บุบผาร้อยเสน่ห์ นิยาย บท 299

บทที่ 299 ตั้งใจหยั่งเชิง

มองดูจางเหยียงซานจากไป กู้อ้าวเวยส่งฉีหรัวกลับไปถึงหน้าประตูจวนตระกูลฉี คนรับใช้ของจวนตระกูลฉีเอาโคมไฟที่ส่องสว่างให้ชิงต้าย และพูดว่า “ท่านพระชายาครับ ตอนนี้ดึกแแล้ว ข้าทาสให้คนส่งท่านกลับตำหนักอ๋องนะครับ”

หัวหน้าพ่อบ้านลุงหลี่ ดูแลฉีหรัวอย่างดี แต่ก่อน ฉีหรัวอยู่ในจวนอย่างลำบากมาก แต่โชคดีที่เขาช่วยและไม่ให้คนอื่นยกเลิกค่าใช้จ่ายของเธอไป ฉีหรัวจึงมีความเคารพต่อเขามากกว่า

“ไม่เป็นไรค่ะ” กู้อ้าวเวยส่ายมือ คิดอยู่ในใจว่า ตัวเองไม่ได้อ่อนแอขนาดนั้นหรอก

“ให้คนไปส่งดีกว่าครับ ในเมืองเทียนเหยียนนี้ มักจะมีผีออกมาตอนกลางคืน อย่าเกิดอะไรขึ้นดีกว่า” ลุงหลี่ยังพูดอยู่

ชิงต้ายยอมรับ แต่กู้อ้าวเวยคิ้วขมวด

เงาผีนี้ เป็นพวกหญิงสาวชุดดำที่กุ่ยเม่ยเคยเจอหรือเปล่าคะ

ฉีหรัวเห็นกู้อ้าวเวยสนใจเรื่องผีมาก เลยถามลุงหลี่ว่า “ในเมืองเทียนเหยียนจะมีผีอะไรคะ”

“จริงๆครับ เมื่อผมออกไปตอนเช้านี้ ได้ยินคนอื่นเขาคุยกันว่า คนที่ตีเครื่องมือบอกเวลาตอนกลางคืนที่มาใหม่นั้น ได้พบเจอผี และเป็นลมทันทีเลย บอกว่ามีหลายตัวด้วย น่ากลัวมาก” ลุงหลี่เล่ามาอย่างจริงจัง พวกเขาเชื่อเรื่องพวกนี้มาก

“ถ้างั้น รบกวนลุงหลี่ให้คนไปส่งดีกว่า ฉันก็กลัวเหมือนกัน” กู้อ้าวด้วยยิ้ม

“ได้ครับ” ลุงหลี่โล่งใจ และยิ้มไปด้วย

กลับมาถึงตำหนักอ๋อง ตอนนี้กุ่ยเม่ยไม่ได้อยู่ข้างๆเธอ กู้อ้าวเวยไม่กล้าพูดอะไรและไม่กล้าทำอะไรเลย แค่คิดเรื่องเงาผีนั้นอยู่อย่างตั้งใจ และนึกถึงคำพูดของคนใส่ชุดขาวคนนั้นด้วย

หรือว่า เรื่องเงาผีนี้ เพื่อเอามาขู่กู้เฉิงเฉยๆ

คิดอยู่ กู้อ้าวเวยตันสินใจว่า จะถือโอกาสที่กำลังสอบขัดเลือกขุนนางนี้ กลับไปเยี่ยมจวนเฉิงเสี่ยง

วันต่อมาตอนเช้า กู้อ้าวเวยยังไม่ทันออกจากบ้าน เห็นจิ่นซิ่วที่เป็นคนรับใช้ของซูพ่านเอ๋อนั้นวิ่งมาหาเธอ ดูสีหน้าไม่ค่อยดี และมีแผลที่มือด้วย น่าจะถูกซูพ่านเอ๋อลงโทษแน่นอน ถวายบังคมกับกู้อ้าวเวยแล้ว พูดว่า “ท่านพระชายาคะ ข้าทาส...ข้าทาสได้เก็บเงินไว้พอประมาณแล้ว ปล่อยข้าทาสไปจากตำหนักได้ไหมคะ”

“มีคนรักแล้วเหรอคะ” กู้อ้าวเวยถาม

จิ่นซิ่วส่ายหัว มือสองข้างจับกันอย่างแน่น หน้าซีดและพูดว่า “ข้าทาสแค่อยากกลับบ้าน คุณแม่ป่วยหนัก...”

“แต่เธอเป็นคนรับใช้ของซูพ่านเอ๋อนะ ฉันก็ตัดสินใจไม่ได้” กู้อ้าวเวยถอนหายใจเบาๆ เห็นเธอเหมือนกลัวอะไรมาก ไม่รู้ว่าเรื่องที่แม่ป่วยหนักนั้น เป็นเรื่องจริงหรือเปล่า จึงเอาเงินให้เธอ และพูดว่า “ให้เธอหยุดงานกลับบ้านไปก่อน และกลับมาก่อนงานเลี้ยงชิวเย่น ไปดูแลแม่ให้ดีๆเถอะ”

พูดจบ กู้อ้าวเวยเดินจากไป แต่ได้ยินเสียงผิดปกติจากด้านหลัง เธอหันกลับไปมอง

เห็นจิ่นซิ่วคุกเข่าลงบนพื้น ตัวสั่นและพูดว่า “แม่ของข้าทาสไม่ได้ป่วยค่ะ ข้าทาสแค่อยากกลับบ้านเฉยๆ ขอร้องแล้วค่ะท่านพระชายา”

กู้อ้าวเวยปวดหัวเหลือเกิน ชิงต้ายจับเสื้อของกู้อ้าวเวยเบาๆ พูดว่า “ข้าทาสไปถามก่อนว่าเกิดอะไรขึ้นกันแน่ ท่านอยู่ที่นี่นานไป ไม่ค่อยเหมาะสมค่ะ”

มองดูรอบข้าง เห็นมีคนมองดูไม่น้อย

กู้อ้าวเวยคิดสักพัก จึงพยักหน้าและพูดว่า “ไปเถอะ เดี๋ยวฉันกลับมาค่อยจัดการเรื่องนี้”

“ค่ะ คุณหนูไปจวนเฉิงเสี้ยงคนเดียว อย่าใจร้อนเกินไปนะ” ชิงต้ายยิ้มและเตือนเธอ จึงเดินไปหาจิ่นซิ่ว ลากเธอลุกขึ้น พูดด้วยเสียงดังมาก “ไม่สบายก็ต้องไปหาหมอสิคะ เดี๋ยวฉันไปเอายาที่ห้องพระชายามาให้เธอแล้วกัน”

เหมือนตั้งใจพูดให้คนอื่นฟัง จิ่นซิ่วตกใจ แอบพูดขอบคุณกับชิงต้าย และยังบอกว่า อย่าให้ซูพ่านเอ๋อรู้จักเรื่องนี้

กู้อ้าวเวยไปจวนเฉิงเสี้ยงคนเดียว

เธอเข้าไปห้องหนังสือของกู้เฉิง แต่เห็นกู้เฉิงไม่ได้จัดการเรื่องการสอบคัดเลือกขุนนางนั้น กลับจ้องมองภาพดอกพลัมที่ติดกับผนังอย่างตั้งใจ

กู้อ้าวเวยเดินไปข้างหน้าของกู้เฉิง จึงเห็นกู้เฉิงตกใจและลุกขึ้นทันที ถามว่า “คุณมาทำไมเหรอ”

กู้เฉิงมองหน้ากู้อ้าวเวย แววตาเต็มไปด้วยความกลัว

“ที่ลูกมาเพราะเรื่องการสอบคัดเลือกขุนนางค่ะ คุณบิดามองดูอะไรอยู่คะ” กู้อ้าวเวยดูปกติมาก แต่จริงๆ แอบสังเกตการกระทำของกู้เฉิงอย่างตั้งใจ

เขาแกล้งไอ และมองเธออย่างรายละเอียด เมือนกำลังพิสูจน์เรื่องอะไรอยู่

เงียบสักพัก กู้อ้าวเวยจึงพูดว่า “คุณบิดาคะ การสอบคัดเลือกขุนนาง...”

“ครับ” กู้เฉิงพึ่งมีสติขึ้นมา เอาสมุดออกจากใต้โต๊ะ และบอกเธอว่า “เดี๋ยวคุณเขียนจดหมายให้ท่านอ๋อง เนื้อหาคือ แต่ละเรื่องในการสอบคัดเลือกขุนนางครั้งนี้”

กู้อ้าวเวยพยักหน้า และคุยเรื่องการสอบครั้งนี้กับกู้เฉิง

การสอบคัดเลือกขุนนางในฤดูใบไม้ร่วงครั้งนี้ เป็นโอกาสครั้งที่สองที่ผู้เรียนลำบากยากจนพวกนั้นสามารถมีโอกาสพัฒนาได้ ผู้ที่มีความสามารถมีจำนวนมากกว่าเมื่อการสอบคัดเลือกขุนนางในฤดูใบไม้ผลิด้วยซ้ำ โจวต้ากับสวี่กุยที่พวกเขาชอบก็อยู่ในรายการนี้เหมือนกัน แต่บทความที่สวี่กุยเขียน ธรรมดามาก กู้เฉิงไม่ชอบ สุดท้ายเลือกแต่โจวต้าคนเดียว และไปเลือกผู้ที่มีความสามารถคนอื่นด้วย

กู้อ้าวเวยพยักหน้า เห็นกู้เฉิงชี้ไปที่ชื่อของอีกคนหนึ่ง และพูดว่า “ผมคิดว่า คนนี้ก็เก่งนะ”

“เป็นคนเก่งจริงๆ ถ้ามาทำงานช่วยท่านอ๋อง น่าจะดีมาก” กู้อ้าวเวยยิ้มอย่างไม่จากใจจริง คนนี้เธอเคยเจอครั้งหนึ่ง พูดจาเก่งแต่ดูไม่มั่นคงเท่าไหร่

จริงๆ กู้เฉิงดูออกว่า คนไหนมีความสามารถนะ แต่เท่าที่เขาแนะนำมา มีคนที่ทั้งดีและไม่ดีด้วย กู้อ้าวเวยทำตัวไม่รู้เรื่อง ยอมรับอย่างเดียว แต่ในใจรู้สึกตกใจและตื่นเต้นมาก

กู้เฉิงไม่ได้ตั้งใจเลือกผู้ที่มีความสามารถให้แก่ซ่านจินจื๋ออย่างจริงใจ หรือว่า เขาเข้าข้างองค์ชายสองจริงๆเหรอคะ

ใช้เวลาสี่ชั่วโมงในการคุยเรื่องการสอบคัดเลือกขุนนางครั้งนี้ พ่อลูกสองคนไปทานข้าวที่ห้องอาหาร กู้จี้เหยาลงพุง รู้สึกตัวหนักๆ ช่วงนี้หลับไม่สบายเท่าไหร่

แต่มองดูกู้ฮูหยิน ไม่ได้เจอแค่ครึ่งเดือน ดูผอมลงมาก เมื่อเห็นกู้อ้าวเวยก็ดูปกติอยู่นะ แต่เหมือนกังวลเรื่องอะไรอยู่

สังเกตเสร็จแล้ว กู้อ้าวเวยนึกถึงเรื่องบางเรื่อง จึงพูดว่า “เมื่อวาน ฉันไปดูสุสานของคุณแม่ที่เขาหยินซาน แต่เห็นตรงโน้นเกิดดินถล่มเพราะฝนตกหนักเกินไป และมีของตกหลุดลงมาด้วย ไม่ทราบว่าเกี่ยวข้องกับคุณแม่หรือเปล่า”

พูดจบ กู้อ้าวเวยเอามีดที่เกิดสนิมที่เอาผ้าห่อไว้ออกมา

“คาลา- - ”

ถ้วยของกู้ฮูหยินแตก เธอจ้องมองมีดที่เกิดสนิมด้วยตาโตและตกใจมาก

กู้เฉิงลุกขึ้นมาทันที ไม่สนใจน้ำซุปหกใส่เสื้อไปหมด จับเอามีดจากกู้อ้าวเวย และเรียกว่า “หัวหน้าพ่อบ้าน ไปเอากล่องที่อยู่ในห้องหนังสือของผมมา”

“ครับท่าน” หัวหน้าพ่อบ้านรีบจากไป

“คุณพ่อคะ แค่มีดที่เกิดสนิมเอง ทำไมพวกคุณตกใจขนาดนี้คะ” กู้จี้เหยาก็ตกใจตามไปด้วย รู้สึกอึดอัด หลานเอ๋อร์ช่วยเธอนวดหลังเบาๆ เพื่อให้เธอหายใจง่ายขึ้น

กู้เฉิงจ้องมองกู้จี้เหยา แต่เห็นกู้อ้าวเวยพูดต่อว่า “ไม่ใช่มีแค่อันนี้นะ ข้างๆยังมีฮู้(ยันต์จีน)สีเหลืองด้วยค่ะ ดูยังใหม่อยู่นะ...”

“เฮอ- ” กู้ฮูหยินถอนหายใจลึกๆ และเป็นลมไม่มีสติเลย ทุกคนไปช่วยเอากู้ฮูหยินกลับไปพักผ่อน

มีแต่กู้อ้าวเวย สีหน้ามืดมน และรับเอากล่องเปิดดู

ข้างในไม่มีอะไรเลยสักนิด

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: บุบผาร้อยเสน่ห์