“ป้ายขาว!”
ดวงตาของเจ้าหน้าที่ศาลาว่าการสองคนที่ต้องโบยไม้กระดานตาเป็นประกาย ก่อนที่พวกเขาจะผลัดกันโบยอย่างแรง
ป้ายคำสั่งในกระบอกไม้ไผ่ของนายอำเภอมีสามประเภท ได้แก่ ป้ายขาว ป้ายแดง และป้ายดำ!
ป้ายสีขาวคือคำสั่งโบยพอเป็นพิธี ป้ายสีแดงคือคำสั่งโบยจนผิวหนังหรือเนื้อแตก ป้ายสีดำคือคำสั่งโบยจนตาย
นี่คือกฎก่อนพิจารณาคดี!
หากนายอำเภอโยนป้ายคำสั่งสีดำออกไป แม้ว่าใครจะให้เงินเขาเท่าไหร่ก็ตาม คนผู้นั้นก็ยังถูกโบยให้เนื้อแหลกเป็นชิ้น ๆ
เผียะ เผียะ…
กระดานส่งเสียงกระทบกัน
หวังเอ้อโกวที่นอนอยู่บนพื้นมีสีหน้าเหลือเชื่อ “ไม่เจ็บเลย ทำไมไม่เจ็บกันนะ เสียงจากด้านบนก็ดังมากแท้ ๆ แต่บั้นท้ายของข้าไม่แตะไม้กระดานด้วยซ้ำ!”
“ใต้เท้านายอำเภอเป็นคนใจดี โยนป้ายขาว ญาติของคนผู้นี้เสียเงินโดยเปล่าประโยชน์!”
“เจ้าเด็กนี่ก็โง่เสียจริง ต่อให้ข้าโบยเจ้าไม่เจ็บ ก็ควรกรีดร้องให้มันสมจริงหน่อยสิ!”
“หากเขายังไม่กรีดร้องเช่นนี้ ต้องมีคนสงสัยว่าพวกเราแกล้งโบยแน่!”
“เช่นนั้นก็ตีจนกว่าเขาจะกรีดร้องเถอะ!”
เจ้าหน้าที่ศาลาว่าการทั้งสองสบตากัน คราวนี้เมื่อไม้กระดานฟาดลงมา มันก็ตกลงไปที่ก้นของหวังเอ้อโกว!
“อ๊าก!”
ใบหน้าเล็ก ๆ ของหวังเอ้อโกวบิดเบี้ยวผิดรูป เขากรีดร้องอย่างน่าสมเพช
“นั่นไงล่ะ หากไม่กรีดร้อง คนอื่นจะคิดว่าเราโบยหลอกเอาได้!”
เจ้าหน้าที่ศาลาว่าการทั้งสองพยักหน้าให้กัน
พวกเขายังคงออกแรงลงไม้กระดานต่อไป เมื่อหวังเอ้อโกวหยุดร้อง ไม้ก็ลงมาปะทะบั้นท้ายอีกครั้ง
หลังจากถูกโบยจริง ๆ สามครั้งติดต่อกัน หวังเอ้อโกวถึงได้เข้าใจจุดประสงค์ ก่อนจะร้องโหยหวนอย่างน่าสมเพช
ครบสี่สิบรอบผ่านไป
จ้าวเว่ยหมินตะโกนถามด้วยเสียงอันทรงพลัง “เจ้าเป็นใคร? มาฟ้องร้องต่อข้าด้วยเรื่องใด?”
“ข้าน้อยประชาชนทั่วไป หวังเอ้อโกว มาจากหมู่บ้านต้าหวังในตำบลเป่ยผิง มาฟ้องร้ององครักษ์ฟางต่อศาลาว่าการ ข้อหาอยู่เบื้องหลังการจับกุมและลงโทษผู้บริสุทธิ์ของสิงซานโดยไม่ชอบ ทั้งยังสมรู้ร่วมคิดกับอันธพาลประมงในตลาดปลา…”
หวังเอ้อโกวยกเอกสารคำร้องขึ้นอย่างสั่นเทา จากนั้นก็บอกเล่าเรื่องทั้งหมดด้วยน้ำเสียงสั่นเครือ
เขารู้กระบวนการฟ้องร้องมาจากหวังซื่อไห่ สมัยเขามาที่ที่ทำการอำเภอเพื่อฟ้องร้องหลิวโหย่วไฉหลายต่อหลายครั้ง ทำให้รู้ขั้นตอนเป็นอย่างดี
“ตำบลเป่ยปิง หมู่บ้านต้าหวัง!”
ใบหน้าของจ้าวเว่ยหมินมืดลง สายตาของเขาทั้งเย็นชาและเข้มงวด ในขณะที่เขามองไปทางท่านหม่าเฉียน
พวกเขาทั้งหมดเป็นขุนนางจิ้งจอกเฒ่า เพียงชำเลืองมองก็สามารถบ่งบอกความผิดปกติได้อย่างง่ายดาย
ได้ยินมาว่าหม่าเฉียนเคยเป็นผู้รักษาการนายอำเภอ ควบคุมอำนาจภายในศาลาว่าการเป็นเวลาสองปี
เป็นไปได้ว่าเวลานี้เขาอาจต้องการจะปราบปรามเขา
หม่าเฉียนยิ้มและพยักหน้าทำราวกับเขาไม่รู้เรื่องอะไร
‘คนเหล่านี้ต้องกระทำการโดยมีนายอยู่เบื้องหลังแน่ ไม่น่าแปลกใจเลยที่พวกเขาจะกล้าหาญทำการอุกอาจ ผู้เสียหายเคยฟ้องหัวหน้าหมู่บ้านเมื่อไม่กี่วันก่อน วันนี้พวกเขายังมาฟ้องหน่วยลาดตระเวนและองครักษ์! ในเมื่อหม่าเฉียนกล้าดำเนินการ เขาอาจวางแผนบางอย่างไว้ เพราะต้องการทำให้ข้าเสียหน้า!’
ดวงตาของจ้าวเว่ยหมินมืดลง “เบิกตัวองครักษ์ฟาง สิงซาน ฝานเจียงหลง!"
เจ้าหน้าที่ศาลาว่าการออกไปอย่างรวดเร็ว ในไม่ช้าฟางเถี่ยซิน สิงซาน และฝานเจียงหลงก็เข้ามาในโถงศาลาว่าการ
หวังเอ้อโกวกัดฟันกรอด ขณะที่เขามองหน้าทั้งสามคน
จ้าวเว่ยหมินกล่าวว่า “องครักษ์ฟางและสิงซาน หวังเอ้อโกวจากหมู่บ้านต้าหวังกล่าวหาว่าพวกเจ้าสมรู้ร่วมคิดกับอันธพาลประมง รีดไถค่าคุ้มครองโดยไม่ได้รับอนุญาต รัฐเรียกเก็บภาษีเพียงหนึ่งในสิบ แต่เจ้ากลับเรียกสองในสิบ หรือแม้แต่สามในสิบ เจ้ามีอะไรจะแก้ตัวหรือไม่?!”
ฟางเถี่ยซินคุกเข่าลงบนพื้น เงยหน้าขึ้นแล้วพูดด้วยใบหน้าเรียบเฉย “ใต้เท้า นี่เป็นข้อกล่าวหาใส่ร้าย อีกฝ่ายโปรดเตรียมหลักฐานด้วย มิฉะนั้นนี่จะถือเป็นข้อกล่าวหาที่ไร้มูล!”
สิงซานมีสีหน้าเศร้าโศกและอับอายเหมือนตนเองถูกใส่ร้าย “ใต้เท้า ข้าน้อยเพียงลาดตระเวนอยู่ในตลาดปลาตามหน้าที่เท่านั้น จากการทำงานหนักมาหลายปี ไม่เคยขูดรีดเงินทองจากพ่อค้าแม้แต่เฟินเดียว เรื่องนี้สามารถเรียกพ่อค้าในตลาดมาสอบถามได้ โปรดคืนความบริสุทธิ์ให้ข้าน้อยด้วย!”
“ใช่แล้ว พวกเขาใส่ความข้า!”
ฝานเจียงหลงพูดด้วยสีหน้าโศกเศร้าและโกรธเคือง “ข้าน้อยทำงานเป็นกุลีในตลาดปลาอย่างสันติ แต่กลับถูกอันธพาลเหล่านี้ทุบตีอย่างรุนแรง หากองครักษ์ฟางไม่สั่งให้นายท่านสิงล้อมจับกุมเสียก่อน ข้าน้อยคงถูกพวกเขาทุบตีจนตายแน่ โปรดคืนความยุติธรรมให้กับข้าน้อยด้วย!”
“พวกเขากำลังโกหก เห็นได้ชัดว่าพวกเจ้าเป็นอันธพาลประมงที่ทุบตีเราก่อน แล้วพวกเขาก็อยู่เบื้องหลังการกระทำผิดของเจ้า…”
เมื่อเห็นว่าทั้งสามคนที่ปฏิเสธที่จะยอมรับความผิดของพวกเขา หวังเอ้อโกวรู้สึกสับสนเล็กน้อย
พี่ซื่อไห่บอกว่าหลังจากเขายื่นคำร้องให้นายอำเภอแล้ว หลิวโหย่วไฉก็ยอมสารภาพอย่างหมดเปลือก ไม่กล้าแก้ตัวเลย!
แล้วเหตุใดสามคนนี้ถึงไม่ยอมรับกันล่ะ?
“เงียบ!”
ทันทีที่เปล่งเสียงเตือน จ้าวเว่ยหมินก็มองไปที่ฝานเจียงหลง และกล่าวด้วยรอยยิ้ม “อย่ากลัวเลย ข้าจะไม่มีวันปล่อยคนชั่วให้ลอยนวล และจะไม่กล่าวหาผู้บริสุทธิ์อย่างเด็ดขาด ข้าได้ยินมาว่าฉายาของเจ้าคือ ฝานเจียงหลง สินะ!”
“สหายพี่น้องของเจ้าช่างรักใคร่กันดี เป็นเพียงประชาชนธรรมดา แต่กลับขนานนามว่าฝานเจียงหลง พลเมืองตัวน้อยเช่นเจ้าช่างบังอาจนัก!”
เมื่อเขาเห็นนายอำเภอยิ้มเย็นให้เขา เขาก็ตื่นตะลึงมากจนฉี่แทบราด
ใบหน้าของหม่าเฉียนเปลี่ยนไปอย่างมาก!
เคร้ง!
หลังจากตบไม้ปลุกสติแล้ว จ้าวเว่ยหมินก็หยิบป้ายดำออกมาหนึ่งใบแล้วโยนออกไป กล่าวด้วยสีหน้าเย็นเยือกราวกับน้ำแข็ง “บังอาจ มังกรคือองค์จักรพรรดิ เจ้าเป็นคนธรรมดากล้าเรียกตนเองว่ามังกรเทียบเคียงโอรสสวรรค์ได้อย่างไร?! นี่ถือเป็นอาชญากรรมขั้นร้ายแรง ใครก็ได้ จับเขาไปโบยไม้กระดานแปดสิบครั้ง!”
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: บัณฑิตยอดนักคิดแห่งต้าเย่