที่ตนทำล้วนไร้สาระมาก ไร้สาระจนน่าขัน

เขาเคยคิดว่าตนจะตื่นเต้น เคยคิดว่าตนคงไม่รู้ว่าจะเริ่มพูดอย่างไรดี เคยคิดว่าหัวใจของตนคงเต้นกระหน่ำตายแน่ แต่กลับคิดไม่ถึง...ว่าขณะที่โฉมหน้าที่เฝ้าคำนึงหาสะท้อนเข้าม่านตาเขา เขากลับอยากร้องไห้

ที่แท้การหมั้นหมาย การแต่งตั้งฮองเฮา คำมั่นสัญญา เรื่องที่เขายุ่งวุ่นวายอยู่นานกลับไม่สำคัญเลย ที่สำคัญคือนางสามารถมีชีวิตยืนอยู่ตรงหน้าเขา เผยรอยยิ้มบริสุทธิ์ที่แม้จะเป็นแค่มารยาทก็ตาม นี่แหละที่เหนือกว่าสิ่งใด

เจ๋อหลานมองเขา ยกยิ้ม เผยฟันเขี้ยวที่ปกติซ่อนเร้น นัยน์ตาเป็นประกาย และน้ำเสียงที่เขาคุ้นเคย “พี่ชาย ไม่พบกันเสียนาน”

คลื่นร้อนทะลักขึ้นดวงตา น้ำเสียงแฝงความสั่นเครือเล็กๆ “ไม่พบเสียนาน”

เขาเริ่มทำอะไรไม่ถูก ตามที่เขาฝึกซ้อมไว้ เวลานี้เขาควรเดินไปอยู่ข้างตัวนาง มอบของขวัญที่เขาเตรียมไว้ จากนั้นก็เชื้อเชิญให้นางนั่งลง ให้คนยกอาหารที่นางชอบมา แล้วกินอาหารกับนางอย่างสงบ ท่ามกลางธารดาราสุกสกาวที่อยู่เต็มท้องฟ้า

แต่ตอนนี้กลับเป็นเจ๋อหลานที่เดินมาอยู่ตรงหน้าเขา ยื่นมือขึ้นเทียบอยู่เหนือศีรษะตัวเอง หัวเราะเอ่ย “ท่านสูงกว่าตอนนั้นมาก สูงกว่าข้าไปคืบหนึ่งแน่ะ”

ดวงตาเขาจับจดอยู่กับนาง ความสะอื้นในลำคอไม่อาจผ่อนคลาย “ข้า...ที่ข้ากลัวที่สุด ก็คือเจ้าลืมข้าแล้ว ขอบใจที่เจ้ายังจำข้าได้”

“จะลืมได้อย่างไร? ท่านเป็นสหายคนแรกของข้า” เจ๋อหลานแลบลิ้นยิ้ม แล้วเดินไปตรงรั้วกั้นช้าๆ มองดวงดาวที่ระยิบระยับ “ที่นี่ดีจริงๆ”

ไม่รู้ทำไม นางกลับตื่นเต้นนิดๆ

แต่นางสามารถควบคุมอารมณ์ได้ดีมาตลอด ตอนเด็กๆ ยังแทบไม่เกิดความผิดพลาด

ทว่าค่ำคืนนี้ บางทีอาจเป็นเพราะบรรยากาศการพบสหายที่ไม่ได้พบกันนานเข้าร่วม ทำให้นางรู้สึกใจเต้นอยู่บ้าง

เขาหันมามองแผ่นหลังของนาง มองเส้นผมงามของนาง มองบ่าผอมบางของนาง แล้วยังเครื่องทรงที่ตัดเย็บอย่างเรียบง่าย สาวน้อยในความทรงจำ ปรากฏในหัวสมองอีกครั้ง

นางโตขึ้นมาก

แต่การพบกันครั้งนี้ ไม่ควรประมาท กระทั่งเรียกได้ว่าเก้กังเช่นนี้

แม้แต่การพูดก็พูดไม่เป็นเสียแล้ว

ประวัติการอ่าน

No history.

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: บัลลังก์หมอยาเซียน