บุบผาร้อยเสน่ห์ นิยาย บท 219

บทที่ 219 ขจัดความขุ่นเคืองในใจของข้า

เคลื่อนไหวเข้ามาอย่างจำใจ เรียวนิ้วจิกขย้ำบนผ้านวมอย่างร้อนรนไม่สงบนิ่ง

ชายหนุ่มเดินเข้ามาจากบานประตูโดยไม่มีสุ้มเสียงเลยสักนิด สายตาซับซ้อนมันดูชัดเจนภายใต้แสงจันทร์ยวงทอประกายระเรื่อ

ความรู้สึกตกฮวบบริเวณหน้าท้องหวนกลับมาอีกครั้ง บนหน้าผากของกู้อ้าวเวยเต็มไปด้วยหยาดเหงื่อ

ผิวหนังกระด้างหนาๆ บนมือของซ่านจินจื๋อครูดเสียจนพวงแก้มของนางรู้สึกเจ็บ พวกเขาไม่ได้เจอกันมานานมากแล้ว ขณะที่มือของซ่านจินจื๋อไล้ผ่านลำแขนของกู้อ้าวเวย โอบข้างเอวของนางเอาไว้นั้น ก็รู้สึกประหลาดใจที่คนผู้นี้ไม่ได้อวบอ้วนขึ้นเลยสักนิดเดียว

กอดตัวนางเข้าสู่อ้อมอกอย่างแผ่วเบาง่ายดาย “เจ้าคิดจะทำอะไร”

กู้อ้าวเวยที่ถูกกอดในแนวนอนทำเพียงยกมือขึ้นนวดมุมขมับเบาๆ เท่านั้น “ข้าอยากออกมาทำจิตใจให้ผ่อนคลาย ซื้อของกินสักหน่อย ทำไม่ท่านต้องตามเข้ามาด้วย ข้าไม่อยากเห็นหน้าท่าน”

“แต่เจ้ายังคงเป็นพระชายาของข้าอยู่นะ”

“แต่ตอนนี้ทุกคนต่างรู้ว่าพระชายาของท่านไม่สามารถให้กำเนิดบุตรได้” น้ำเสียงของกู้อ้าวเวยเจือความขุ่นเคือง นางมองเขาอย่างโกรธขึ้ง

ซ่านจินจื๋อยังคงนิ่งเงียบ อุ้มนางลงไปด้วยฝีเท้าหนักแน่น ยัดตัวนางเข้าไปในรถม้านุ่มนวลภายใต้สายตาจดจ้องของฝูงชน ลมราตรีถูกบดบังโดยไหล่กว้างของเขา

นั่งอยู่ภายในรถม้า กู้อ้าวเวยไม่มีเวลากังวลว่าชิงต้ายและเสี่ยวเหยียงตื่นขึ้นมาแล้วจะเป็นห่วงหรือไม่

นางทำเพียงซุกซ่อนรอยยิ้มบนใบหน้า และปล่อยให้สาวใช้คนอื่นๆ ภายในรถม้าคลุมเสื้อนอก และเอาถุงร้อนให้กับนางโดยไม่แสดงสีหน้าใดๆ เลย หลังจากนั้นนางจึงล้วงผ้าคลุมหน้าในเสื้อออกมา หยุดยั้งการเคลื่อนไหวของสาวใช้ที่กำลังจะมวยผมให้นาง “วันหน้าข้าจะไม่มวยผมอีก”

“ท่านเป็นพระชายาอยู่แล้ว...”

“นอกจากไปงานเลี้ยง ข้าจะไม่มวยผมหรอก” กู้อ้าวเวยสะบัดสาวใช้ข้างกายตะเพิดออกไป แววความโกรธเคืองในดวงตาทำให้สาวใช้คนนั้นหดตัวไปด้านข้าง ทำเพียงมองพระชายาจิ้งที่ถูกขนานนามว่าอารมณ์ดีผู้นี้ด้วยอารามหวาดกลัว

ภายในรถม้าเงียบมาตั้งแต่ต้นจนจบ ซ่านจินจื๋อนั่งอยู่ข้างกายกู้อ้าวเวย มองสำรวจนางอย่างถี่ถ้วน

ก่อนที่จะมาถึงเมืองเย่น อันที่จริงซ่านจินจื๋อสงสัยว่านางมีความคิดอะไรใหม่ๆ แล้วหรือไม่ แต่ตอนนี้ดูท่านางยิ่งดูไม่เหมือนคุณหนูใหญ่อวดดีขี้พยศคนนั้นก่อนจะเข้าวังอ๋องเลยด้วยซ้ำ

ในขณะที่ม้าเริ่มสาวกีบ กู้อ้าวเวยก็เปิดม่านรถด้านหน้าของซ่านจินจื๋อออก

ซ่านจินจื๋อสาวมือดึงคนที่อยากจะกระโดดลงจากรถม้ากลับคืนมา ร้องตะโกนใส่นางเต็มไปด้วยความเดือดดาล “อยากตายหรือไง”

“แต่เดิมก็ไม่อยากอยู่” กู้อ้าวเวยขมวดคิ้วและเริ่มขัดขืน

ซ่านจินจื๋อต้องใช้กำลังอย่างเต็มที่เพื่อโอบกักตัวของนางเอาไว้แน่น บัดนั้นขอบตาของกู้อ้าวเวยพลันแดงก่ำเป็นวง สองมือถูกมือเพียงข้างเดียวของซ่านจินจื๋อคว้าหมับเอาไว้ แต่กลับไม่สามารถขยับเขยื้อนได้เลย

“ข้าก็แค่อยากลิ้มรสขนมอบที่ชอบในเมืองเย่นบ้าง ก่อนหน้าที่จะเป็นพระชายาจิ้ง อันดับแรกข้าก็เป็นคนๆ หนึ่ง คนที่มีชีวิตคนหนึ่ง” กู้อ้าวเวยร้องคำรามลั่นขึ้นมา คนทั้งคนกลับม้วนขดขึ้นมาอย่างห้ามไม่อยู่ แผ่นหลังคดโค้ง สองมือสั่นระริก “ข้าไม่ใช่สิ่งของเส็งเคร็งอะไรของท่าน ข้าก็คือข้า ข้าอยากจะทำสิ่งที่ข้าชอบมันไม่ถูกตรงไหน”

ในความทรงจำของซ่านจินจื๋อ กู้อ้าวเวยมักจะเป็นผู้สงบนิ่งเสมอไม่ว่าจะเวลาใด

ในขณะที่มีหยาดน้ำตาหยดใส่อาภรณ์ของเขาเปื้อนเป็นรอยสีคล้ำนั้น ซ่านจินจื๋อทำเพียงปั้นหน้านิ่งและปล่อยตัวกู้อ้าวเวย มองดูนางขดตัวไปอยู่ในมุมอับและเช็ดคราบน้ำตา

เป็นเขาเองที่ทำลายกู้อ้าวเวย

“หยุด” ทันใดนั้นซ่านจินจื๋อพลันปริปาก

รถม้าหยุดลงอย่างกะทันหัน หลังจากที่กู้อ้าวเวยตะลึงงันเล็กน้อย นางก็มุ่งตรงไปเริกม่านรถขึ้น ไม่สนใจเสียงร้องอุทานของผู้คนรอบข้าง และกระโดดลงรถม้าทันที

สียามราตรีของเมืองเย่น ยังคงสว่างไสว

แต่น่าเสียดายที่นางยังไม่ทันได้ก้าวขาเดินออกไปหลายก้าวเท่าไร ปลายนิ้วของนางก็ถูกคว้าเอาไว้ นิ้วมืออันแข็งกระด้างของชายหนุ่มสอดประสานเข้าไปในง่ามนิ้วของนาง จนกระทั่งมือของทั้งสองแนบชิดเข้าด้วยกันจนไม่มีช่องว่างแล้ว กู้อ้าวเวยถึงได้ยินคนข้างกายปริปากเอ่ยเสียงต่ำ “ดี ข้าจะอยู่ข้างเจ้าเอง”

“ไม่ต้อง ข้าอยู่เองได้...”

“นี่คือสิ่งที่ข้าควรทำ เจ้าคือพระชายาของข้า” ซ่านจินจื๋อกระชับมือของนางให้แน่นขึ้นกว่าเดิม และมองเสื้อผ้าที่ดูไม่ภูมิฐานของนาง “ข้าพาเจ้าไปที่ถนนแถวซ่องชื่อเสียงอื้อฉาวเหล่านั้นได้นะ แต่เพียงสามวันเท่านั้น”

กู้อ้าวเวยมองเขาแวบหนึ่งอย่างใจร้อน แต่ท้ายที่สุดก็ผุดเผยท่าทีลังเลใจออกมาจนได้

ไม่นานนางก็ตัดสินใจมาดมั่นพลางพยักหน้า และมาที่เรือนลับแห่งหนึ่งในละแวกนั้นพร้อมกันกับซ่านจินจื๋อ และเปลี่ยนไปสวมชุดผู้ชายตัวหนา รวบผมขึ้นแบบชายหนุ่ม ก่อนจะเดินไปยังสถานที่สว่างไสวด้วยคบเพลิงเหล่านั้นพร้อมกันกับซ่านจินจื๋อ “ข้าจะไม่ให้อภัยท่านหรอกนะ”

“นั่นก็เป็นลูกข้าเหมือนกันนะ” ซ่านจินจื๋อปั้นหน้านิ่ง

กู้อ้าวเวยสลัดมือของเขาออกในครู่ต่อมา ในสายตาเปี่ยมด้วยแววเกลียดชัง “ท่านปฏิบัติต่อลูกของพวกเรา กระทั่งยังเทียบไม่ได้กับที่ท่านดูแลกู้จี้เหยาในตอนนี้เลยด้วยซ้ำ ท่านคิดว่าหลังจากกู้จี้เหยาคลอดลูกแล้วจะสามารถชดเชยความผิดบาปในใจของท่านได้ แต่มันเป็นไปไม่ได้เลย”

กู้อ้าวเวยปั้นหน้านิ่งเดินเข้าไปในร้านค้าใกล้เคียงร้านหนึ่ง

ตั้งแต่ต้นจนจบซ่านจินจื๋อยืนหน้านิ่งอยู่กับที่ กู้อ้าวเวยมักจะเข้าใจเขาแบบนั้นเสมอมา ผู้หญิงแบบนี้ ถึงแม้จะน่ากลัว แต่กลับน่าหลงใหลเหมือนดอกฝิ่น

ไม่ได้เจอกันระยะหนึ่ง ซ่านจินจื๋อพบว่ากู้อ้าเวยยังคงมีอิทธิพลต่อเขาอย่างลึกซึ้งเช่นเดิม

พวกเขามาถึงห้องอันหรูหราของสถานที่แห่งเสียงหัวเราะ ด้านนอกประตูคือเสียงหัวเราะคิกคักสำราญใจของชายหญิง ถ้อยคำหยาบโลนเห่านั้นยังถูกห่อหุ้มด้วยเสียงครวญครางที่ทำให้หน้าแดงซ่านซึ่งลอยเล็ดมาจากที่ไหนสักแห่ง

กู้อ้าวเวยกลับสั่งขนมอบและน้ำชาทั้งหมดในที่แห่งนี้มา กระทั่งเรียกหญิงสาวอรชรราวกับร่างกายไร้กระดูกคนหนึ่งมาคอยปรนนิบัติอยู่ข้างกาย

“คุณชายสองท่านนี้มาเมืองเย่นครั้งแรกกระมัง” หญิงสาวในชุดแดงหัวเราะอย่างทรงเสน่ห์ ดวงตาคู่นั้นมองลอยไปทางซ่านจินจื๋ออยู่บ่อยครั้ง จากนั้นจึงมองตกมาที่ตัวของกู้อ้าวเวยพร้อมโปรยถ้อยคำน่าฟังออกมา “คุณชายช่างดูดีและหล่อเหล่ายิ่งนัก เกรงว่าที่เรือนคงจะมีภรรยาอนุเป็นขบวนไปตั้งนานแล้วกระมังเจ้าคะ”

“นี่มันของแน่อยู่แล้วสิ” กู้อ้าวเวยหัวเราะอย่างเปิดเผย และลิ้มรสขนมอบเหล่านั้นไม่ยอมหยุดเลยสักวินาทีเดียว ทั้งยังไม่ลืมมองไปทางหญิงสาวชุดแดงข้างกาย “แต่ว่า ข้ากลับชื่นชอบหญิงสาวที่รู้ใจอย่างเจ้าสั่นมากกว่า ถ้าหากเจ้ามองออกว่าข้าสบายใจหรือเปล่า เงินนี้ จะส่งให้เจ้าเลย”

กล่าวพลาง นางก็เอาเงินพวงหนึ่งวางไว้เบื้องหน้าของหญิงสาว

หญิงสาวชุดแดงปิดปากด้วยความพิศวง นัยน์ตากลิ้งกลองเป็นประกาย ทำเพียงเปลื้องอาภรณ์ส่วนเอวลงครึ่งหนึ่ง พลางหัวเราะคิกคักและเข้ามาประชิดข้างกายของกู้อ้าวเวย และใช้ความนุ่มนิ่มขนาดใหญ่ถูไถนาง “ตอนนี้คุณชาย น่าจะสบายใจมากทีเดียวกระมัง” กู้อ้าวเวยหัวเราะอย่างช่วยไม่ได้ หลังจากที่ผลักนางออกแล้ว ก็ปล่อยให้นางเอาเงินนั้นจากไป

ขับไล่หญิงสาวออกไปแล้ว กู้อ้าวเวยก็ละทิ้งน้ำชาในมือเหล่านั้น รับสุราดีมาหนึ่งแก้ว และมองซ่านจินจื๋อด้วยสายตาเย็นเยียบ “อยู่ด้วยกันกับท่าน ไม่ว่าที่นี่ข้าก็อยู่ต่อไปไม่ได้”

“อย่างนั้นหรือ” ซ่านจินจื๋อเลิกหัวคิ้ว “เจ้าชอบผู้หญิงโรงเตี๊ยมขนาดนี้เชียวหรือไง”

“แค่รู้สึกว่าผู้คนในถนนแถวซ่องชื่อเสียงอื้อฉาวน่าสมเพชยิ่งกว่าข้าเป็นร้อยเป็นพันเท่า จึงจะสามารถขจัดความขุ่นเคืองในใจข้าไปได้บ้าง” กู้อ้าวเวยวางแก้วในมือลง และก้มหน้าลงเพื่อมองเขา “อย่างไรข้าก็กลับไปที่เทียนเหยียนดีกว่า อย่างน้อยๆ ข้างกายก็ไม่มีท่าน”

“ดี” ซ่านจินจื๋อยังคงแน่นิ่งไม่ไหวติง

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: บุบผาร้อยเสน่ห์