อู๋ซ่างหวงกับท่านฉู่ลากเขากลับไปที่จวนอ๋องซู่ แล้วขอให้พี่จูตี้ช่วยมาตรวจดูฟันของเขา
ฟันจากทั้งปาก ร่วงไปได้เจ็ดแปดซี่แล้ว ส่วนที่เหลือก็เริ่มโยก ทำให้กินเนื้อสัตว์ได้ไม่สะดวกนัก
ตอนที่ฟันเริ่มร่วงไม่ยอมบอกใคร บวกกับแอบทิ้งอาหารเสริมพวกแคลเซียมทั้งหลายไปหมด แน่นอนว่าย่อมถูกพี่จูตี้ด่ากราดเป็นธรรมดา
จวนอ๋องซู่จึงเริ่มทำการตรวจฟันเป็นวงกว้าง แต่ก่อนเป็นเพราะให้ความสนใจเฉพาะปัญหาส่วนอื่นในร่างกาย แต่กลับไม่ได้สนใจเรื่องสุขภาพฟัน พี่จูตี้จึงรู้สึกโทษตัวเองอย่างมาก
หลังจากการตรวจสอบไปรอบหนึ่ง จึงพบว่าคนที่อาการหนักที่สุดก็คือเซียวเหยากง ส่วนคนอื่น ๆ ยังนับว่าใช้ได้
ตีให้ตายเซียวเหยากงก็ไม่ยอมทำฟันปลอม บอกแค่ว่าจะกินข้าวด้วยฟันสภาพนี้ไปก่อน ถ้ากินอะไรไม่ได้แล้วจริง ๆ ค่อยว่ากัน
แต่เขาก็นับว่าให้ความสนใจกับสุขภาพช่องปากมากขึ้น ต้องปกป้องฟันที่ยังเหลืออยู่ด้วยความระมัดระวังให้มาก
เพราะปัญหาเรื่องฟัน ทำให้คุณย่าหยวนเริ่มยุ่งขึ้นมาอีกแล้ว
คุณย่าเรียกประชุมกับเจ้าหน้าที่จากสำนักงานกิจการพลเรือน ขอให้ท่านฉู่เข้าร่วมการประชุม เพื่อเตรียมร่างแนวทางรับมือปัญหาสุขภาพในช่องปาก ให้ประชาชนเป่ยถังตระหนักรู้ถึงความสำคัญของการปกป้องดูแลฟันของตนเอง
เรื่องนี้นับว่าใหญ่พอสมควร เพราะต้องกระจายไปยังเมืองย่อยแต่ละแห่ง ทั้งต้องระดมผู้คนจากกรมงานต่าง ๆ ให้ไปช่วยกันประชาสัมพันธ์ ดังนั้น เรื่องนี้จึงยังต้องการความร่วมมือจากกรมการโฆษณาประชาสัมพันธ์ด้วย
แน่นอนว่า ย่อมต้องนำไปหารือกันในราชสำนักด้วย
แค่เรื่องของฟันในปาก ถ้าพูดในแง่ความสำคัญภายในราชสำนัก ย่อมมีขุนนางที่ยังหนุ่มแน่นจำนวนหนึ่งรู้สึกว่า ออกจะทำเรื่องเล็กให้เป็นเรื่องใหญ่เสียเปล่า ๆ
แต่พวกขุนนางอาวุโสกลุ่มหนึ่งกลับคิดว่า เรื่องนี้เป็นเรื่องสำคัญอย่างยิ่ง เพราะใต้เท้าจูตี้บอกแล้วว่า เมื่อฟันของเราไม่ดี ก็ไม่สามารถกินอาหารที่มีคุณค่าทางโภชนาการมากมายได้ครบ หรือต่อให้ฝืนกินเข้าไปก็ตาม หากไม่ผ่านกระบวนการบดเคี้ยวให้ละเอียดแล้วกลืนลงไป แน่นอนว่าจะส่งผลต่อระบบการทำงานของกระเพาะซึ่งต้องทำงานหนักขึ้น อาจส่งผลร้ายต่อกระเพาะอาหารได้
และเมื่อไหร่ที่กระเพาะมีปัญหา ก็จะเกิดโรคต่าง ๆ ตามมา เรื่องนี้สำคัญตั้งขนาดไหน พวกขุนนางหนุ่ม ๆ ที่บอกว่าไม่สำคัญพวกนั้นน่ะ ไม่เข้าใจว่าคนอื่นต้องลำบากขนาดไหน! ในที่สุด หยู่เหวินเห้าก็สบโอกาสได้พูดเสียที หันไปหากลุ่มขุนนางในท้องพระโรงแล้วพูดว่า "เมื่อไม่กี่วันก่อน ข้าได้ยินเรื่องน่าสนใจบางอย่างมา เป็นเรื่องที่มีคนบอกว่าไม่จำเป็นต้องจัดตั้งโรงเรียนสตรี เหตุผลเพราะสตรีที่มีความรู้ความสามารถมาก ๆ จะทำตัวผิดจารีตไม่เชื่อฟัง ให้เรียนจนรู้หนังสือก็นับว่าเปล่าประโยชน์ ทั้งยังมีคนบางคนที่โต้เถียงเรื่องนี้ทั้งวัน ค้านนั่นค้านนี่ อภิปรายอะไรได้ก็เขียนเป็นฎีกาออกมา แต่กลับไม่เคยได้เข้าไปเรียนรู้วิถีชีวิตของประชาชนจริง ๆ สักครั้ง จะเข้าใจความต้องการของประชาชน ตอนที่พวกเจ้าทำเรื่องพวกนี้ เคยได้ไปเห็นใต้เท้าท่านนี้นางทำอะไรอยู่บ้างหรือไม่?
เป่ยถังเรามีการปฏิรูปด้านการรักษาพยาบาลมาหลายครั้งแล้ว ปัจจุบันไม่ว่าจะในด้านยารักษาหรือการแพทย์ ก็มีมาตรฐานล้ำหน้าเจ็ดแคว้นไปไกลแล้ว นี่เป็นความดีความชอบของใคร? มีใครสังเกตบ้างหรือไม่? เคยมีใครยกมาพูดถึงในราชสำนักสักคำหรือไม่? หรือพอจะมีใครย้ำบ้างว่าใต้เท้าผู้นี้เป็นสตรี? ใต้เท้าผู้นี้นางไม่แค่รู้หนังสือ แต่ยังมีความรู้มากมายมหาศาล ไม่ทราบว่านางทำผิดจารีตตรงไหนไปอย่างนั้นรึ? "
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: บัลลังก์หมอยาเซียน
สองขาของหยู่เหวินเห้าก็คดงอคุกเข่าลงอย่างช่วยไม่ได้ เอ่ยอย่างไม่เต็มใจเลยสักนิดว่า “ลูกยินดียอมรับโทษทัณฑ์ที่เหลือของเสด็จพ่อ ชอบข้อความบทนี้ตลกดีคะพระเอก ตอน 394...
1...
1...
เพิ่งอ่านได้ 2ร้อยกว่าหน้า สนุกน่าติดตามมาก แต่ทั้งเรื่องมี2พันกว่าหน้า ทำไงจะอ่านจบ...
ขอบคุณผู้แต่ง และ novelones มากๆค่ะ ดีที่สุด อ่านรอบที่ 4 แล้วก็ยังสนุกครบรส ❤️...
เรื่องนี้ถือว่าสมบูรณ์มากสนุกต้นถึงจบ อยากให้เป็นซีรี่ย์...
สนุก ตลกดี เนื้อเรื่องชวนติดตามแต่คำผิดเยอะไปหน่อยค่ะ...