บัลลังก์หมอยาเซียน นิยาย บท 1998

หยู่เหวินเห้าตวาดประณามพวกเขาด้วยความโกรธเคือง "พวกเจ้าแต่ละคน ๆ ล้วนเป็นปัญญาชนผู้มีการศึกษา กลับมีโลกทัศน์กับหัวจิตหัวใจที่คับแคบเพียงแค่นี้เองน่ะรึ? ยอมรับที่สตรีจะรู้หนังสือรู้หลักเหตุและผลไม่ได้ ? นับตั้งแต่โบราณมาจนถึงตอนนี้ ผู้ที่สามารถอภิปรายเรื่องภายในราชสำนักได้ล้วนแล้วแต่เป็นผู้ชาย ทำไมไม่เห็นพวกเจ้ากู่ร้องก้องตะโกนว่า จะส่งผลกระทบต่อความมั่นคงในระยะยาวของราชสำนักบ้างล่ะ? ตอนนี้เริ่มก่อตั้งโรงเรียนสตรีแล้ว พวกเจ้ากลับกระโดดออกมากู่ร้องว่าสตรีจะส่งผลเสียต่ออำนาจของราชวงศ์ ถ้าพลังของสตรียิ่งใหญ่มากขนาดนี้จริง ข้าสมควรจะต้องพิจารณาอย่างจริงจังแล้วหรือไม่ ที่จะให้สตรีเข้ามาเป็นขุนนางในราชสำนัก เพื่อมาแข่งขันประชันความสามารถกับสิ่งที่เรียกว่าผู้ชายอย่างพวกเจ้าน่ะ?”

“โรงเรียนสตรีแห่งแรกที่จัดตั้งขึ้นในตอนนี้ ค่อนข้างเน้นวิชาหลักด้านงานฝีมือ มีคนที่สมัครเพื่อมาเรียนหนังสือค่อนข้างน้อย ฮองเฮาอยากให้ผู้หญิงได้พัฒนาตนเองรู้เหตุรู้ผล นี่เป็นความตั้งใจเดิมที่ดีตั้งเท่าไหร่ สิ่งเหล่านี้ไม่ใช่หน้าที่ของพวกเจ้าที่จะคิดพิจารณาถึงข้อเสีย นี่เป็นวิจารณญาณของพวกนางที่จะคิดเอง ถ้าอยากเรียนก็ไปเรียน ถ้าไม่อยากเรียนก็สามารถใช้ชีวิตโดยยึดตามวิถีดั้งเดิมที่เคยทำมาได้ ราชสำนักไม่ได้ออกคำสั่งเคร่งครัดใด ๆ เพื่อสั่งให้ผู้หญิงทุกคนต้องรู้หนังสือ แต่ข้ากับฮองเฮาอยากปกป้องสิทธิ์ให้ พวกนางมีสิทธิที่จะเลือกได้ด้วยตัวเอง หากพวกนางอยากอ่านออกเขียนได้ ก็สามารถเข้าโรงเรียนเพื่อไปเรียนรู้ ง่าย ๆ แค่นี้เอง เจ้าจะคิดอะไรมากมายขนาดนั้น? เกี่ยวอะไรกับผู้ชายด้วยรึ? "

“การจำกัดการรู้หนังสือและรู้เหตุรู้ผลของผู้คน หากมองแบบผิวเผินนั้นอาจดีต่อการปกครอง ราชสำนักผลักดันให้พวกเขาทำอะไร พวกเขาก็จะทำอันนั้น ไม่รู้จักคัดค้าน ทั้งไม่รู้ด้วยว่าพวกเขาสามารถคัดค้านได้ แต่หากมองให้ลึกลงไปกว่านั้น หากประชาชนมีสติปัญญา จะเป็นการยกระดับ ตัวเองให้มีคุณภาพดียิ่งขึ้น การกำกับดูแลราชสำนักก็จะเข้มงวดมากขึ้นด้วย ไม่มีอะไรที่ปิดบังได้ ทั้งการลักขโมย ฉ้อฉล ทุจริตในวงการขุนนางก็จะถูกกำจัดออกไปได้โดยง่าย ประเทศที่เป็นแบบนี้ ก็จะดีขึ้นทุกวัน ๆ สามารถบรรลุความปรารถนาที่จะสร้างสันติภาพและความมั่นคงในระยะยาวตามที่เจ้าเพิ่งพูดถึงเมื่อครู่ได้ คิดจะอาศัยการปิดหูปิดตารึ? จะปิดหูปิดตาประชาชนไปได้สักกี่ปี? บทเรียนจากคนรุ่นก่อน ๆ ที่ผ่านมา เจ้าไม่ได้เรียนรู้มันเลยรึ?”

“ฝ่าบาท กระหม่อมไม่ได้คิดเช่นนั้น.....”

พวกใต้เท้าจูกำลังคิดจะโต้วิวาทะต่ออีกสักฉาก แต่หยู่เหวินเห้าบันดาลโทสะขึ้นมาแล้ว "อยากถกประเด็นอะไร ก็เขียนฎีกาส่งไปให้ทางโสวฝู่ก่อน ให้คณะเน่ย์เก๋อประชุมพิจารณา หากเน่ย์เก๋อคิดว่าจำเป็นต้องส่งมาให้ข้าตรวจสอบ ย่อมจะส่งขึ้นมาให้ข้าดูเอง"

“กระหม่อมคิดว่าเรื่องนี้ควรปรึกษาฝ่าบาทเป็นการส่วนตัวก่อน....”

“ออกไป ออกไปเดี๋ยวนี้!” หยู่เหวินเห้าลุกขึ้นยืนได้ก็ไล่ตะเพิดคนออกไปทันที บีบบังคับให้พวกใต้เท้าจูถอยไปที่ประตูทีละก้าว ๆ หยู่เหวินเห้าพับแขนเสื้อขึ้นด้วยท่าทางเอาเรื่อง “ไป ! ไปให้เร็วกว่านี้อีก วิ่งเลย วิ่ง บอกให้วิ่ง....."

พวกใต้เท้าจูทำได้แค่ต้องวิ่งออกไป วิ่งไปพลางก็คอยเหลียวหลังกลับมามองฝ่าบาทไปพลาง ฝ่าบาทถึงกับม้วนแขนเสื้อ แล้ววิ่งไล่กวดตามหลังมาด้วย พวกเขาจึงต้องเร่งฝีเท้า เพียงครู่เดียวก็หายลับไปไม่เห็นแม้แต่เงา

หยู่เหวินเห้าหยุดฝีเท้า เหลียวหลังไปมองมู่หรูกงกง "หลังจากนี้ ถ้าใครมาขอเข้าเฝ้าที่ห้องทรงพระอักษร เจ้าต้องถามให้ดีก่อนว่าพวกเขาจะพูดเรื่องอะไรกันแน่ อย่าเอาเรื่องไร้สาระบ้าบออะไรก็ล้วนจับมาโยนลงตรงหน้าข้า ข้าดูว่างการว่างงานมากรึ? มีเวลาขนาดนี้สู้ไปถูยางไม้ให้เจ้าเสือขนทอง ช่วยให้ขนมันงอกยาวขึ้นมาเร็ว ๆ เสียยังดีกว่า"

มู่หรูกงกงรีบตอบว่า "ข้าน้อยจะรอบคอบให้มาก ไม่มีครั้งหน้าอีกแล้วพ่ะย่ะค่ะ"

หยู่เหวินเห้าวิ่งตึงตังตรงไปที่ตำหนักเสือขนทอง เวลานี้เจ้าหยวนต้องอยู่ที่ตำหนักเสือขนทองแน่ ๆ

ก่อนหน้านี้เจ้าเสือขนทองถูกโกนขนจนเกลี้ยงเกลา ตลอดเดือนนี้ที่ผ่านมาขนค่อย ๆ งอกยาวขึ้นมาบ้างแล้ว ทุกครั้งที่พวกองครักษ์เงาดำชราเข้าวัง ก็จะคอยมาถูยางไม้ให้เจ้าเสือ บอกว่าเป็นน้ำยาบำรุงขน เมื่อก่อนเสือขนทองก็เคยขนโกร๋นมาก่อน แต่หลังจากถูด้วยยางไม้ที่ว่านี้ ใช้เวลาเพียงไม่นานขนของมันก็งอกยาวขึ้นมาแล้ว

แต่เจ้าหยวนกลับไม่ค่อยเห็นด้วยนัก บอกว่ามันจะทำให้เกิดผิวเกิดอาการแพ้ กระทั่งก่อให้เกิดโรคผิวหนังได้

ณ จุดนี้เขาเห็นด้วยกับกลุ่มชายชราชุดดำ ผิวหยาบเนื้อแข็งเสียขนาดนั้น พูดอะไรว่าผิวแพ้ง่าย นี่ไม่ใช่เสือขนทองผู้คลุกดินโคลน กรำศึกมาทั่วร้อยเอ็ดเจ็ดย่านน้ำหรอกหรือ?

แต่ยางไม้ที่สกัดมาของพวกชายชราชุดดำ ก็ยังทำให้เจ้าเสือเกิดปัญหาจนได้ ทั้งตัวของมันเต็มไปด้วยตุ่มผื่นสีแดง ทั้งยังเม็ดใหญ่มากอีกด้วย

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: บัลลังก์หมอยาเซียน