หลังจากที่เจ้าพระยาเจิ้งเป่ยบ่นงึมงำอย่างไม่พอใจไปครู่ใหญ่ ก็เริ่มพูดขึ้นก่อนที่ความอดทนของหยู่เหวินเห้าจะหมดลง
“วันนั้นข้าโดนราชครูว่าไปยกหนึ่ง เลยโกรธมากจนไปคิดบัญชีกับอ๋องอาน ตอนนี้ข้ามานึกขึ้นได้ วันนั้นเขาพูดจากลับตารปัตรจนน่าประหลาด บอกว่าเป็นพระชายารัชทายาทผลักฮู่เฟย จงใจก่อกวนข้าออกไปมีเรื่องทะเลาะให้ได้ คนผู้นี้ช่างเลวทรามต่ำช้าจริง ๆ ข้าสงสัยอย่างจริงจังเลยว่าเป็นเขานี่แหล่ะ ที่ทำร้ายพระชายาอาน จากนั้นก็วางแผนโยนความผิดทั้งหมดมาลงบนหัวข้า รัชทายาท ท่านต้องตรวจสอบเรื่องนี้ให้ดี เป็นไปได้อย่างยิ่งว่า....”
หยู่เหวินเห้าขัดจังหวะเขา "เจ้าไม่ต้องคาดเดา แค่พูดมาว่ามันเกิดอะไรขึ้นบ้าง ข้าไม่มีเวลาแชเชือนกับเจ้ามากนัก หลังจากสอบปากคำเจ้าแล้ว ยังต้องเข้าวังไปตรวจสอบเพิ่มเติมอีก เจ้ารีบพูดมาเถอะ"
เจ้าพระยาเจิ้งเป่ยพูดอย่างไม่พอใจ: "นี่เป็นข้อสงสัยที่สมเหตุสมผล เจ้าควรสันนิษฐานอย่างกล้าหาญ แล้วดำเนินการตรวจสอบคดีอย่างรอบคอบ"
เขาแอบเหลือบมองหยู่เหวินเห้าแวบหนึ่ง เมื่อเห็นว่าเขามีสีหน้าดูเหลืออดแล้ว ก็ไม่กล้าพูดจาออกนอกประเด็นอีก พูดต่อไปว่า: “หลังจากทะเลาะกับเขาไปยกหนึ่ง ข้าก็อยากจะลงมือซ้อมเขาให้น่วมสักที หลังจากนั้นก็มีคนมาดึงไว้ ทั้งยังถูกต่อว่าไปอีกยก ในใจข้าทั้งโกรธทั้งเป็นห่วงฮู่เฟย แต่ก็ไม่กล้าไปที่ตำหนักสู้ซินอีก เพราะกลัวว่าจะทำให้พ่อของเจ้าโกรธ จึงไปยืนรับลมอยู่คนเดียวในอุทยานหลวง ให้ใจเย็นสมองปลอดโปร่งขึ้นมาบ้าง "
เขากลืนน้ำลาย ขยับตำแหน่งให้เหมาะ แล้วพูดต่อว่า “แต่ว่าอุทยานหลวงมันน่าเบื่อจริง ๆ อีกทั้งลมก็แรงมาก พัดจนทำให้สมองของข้าปวดไปหมด พอดีสายตาเหลือบไปเห็นม่านในศาลาทิ้งตัวลง เลยคิดในใจว่าจะไปนั่งเล่นเสียหน่อย จะได้ยืดแข้งยืดขา แต่ผลคือเพิ่งจะเดินขึ้นไปถึงขั้นบันไดหิน ก็เห็นลมพัดมาจนยกชายผ้าม่านเปิดออก ข้าเห็นชุดกระโปรงสีแดงในนั้น ยังเห็นรองเท้าผ้าปักของผู้หญิงด้วย จึงรู้ว่าข้างในมีคนอยู่ เลยหันหลังกลับแล้วเดินออกมา จากนั้นก็เดินไปเรื่อยเปื่อย กลับไปถึงบริเวณนอกตำหนักสู้ซิน ก็ได้ยินว่าฮู่เฟยคลอดลูกออกมาแล้วเด็กตาย ...ถุย ๆ ๆ ! ตอนนี้ไม่ใช่คลอดแล้วตายเสียหน่อย แต่ตอนนั้นที่ได้ยินประโยคนี้ ข้ารู้สึกเสียใจมากจริง ๆ จึงคิดอยากจะไปเข้าเฝ้าฝ่าบาท แต่ฝ่าบาทกลับไม่ประสงค์จะพบหน้าข้า จึงสั่งให้ข้ารออยู่ข้างนอก จนกระทั่งฝ่าบาทเสด็จไปสวนว่าง ข้าจึงเข้าไปนั่งพักในตำหนักสู้ซิน หลังจากนั้นไม่นานไอ้ ฝูสู้นั่นมันก็มา บอกให้ข้าตามมันไปที่กรมวังเพื่อให้ปากคำ แต่ใช้น้ำเสียงเหมือนซักถามผู้ต้องหา ยังบอกอีกว่ามาตามรับสั่ง ตอนนั้นข้าโกรธจนทะเลาะกันไปหลายคำ มันก็เลยสั่งให้คนลงมือ ข้าโกรธจนยั้งอารมณ์ไม่อยู่ จึงต่อยตีกับพวกนั้นไปยกหนึ่ง เป็นความโกรธเพียงชั่ววูบของข้าเท่านั้นเอง ข้าก็ไม่ได้คิดจะต่อยตีพวกนั้นจริง ๆ เสียหน่อย สุดท้ายก็ไม่ใช่ว่ายอมอ่อนข้อให้หรอกรึ หากคิดจะลงมือกันขึ้นมาจริง ๆ กะอีแค่พวกหลานเต่ากระจอก ๆ ไม่กี่คนย่อมไม่ใช่คู่มือของข้าอยู่แล้ว สุดท้ายข้าก็ถูกควบคุมตัวไปกรมวัง ไม่พูดพร่ำทำเพลงก็ลงทัณฑ์โบยข้าถึงสามสิบไม้ โชคร้ายเป็นบ้า ! ฝูสู้ไอ้สารเลวต่ำช้าน่ารังเกียจนั่น ข้าจะต้องจัดการมันแน่..... "
หยู่เหวินเห้ารีบขัดจังหวะเขาอีก เลือกประเด็นสำคัญขึ้นมาถามว่า "นั่นแปลว่าเจ้าพระยาเห็นว่าเหมือนมีใครบางคนอยู่ในศาลาจันทร์เสี้ยว นอกจากเห็นรองเท้าผ้าปักกับชุดกระโปรงแล้ว ยังเห็นอะไรอีกหรือไม่ ? มีรอยเลือดอยู่บนพื้นหรือไม่ ? นี่เป็นจุดที่สำคัญมาก เจ้าต้องคิดให้ชัดเจนถี่ถ้วน”
เจ้าพระยาเจิ้งเป่ยได้ยินว่านี่เป็นเรื่องที่จริงจังอย่างยิ่ง เขาจึงพยายามคิดอย่างละเอียดอีกครั้ง แต่ก็แสดงท่าทีหดหู่ออกมาเล็กน้อย "ข้าไม่ได้มองดูให้มันชัดเจน แค่ชำเลืองมองดูแวบเดียว พอรู้ว่ามีคนอยู่ข้างใน ข้าก็หันหลังกลับออกมาแล้ว บวกกับชุดกระโปรงนั้นเป็นสีแดง อย่างไรก็ไม่อาจแยกแยะได้อย่างชัดเจนว่า สรุปแล้วมีรอยเลือดอยู่บนพื้นหรือไม่"
“กระโปรงสีแดง” หยู่เหวินเห้าถามซือเย๋ “ในสำนวนคดีที่กรมวังส่งมา มีบันทึกคำอธิบายสีเสื้อผ้าที่พระชายาอานสวมหรือไม่ว่าเป็นสีอะไร?”
ซือเย๋พลิกบันทึกดู ส่ายหน้าแล้วพูดว่า “ไม่มีพ่ะย่ะค่ะ”
หยู่เหวินเห้าครุ่นคิดเรื่องนี้ด้วยตัวเอง เหมือนว่าวันนั้นเขาจะได้พบพระชายาอาน แต่เขาไม่ได้ใส่ใจกับมันมากนัก ทั้งยังจำไม่ได้ด้วยว่านางสวมเสื้อผ้าสีอะไรกันแน่
เจ้าพระยาเจิ้งเป่ยดูมีท่าทีไม่สบายใจขึ้นมาอย่างเห็นได้ชัด ถามหยู่เหวินเห้าว่า "ฝ่าบาทจะเชื่อหรือไม่ว่าข้าเป็นผู้บริสุทธิ์?"
หยู่เหวินเห้ามองเขาแล้วพูดว่า " เจ้าไม่ได้บอกเองหรือว่า เสด็จพ่อมีความคิดเห็นไม่ตรงกับเจ้ามาโดยตลอด ? เช่นนั้นไม่ว่าเสด็จพ่อจะเชื่อเจ้าหรือไม่ มันจะส่งผลอะไรต่อเรื่องนี้ล่ะ? ตราบใดที่เจ้าไม่ได้ทำผิด นั่นก็หมายความว่าเจ้าเป็นผู้บริสุทธิ์”
เจ้าพระยาเจิ้งเป่ยพูดด้วยความรู้สึกว่าตัวเองโชคร้าย “ ข้าไม่เคยทำมาก่อนจริง ๆ ข้าบริสุทธิ์ แต่ก็ยังถูกจับมาสอบปากคำอยู่ที่นี่ไม่ใช่หรอกรึ ? ช่างโชคร้ายเสียจริง! ไม่รู้ว่าไปติดเอาโชคร้ายของใครมา.....”
ขณะที่พูด ก็แอบเหลือบมองหยู่เหวินเห้าไปด้วย รู้ว่าตัวเองพลั้งปากไป จึงไม่กล้าพูดอะไรอีก
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: บัลลังก์หมอยาเซียน
สองขาของหยู่เหวินเห้าก็คดงอคุกเข่าลงอย่างช่วยไม่ได้ เอ่ยอย่างไม่เต็มใจเลยสักนิดว่า “ลูกยินดียอมรับโทษทัณฑ์ที่เหลือของเสด็จพ่อ ชอบข้อความบทนี้ตลกดีคะพระเอก ตอน 394...
1...
1...
เพิ่งอ่านได้ 2ร้อยกว่าหน้า สนุกน่าติดตามมาก แต่ทั้งเรื่องมี2พันกว่าหน้า ทำไงจะอ่านจบ...
ขอบคุณผู้แต่ง และ novelones มากๆค่ะ ดีที่สุด อ่านรอบที่ 4 แล้วก็ยังสนุกครบรส ❤️...
เรื่องนี้ถือว่าสมบูรณ์มากสนุกต้นถึงจบ อยากให้เป็นซีรี่ย์...
สนุก ตลกดี เนื้อเรื่องชวนติดตามแต่คำผิดเยอะไปหน่อยค่ะ...