บัลลังก์หมอยาเซียน นิยาย บท 791

“อ๋องชินเฟิงอัน ? เขายังอยู่ที่หมู่ตึกเหมยอย่างนั้นรึ?”

หยู่เหวินเห้าพูดขึ้นว่า: "น่าจะยังอยู่ที่นั่น ข้าส่งคนไปเชิญเขาแล้ว เสด็จลุงจะต้องกลับมาอย่างแน่นอน"

หยวนชิงหลิงพยักหน้า ถูกต้องแล้ว ฮ่องเต้ฮุยจงเป็นบิดาของอ๋องชินเฟิงอัน ศพของบิดาถูกขโมย เขาในฐานะที่เป็นลูกชายจะต้องกลับมาแน่

เดิมทีหยู่เหวินเห้าคิดว่าจะออกไปทันที แต่เพราะสมองของเขาในยามนี้สับสนว้าวุ่นไปหมด จึงนั่งลงแล้วคุยกับหยวนชิงหลิง เพื่อชี้แจงความคิดของเขาให้มันกระจ่างชัด

“คนที่มารายงานวันนี้ ดูเหมือนว่ามีเจตนามาแจ้งให้พวกเรารู้โดยเฉพาะ ดังนั้น การที่คนผู้นี้ขโมยพระศพของเสด็จทวดไป ถือได้ว่าเป็นการยั่วยุ”

หยวนชิงหลิงครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง “หรืออาจเป็นการสะสางบัญชีแค้นก็ได้นะเพคะ!”

“สะสางบัญชีแค้น ?” ดวงตาของหยู่เหวินเห้าหรี่ลง ปรากฏประกายแสงคมปลาบฉายวาบขึ้นมา “ ดังนั้น อ๋องชินเป่าจึงเป็นคนที่น่าสงสัยที่สุด เพียงแต่เดิมทีข้าคิดว่าเขาจะหลบซ่อนตัวให้นานกว่านี้ คิดไม่ถึงเลยว่าเขาจะเปิดเผยร่องรอยของตัวเองออกมา สรุปว่าเขามีเจตนาอะไรกันแน่ ? เพียงเพื่อจะล้างแค้นคนทั้งตระกูลเท่านั้นน่ะรึ?”

"ตอนนี้ไม่ว่าอะไรก็ล้วนเป็นไปได้ทั้งสิ้น" หยวนชิงหลิงรวบความสัมพันธ์ของทุกคนเข้าด้วยกัน "อ๋องชินยู่เป็นพระอนุชาของฮ่องเต้ฮุยจง เช่นนั้นอ๋องชินเป่ากับไท่ซ่างหวงก็มีศักดิ์เป็นลูกพี่ลูกน้อง แต่ไม่ใช่พี่น้องร่วมอุทรเดียวกัน หลังจากที่เขารอดชีวิตมาได้ เขายอมปล่อยวางไม่สนใจเรื่องความแค้นของวงศ์ตระกูล มีใจภักดีต่อลูกพี่ลูกน้องคนนี้ไม่เสื่อมคลาย หากพูดกันตามจริง มันก็เป็นเรื่องที่เป็นไปได้ยากมากจริง ๆ นั่นล่ะ"

“จริงสิ” หยวนชิงหลิงนึกถึงคำที่เขาพูดเมื่อครู่ขึ้นมาได้ “เจ้าบอกว่าอีกฝ่ายจงใจมาแจ้งให้เจ้ารู้ว่า พระศพของฮ่องเต้ฮุยจงถูกขโมยไปใช่หรือไม่?”

“ถูกต้อง เพราะเสด็จย่าถูกฝังอยู่ในทางเทพเจ้าประจำสุสานหลวงตะวันออก ต้องการแค่ผู้ประกอบพิธีไปจุดธูปทูลรายงานต่อฮ่องเต้ฮุยจงเท่านั้น แค่ที่ตำหนักเสี่ยงเอินก็ได้แล้ว ตำหนักเสี่ยงเอินเป็นที่ประดิษฐานป้ายวิญญาณ แต่คนผู้นี้กลับมารายงานข้าว่าประตูหลุมฝังศพถูกทำลายจนเสียหาย เขาไม่จำเป็นต้องเข้าไปถึงใต้ประตูเลยด้วยซ้ำ"

“ข้อบกพร่องที่ใหญ่โตเช่นนี้ ดูแล้วไม่มีเหตุผลอะไรเลยที่อีกฝ่ายจะไม่รู้ แผนการของเขาละเอียดถี่ถ้วนขนาดนั้นแท้ ๆ มันจะทิ้งข้อบกพร่องใหญ่โตเช่นนี้เอาไว้ได้จริง ๆ น่ะหรือ?” หยวนชิงหลิงรู้สึกงุนงงมาก

สีหน้าของหยู่เหวินเห้าหนักอึ้งราวกับเหล็ก " ดังนั้นข้าถึงพูดอย่างไรล่ะว่านี่คือการยั่วยุ มันคือการประกาศสงคราม เขาทำโดยมีเจตนาชัด น่ากลัวว่าฝ่ายนั้นคงเตรียมแผนการสมคบคิดเพื่อคอยท่าพวกเราเอาไว้แล้วด้วยซ้ำ"

“แต่นี่ก็ยังดูไม่สมเหตุสมผลอยู่ดี ในเมื่อเจ้าบอกว่าอีกฝ่ายมีการกะเกณฑ์แผนการไว้ล่วงหน้า นั่นก็หมายความว่าเขารู้ล่วงหน้ารึว่าเสด็จย่าจะสิ้นพระชนม์ ? ถ้าไม่ใช่เพราะราชพิธีบรมศพ เหล่าราชวงศ์ก็คงจะไม่ไปที่สุสานจักรพรรดิง่าย ๆ แน่"

นางตกตะลึงไปชั่วขณะ “จะเป็นไปได้หรือไม่ว่า อาการประชวรของไทเฮาก็เป็นฝีมือของเขาเช่นกัน?”

เดิมทีนางก็รู้สึกแปลก ๆ มาตั้งแต่แรกแล้ว แม้ว่าพระวรกายของไทเฮาจะย่ำแย่มาตลอดตั้งแต่ต้นปี แต่ก็ไม่ได้ร้ายแรงขนาดนั้น อีกทั้งยังตรวจไม่พบโรคร้ายแรงใด ๆ อีกด้วย

ตอนนี้มาลองคิดดู ถ้าคนผู้นี้เริ่มวางแผนการอันแยบคายนี้มานานมากแล้ว ก็เกรงว่าพระอาการประชวรหนักของไทเฮา ก็คงเป็นหนึ่งในแผนการของคนผู้นี้ด้วยเช่นกัน

หยู่เหวินเห้าขมวดคิ้วนิ่วหน้า “ข้าเองก็ยังมีเรื่องหนึ่งที่ไม่เข้าใจ การเปิดประตูหลุมฝังศพกับประตูสามหิน รวมถึงการทุบทำลายด้วยพลังฝ่ามือ มันต้องเกิดเสียงที่ดังมากอย่างแน่นอน เหตุใดทหารที่เฝ้าสุสานถึงไม่รู้อะไรเลย? อีกทั้งการจะขโมยรวมถึงขนย้ายอำพรางซ่อนพระศพของเสด็จทวดออกไปข้างนอก ก็เป็นเรื่องยากมากที่จะลอดหูลอดตาคนไปได้ เพราะเพื่อป้องกันพวกโจรปล้นสุสาน สุสานจักรพรรดิจะมีการลาดตระเวนทั้งวันทั้งคืน”

หยวนชิงหลิงหันไปมองเขา "เว้นเสียแต่ว่า จะมีเสียงที่ดังกว่าอยู่ข้างนอก กับเวลาที่ทหารไม่สามารถทำการลาดตระเวนได้"

หยู่เหวินเห้าห่าวมองนางอย่างแน่วนิ่ง นึกขึ้นได้ว่าในช่วงระหว่างเดือนหก เดือนเจ็ดที่ผ่านมามีฝนตกหนัก พายุฝนฟ้าคะนองกึกก้องกัมปนาท รวมถึงลมพายุหมุนเขตร้อน (หรือที่เราเรียกกันว่าพายุเฮอริเคน) พัดกรรโชกรุนแรง เป็นไปได้หรือไม่ว่าหัวขโมยอาจเข้ามาในช่วงเวลานั้น?

หากเป็นเช่นนั้นจริง ก็สามารถอธิบายเรื่องนี้ได้อย่างสมเหตุสมผลแล้วว่า เหตุใดทหารที่เฝ้าสุสานจักรพรรดิจึงไม่แตกตื่นรู้ตัวเลยแม้แต่น้อย

หยู่เหวินเห้าลุกขึ้นยืน "ข้าจะไปหาเสี้ยวหงเฉิงเสียหน่อย ช่วงนี้ข้าอาจจะยุ่งมากนะ"

“ได้ ข้ารู้แล้ว!” หยวนชิงหลิงยืนขึ้น กอดเขาแล้วสูดกลิ่นกายอันเป็นเอกลักษณ์เข้าไปลึก ๆ เฮือกใหญ่ “เจ้าวางใจแล้วไปทำธุระที่เจ้าต้องทำเถอะ”

หยู่เหวินเห้าก้มหน้าลงใช้หน้าผากแนบหน้าผากนาง ทอดถอนใจเบา ๆ "เจ้าอาจต้องแบ่งเวลาไปอยู่เป็นเพื่อนเสด็จปู่มากขึ้นหน่อยนะ เสด็จย่าจากไปแล้ว ในใจพระองค์ก็คงรู้สึกทรมานอยู่ไม่น้อยเช่นกัน"

"ข้ารู้แล้ว ถึงอย่างไรก็เป็นคนที่อยู่ร่วมกันมาเกือบทั้งชีวิตล่ะนะ"

ที่ด้านนอกปรากฏเสียงเคาะประตูดังขึ้น

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: บัลลังก์หมอยาเซียน