บัลลังก์หมอยาเซียน นิยาย บท 273

สองวันมานี้แม่นมสี่และอะซี่ค่อนข้างยุ่งเพราะผู้ช่วยในจวนยังมีจำนวนไม่เพียงพอ โดยเฉพาะหลังจากที่ผู้สืบทอดของเจ้าอ๋องกำเนิดขึ้นมาแล้วทุกอย่างก็จะยิ่งวุ่นวายมากยิ่งขึ้น ดังนั้นจวนอ๋องจึงจำต้องหาคนที่น่าเชื่อถือเข้ามาทำหน้าที่นี้

และดีที่สุดคือจะต้องมีความสามารถด้านวิชาการต่อสู้ด้วยเล็กน้อย ซึ่งนี่เป็นความเห็นของอะซี่ เพราะว่าในยามที่พระชายาเดินทางออกไปไหน จะต้องมีสาวใช้ที่รู้วิชาการต่อสู้คอยปรนนิบัติอยู่เคียงข้างถึงจะดีที่สุด

ฉะนั้นในเช้าตรู่วันถัดมา อะซี่จึงลากตัวแม่นมสี่ออกไปยังตลาดตะวันตก

พวกนางไม่ได้ประกาศว่ามาจากจวนอ๋องฉู่ บอกเพียงแต่ว่าต้องการสาวใช้ที่มีทักษะการต่อสู้ไว้คอยดูแลปรนนิบัติฮูหยินเท่านั้น ทั้งยังให้เงินในราคาที่ดี จนทำให้ในทุกๆ วันมีคนสนใจมาสมัครไม่น้อยเลย แต่ถึงอย่างนั้นก็ยังไม่สามารถเลือกได้คนที่เหมาะสมเสียที เพราะความคาดหวังของอะซี่ค่อนข้างสูง และคนที่มาสมัครจะต้องสามารถปราบมือกับนางได้สิบกระบวนท่าถึงจะรับเข้าทำงาน

แต่น่าเสียดาย แม้คนที่จะปราบมือกันถึงสามกระบวนท่ายังมีน้อยมาก

วันนี้หลังจากที่ตั้งโต๊ะหน้าร้านเสร็จ พ่อค้าค้ามนุษย์ก็เดินเข้ามา อะซี่จึงยกมือขึ้นสะบัด “เจ้ากลับไปเถอะ พวกข้าจะหาคนเอง”

นางไม่เชื่อในตัวพ่อค้าค้ามนุษย์ที่เป็นพวกพูดจากลับกลอก มองไม่เห็นความจริงใจ

พ่อค้าค้ามนุษย์หัวเราะออกมา “พวกเจ้าก็ตั้งร้านตามหามาตั้งหลายวันแล้ว ยังหาไม่ได้แม้แต่คนเดียว เหตุใดถึงไม่ลองพิจารณาคนในมือของข้าน้อยเล่า ?ไม่ว่าจะอ้วนท้วมหรือผอมบางก็มีหมดทุกแบบ”

อะซี่ตอบกลับไปอย่างไม่พอใจ: “พวกเขาบอกว่าจะหาคนด้วยรูปร่างหรือไร?พวกข้าต้องการคนที่มีจิตใจสะอาดบริสุทธิ์ รู้ทักษะวิชาการต่อสู้ ไปๆๆ อย่ามาขวางทาง เดี๋ยวก็จะมีคนมาแล้ว”

พ่อค้าค้ามนุษย์หมดอารมณ์จึงยอมเดินจากไป

พอพูดไปก็มีคนเดินเข้ามา นางเป็นหญิงสาวที่ดูกำยำล่ำสัน อะซี่จึงถามเรื่องทักษะวิชาการต่อสู้ทันที หญิงสาวบอกว่าตัวเองเป็นคนมีพละกำลัง สามารถยกกระถางทองสัมฤทธิ์ขนาดใหญ่ได้เพียงแรงฮึดเดียว

แต่ทว่าในตอนที่เข้าการประลอง อะซี่เพียงแค่ตวาดเท้าเพียงครั้งเดียวนางก็กระเด็นลงไปกับพื้นแล้ว

“เห็นได้ชัดเลยว่าการยกกระถางทองสัมฤทธิ์ไม่ได้มีประโยชน์อะไร” อะซี่ถอนหายใจ

แม่นมสี่ยิ้ม: “เอาเถอะ เจ้าก็หาคนที่ร่างกายกำยำเสียหน่อยก็เพียงพอแล้ว ในเวลาเช่นนี้หญิงสาวที่รู้วิชาการต่อสู้มีน้อยนัก”

แม่นมสี่เกือบจะเอ่ยออกมาว่าไม่มีแล้ว เพราะเด็กสาวที่จะออกมาเป็นสาวใช้ ส่วนมากจะไม่ฝึกฝนวิชาต่อสู้ นอกเสียจากนักพเนจร แต่นักพเนจรเป็นพวกทะเยอทะยานสูง ไม่มีทางยอมมาเป็นสาวใช้ในจวนแน่นอน

อะซี่ตอบ: “เช่นนั้นไม่ได้ ท้ายที่สุดแล้วข้าก็ต้องออกเรือน ไม่สามารถที่จะคอยอยู่เคียงข้างพระชายาไปตลอด จะให้พึ่งพาสวีอีคนซื่อบื้อก็คงจะไม่ได้ เขาเป็นคนที่ประมาทเลินเล่อ สามารถทำเรื่องผิดพลาดได้ง่าย ยังไงเสียก็ต้องหาสาวใช้สองคนที่รู้วิชาการต่อสู้ให้ได้ ในช่วงเวลาสำคัญต่อให้จะต่อสู้ไม่ไหวก็ยังสามารถหลบหนีได้”

แม่นมสี่ยิ้ม “เจ้านี่ มีใครที่ไหนบอกว่าตนจะออกเรือนกลางถนนเช่นนี้กัน อายบ้างหรือไม่?”

อะซี่ตอบกลับอย่างไม่พอใจ: “เรื่องเช่นนี้มีอะไรน่าอายกัน?เป็นสตรียังไงก็ต้องออกเรือน ว่าแต่แม่นมไม่เคยออกเรือนหรือ?”

แม่นมสี่ตอบด้วยความหัวเสีย: “ข้าจะสมรสใครเล่า?”

อะซี่จ้องนาง “เจ้าย่าบอกว่าเดิมทีแล้วโสวฝู่ฉู่ต้องการที่จะสู่ขอเจ้า แต่ไม่รู้ว่าเหตุใดเจ้าถึงไม่ได้อภิเษก”

แม่นมสี่กลอกตาใส่นาง “เจ้าย่าของเจ้าเป็นคนพูดจาเหลวไหล”

อะซี่ยิ้มยิงฟันออกมา “ไม่ใช่หรือ?เจ้าย่าเป็นคนปากพล่อยแล้วยังชอบฟังยิ่งนัก เรื่องปัญหาน้อยใหญ่ของตระกูลชั้นสูงในเมืองหลวงไม่มีทางที่เจ้าจะไม่รู้เลย”

แม่นมสี่เห็นด้วยอย่างยิ่ง

ท่านหญิงแห่งตระกูลหยวน เป็นคนเช่นนั้นจริงๆ ทั้งที่ดูแล้วเป็นคนที่เปิดเผยตรงไปตรงมา แต่เบื้องหลังแล้วก็เป็นคนที่ชอบซักถามฟังความอย่างมาก

“ขอถาม……” เสียงขี้อายดังแทรกขึ้นมา “พวกเจ้ากำลังเสาะหาสาวใช้อยู่ใช่หรือไม่เจ้าคะ?”

อะซี่เงยหน้าขึ้นก็ได้เห็นหญิงสาวที่ร่างกายบอบบางบนหน้าผากมีรอยแส้ฟาดที่เห็นได้อย่างชัดเจนยืนอยู่ตรงหน้าและกำลังพูดติดอ่างมองมายังนาง

อะซี่มองดูรูปร่างก็รู้ว่านางไม่ตรงตามที่ต้องการทันที: “ใช่ พวกข้ากำลังหาสาวใช้ แต่เจ้าไม่เหมาะสมหรอก”

“ข้าเหมาะสม ข้าทำได้ ไม่ว่าเรื่องอะไรข้าก็ยินยอมทำเจ้าค่ะ” คนที่กำลังพูดอยู่นั่นก็คือหมันเอ่อคนหนานเจียงที่เพิ่งถูกตระกูลฉู่ขับไล่ออกมา สุดท้ายแล้วนางก็เชื่อคำที่ขอทานหนุ่มบอกจนมาถึงที่นี่เพื่อเสี่ยงดวง

“ไม่ใช่ว่าเหมาะสมหรือไม่เช่นนั้นหรอก แต่เจ้ารู้วิชาการต่อสู้หรือไม่?” อะซี่กล่าวถาม

“ข้ารู้นิดหน่อยเจ้าค่ะๆ” หมันเอ่อรีบตอบทันที

อะซี่สังเกตตัวนาง “ก็ได้ หากว่าเจ้าสามารถรับมือข้าได้มากกว่าสามกระบวนท่า ข้าก็จะจ้างเจ้า”

นางเดินออกไป ผสานมือทั้งสอง “ไม่จำเป็นต้องออมมือ จงใช้แรงทั้งหมด……”

หมันเอ่อปล่อยหมัดต่อยใส่หน้านางโดยทันที ด้วยหมัดที่รวดเร็วและว่องไว ทั้งในตอนที่ปล่อยหมัดออกมามีการตวาดโค้งออกไปก่อนจะโดนเข้ากับลูกตาของอะซี่โดยตรง

อะซี่เอามือมาปิดตาแล้วพูดด้วยความโมโห: “ข้ากำลังพูดอยู่ นี่เจ้าลอบโจมตีอยู่”

หมันเอ่อตกใจ “นี่……การต่อสู้ยังมีการลอบโจมตีหรือไม่ลอบโจมตีด้วยหรือเจ้าคะ ?”

อะซี่กัดฟัน พลางสะบัดหมัดออกไปแล้วตามด้วยฟาดเท้าตามไป เดิมทีคิดว่าจะสามารถเตะหมันเอ่อให้กระเด็นออกไปในทันที แต่กลับคิดไม่ถึงว่าหมันเอ่อจะใช้มือทั้งสองข้างรับลูกเตะของนางเอาไว้ ถึงแม้จะถอยหลังไปหลายก้าว แต่กลับไม่ยอมพ่ายแพ้เลยสักนิด

อะซี่ดีใจอย่างมาก แต่นางยังคงไม่ลดละ ลองใช้กระบวนเจ้ากอินทรีฟากฟ้าเพื่อเพิ่มความยากมากขึ้น ปรากฏว่าหมันเอ่อสามารถต้านรับได้ อีกทั้งหลังจากนั้นยังสามารถโต้กลับได้อย่างรวดเร็วอีกด้วย

จนกระทั่งทั้งสองต่อสู้กันไปสักพัก พวกนางใช้กระบวนท่ามากว่าร้อยกระบวนท่าแล้ว แต่ก็ยังไม่มีผู้ใดพ่ายแพ้เลย เพียงแต่ต่างพากันหอบด้วยความเหนื่อยล้าเล็กน้อย

อะซี่ลงมาแล้วกล่าวด้วยรอยยิ้ม: “ไม่จำเป็นต้องต่อสู้แล้ว เจ้าผ่านแล้ว”

หมันเอ่อจัดทรงผมของตัวเองแล้วถามกลับด้วยความประหลาดใจ: “จริงหรือเจ้าคะ?”

แม่นมเหล่ไปมองอะซี่ “เหตุใดถึงไม่มีการสักถามเลยสักคำ? พื้นฐานครอบครัว ?แล้วไหนจะชื่อสกุลอีก?”

อะซี่ยิ้ม: “ข้าเพียงมีหน้าที่ทดสอบวิชาต่อสู้ เรื่องส่วนตัวนั้นแม่นมเป็นคนจัดการต่อเถอะ”

แม่นมหันไปมองหาหมันเอ่อพร้อมกับซักถาม: “เจ้ามีนามว่าอะไร?อายุเท่าไหร่แล้ว?เป็นคนที่ไหน?มาอยู่เมืองหลวงนานแค่ไหนแล้ว?”

หมันเอ่อตอบกลับ: “ข้ามีนามว่ากู่หมันเอ่อ มาอยู่เมืองหลวงได้สามปีแล้วเจ้าค่ะ ปีนี้อายุสิบเจ็ดปี ก่อนหน้านี้เป็นสาวใช้ในครอบครัวหนึ่ง เพิ่งออกมาได้ไม่นานเจ้าค่ะ”

“เป็นคนที่ไหน?” แม่นมถาม

หมันเอ่อลังเลอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะกำชายแขนเสื้อแน่นแล้วตอบอย่างเบาๆ : “คนหนานเจียงเจ้าค่ะ”

“ก่อนหน้านี้ทำงานอยู่ตระกูลไหน?” แม่นมถามอีกครั้ง

“จวนตระกูลฉู่เจ้าค่ะ” หมันเอ่อตอบ

แม่นมตกตะลึง “จวนโสวฝู่ฉู่หรือ?”

“เจ้าค่ะ” หมันเอ่อตื่นตระหนกขึ้นมา

น้ำเสียงของแม่นมอ่อนโยนขึ้นมาทันที “การปกครองในตระกูลฉู่นั้นเคร่งครัดอย่างมาก เจ้าเคยอยู่ในตระกูลฉู่เช่นนั้นคงจะเข้าใจกฎเกณฑ์อยู่บ้าง ฉะนั้นก็ดี ข้าจะรับเจ้าทำงาน”

หมันเอ่อส่งเสียงตกใจออกมา “ข้า……คือข้า……เป็นคนหนานเจียง เจ้า……”

แม่นมหันไปจ้องนางด้วยความเฉยชา “คนหนานเจียงมีสี่ขาหรือไร?ก็เป็นคนธรรมดาไม่ใช่หรือ?เจ้ายังมีสิ่งใดที่ต้องกลับไปเก็บหรือไม่?เมื่อไหร่จะเข้าจวน?”

หมันเอ่อตอบด้วยความตื้นตันใจ: “ตอนนี้เจ้าค่ะ ไปตอนนี้ได้เลยเจ้าค่ะ”

แม่นมกดนางให้นั่งลง “ได้ แต่ถึงอย่างนั้นข้าก็ยังมีเรื่องที่ต้องแจ้งกับเจ้าก่อน ทางจวนของเรามีสัญญาระยะเวลา และสัญญาซื้อตัว สามปี ห้าปี สิบปี ยี่สิบปีและตลอดชีวิต”

หมันเอ่อรีบตอบทันที: “สิบปีเจ้าค่ะ”

แม่นมยิ้ม “เจ้ายังไม่ได้ไปถึงจวนเลยก็จะลงลายมือสิบปีแล้วหรือ?”

“ก็เพื่อที่จะได้ไม่ต้องออกไปหางาน ที่นี่หางานทำยากเจ้าค่ะ” หมันเอ่อกล่าว

แม่นมเขียนสัญญาแล้วพูด: “เจ้าจะลงลายมือหรือประทับนิ้ว”

หมันเอ่อกล่าว: “ข้าขอประทับนิ้วเจ้าค่ะ ข้าไม่รู้หนังสือ”

นางประทับรอยนิ้วมือของตัวเองลงไปบนตัวอักษรในแผ่นสัญญาที่นางอ่านไม่ออกเลยสักตัว

จากนั้นแม่นมและอะซี่ก็พาตัวหมันเอ่อกลับจวน

เมื่อมาถึงจวนอ๋อง นางจึงแหงนหน้าขึ้นมองแผ่นป้ายว่าจวนอ๋องฉู่ แต่นางรู้เพียงสองตัวอักษรคือจวนอ๋อง

นางตกใจ “ที่นี่คือจวนอ๋องนี่เจ้าคะ?”

อะซี่กล่าวขึ้น: “ใช่แล้ว เจ้าตามข้าเข้ามา ข้าจะสอนเรื่องกฎของจวนให้กับเจ้า”

หมันเอ่อตอบเข้าใจแล้วเดินตามอะซี่เข้าไป

อะซี่พานางมายังตำหนักเซี่ยวเยว่ หลังจากที่ได้กล่าวเรื่องข้อระวังเรียบร้อย: “ในตอนนี้เจ้ายังไม่สามารถเข้าไปให้การปรนนิบัติใกล้ชิดพระชายา จงทำความสะอาดบางอย่างในลานพลางๆ ไปก่อน”

“เจ้าค่ะ!” หมันเอ่อตอบรับทันที

อะซี่เรียกตัวลู่หยาเข้ามา “เจ้าจงพานางไปยังโรงเก็บของแล้วเบิกเสื้อผ้าให้กับนางสองชุด เปลี่ยนชุดเสร็จแล้วค่อยพานางมาเข้าเฝ้าพระชายา”

ลู่หยาพยักหน้าแล้วพาหมันเอ่อเดินลงไป

สวีอีที่เพิ่งกลับมาจากด้านนอก เมื่อได้เห็นแผ่นหลังของหมันเอ่อ จึงได้สอบถามอะซี่ “ใครหรือ?”

“คนที่หามาใหม่ ไม่ได้ซื้อมาจากพ่อค้าค้ามนุษย์หรอกนะ แถมทักษะการต่อสู้สุดยอดมากด้วย” อะซี่ตอบอย่างดีใจ

สวีอีตอบกลับด้วยความเข้าใจ “ราวกับว่าข้าเคยพบนางที่ไหนมาก่อนเลย”

อะซี่เดือดดันขึ้นมา “หน้าไม่อาย!”

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: บัลลังก์หมอยาเซียน