บุบผาร้อยเสน่ห์ นิยาย บท 318

บทที่ 318 ที่ลับ

“กู้อ้าวเวยร้ายกาจถึงเพียงนี้จริง?” องค์ชายรองซ่านเฉิงเจ๋มองนางรำตรงหน้าด้วยความขัดเคือง

นางรำย่อมอับจนปัญญา “องค์ชายรอง หม่อมฉันสามารถช่วยท่านได้เพียงเท่านี้แล้ว พระชายาจิ้งเพียงแค่มองก็รู้หม่อมฉันทะลุปรุโปร่ง กระทั่งยังทราบว่าท่านทรงเคยช่วยเหลือหม่อมฉันหลายครา ทรงซื้อหาข้าวของส่งให้หม่อมฉัน ยังทราบด้วยว่าในปีนั้นบุรุษที่ติดพันหม่อมฉันหายสาบสูญ...”

ซ่านเฉิงเจ๋ยกมือขึ้น นางรำจึงหุบปากอย่างว่าง่าย

เขาแรกเริ่มเดิมทีในฐานะองค์ชายรองสมควรเป็นองค์ชายผู้สืบทอดลำดับที่สอง แต่บัดนี้อ๋องจิ้งเก่งกาจจนน่ากลัว พระชายาจิ้งเองก็มิใช่ตะเกียงไร้น้ำมัน* ทำให้เขาปวดศีรษะจนแทบแตก

(ตะเกียงไร้น้ำมัน เปรียบกับ คนที่ไร้ความสามารถ)

“เจ้ากลับโรงเตี๊ยมเจ้าไปเถิด” ซ่านเฉิงเจ๋โบกมือใคร่อยากให้ออกไป

นางรำเพียงหยักหน้า เดินออกไปข้างนอกอย่างเงียบๆ ธุระเรื่องนี้เดิมทีซ่านเฉิงเจ๋ให้นางทำ กลับทำออกมาได้ไม่ดี สมควรไม่เป็นปัญหาใหญ่ เพียงแต่ไม่มีเงินถือกลับไปก็เท่านั้น

------------------------------------------------------------------------------

แต่เมื่อออกมา นางเอี้ยวกายกลับไปเห็นหลิ่วเอ๋อร์ที่คลุมผ้าโปร่งขาวปิดบังใบหน้าเหมือนกัน

หลิ่วเอ๋อร์เป็นสตรีที่สามารถพิจารณาสีหน้าอากัปกิริยาสุดล้ำในทิงเฟิงโหลว และ ‘ยู่จูู’ ถือเป็นมือวางอันดับหนึ่งแห่งถนนตรอกซ่อง

คนทั้งสองได้ประจันหน้ากัน ยู่จูอยากจะอ้อมหนี ทว่าหลิ่วเอ๋อร์กลับอุ้มพิณของนางขวางไว้ “แม่นางยู่จู ข้าใคร่อยากทำธุรกิจกับเจ้า”

“ข้ายังสามารถทำการตกลงอะไรกับทิงเฟิงโหลวได้อีก?” ยู่จูเลิกคิ้วใส่

“ตราบใดที่วันหน้าเจ้าช่วยข้าสืบเสาะข้อมูลข่าวสารของพระชายาจิ้ง ข้าจะตามหาชายคนรักของเจ้าที่หายไปกลับคืนมา” หลิ่วเอ๋อร์ส่งรอยยิ้มเจิดจ้า หันกายกลับไปมองนาง “เจ้าใช้ชีวิตท่ามกลางหมู่คนชั้นสูงศักดิ์หลากหลาย ซึ่งยามนี้ได้ล่วงเกินไม่อาจเข้าจวนอ๋องจิ้ง ตราบใดที่เจ้านำข่าวเกี่ยวกับพระชายาจิ้งที่ได้ยินจากคนอื่นๆมาบอกข้า พวกเราจะช่วยเจ้าตามหาคน”

“พวกเจ้าเป็นคนของพระชายาจิ้งนี่? ไยต้องปองร้ายนาง” ยู่จูขมวดคิ้วมุ่น

“ข้าแค่ต้องการทราบว่ามีคนปองร้ายนางหรือไม่ก็เท่านั้น” ขณะที่หลิ่วเอ๋อร์กล่าวก็ได้ล้วงม้วนภาพออกมา บนภาพวาดนั้นเป็นรูปบัณฑิตหน้าตาหล่อเหลาผอมบางเล็กน้อย

ยู่จูเพียงเหลือบมองด้วยดวงตาที่แดงรื้น “พวกเจ้าสามารถตามตัวเขากลับมาได้จริง”

“แน่นอน” หลิ่วเอ๋อร์ดวงตายิ้มเป็นเส้นโค้ง พลันกล่าวต่อ “ตราบใดที่เจ้าตอบตกลง”

……

ภายในจวนอ๋องจิ้ง บรรดาหญิงสาวเห็นซ่านจินจื๋อพากู้อ้าวเวยเข้าไปในห้อง ต่างก็ทยอยกันแยกย้าย เพียงบอกไว้ว่าวันพรุ่งจะมาใหม่ ชิงต้ายเดินไปนำเครื่องประดับชิ้นเล็กชิ้นน้อยยัดใส่มือพวกนางทุกราย

“ข่าวเล่าลือครานี้ ขอส่งต่อให้กับพี่น้องทุกคนแล้ว” ชิงต้ายยิ้มตาหยี กุ่ยเม่ยอุ้มเจ้าแมวสองตัวที่นอนหมอบอยู่มุมห้อง เพียงมองดูอย่างกล้าๆกลัวๆ วันหน้าไฉนเลยจะกล้าไปหาบ้านหญิงสาว

บรรดาหญิงสาวหัวเราะกันคิกคัก หลังจากที่รับเครื่องประดับชิ้นน้อยก็ค่อยๆจากไป

จนกระทั่งคนไปจนหมด ชิงต้ายเห็นเทียนที่อยู่ภายในห่องนั้นดับไปแล้ว จึงลากตัวกุ่ยเม่ยออกมาข้างนอกพลันกล่าวกระซิบ “เจ้าไปหาเจิ้งฉิงคุนกับหวางโม่ ให้พวกเขาไปสอบถามบางอย่างตามรายละเอียดบนกระดาษแผ่นนี้ ดูว่าคนผู้นี้อยู่ที่ใดในยุทธภพ”

ขณะที่กล่าว พลันนำกระดาษแผ่นหนึ่งยัดใส่เข้าในอกของเขา

“คนรักของเจ้าหรือ?”กุ่ยเม่ยประหลาดใจ ในนั้นยังเขียนพัดกระดูกไพลินอะไรเหล่านี้

“นี่เป็นคำสั่งคุณหนู แต่ระยะนี้ท่านอ๋องติดพันเป็นตังเม จึงให้ข้าหาโอกาสสั่งเจ้าไปจัดการ”ชิงต้ายโบกมือพลันกล่าวต่อ “ใช่แล้ว ได้ยินว่าใต้เท้าเมิ่งจะกลับมาในอีกไม่กี่วัน เจ้าค่อยไปฝากบอกข่าวคราวที”

“นี่ก็เป็นคำสั่งของนางด้วย?” กุ่ยเม่ยถอนหายใจ ไม่เคยได้เว้นว่างเล้ย

ชิงต้ายป้องปากกลั้วหัวเราะ “นี่ก็เป็นคำสั่งคุณหนู ไปบอกให้ใต้เท้าเมิ่งระมัดระวังกู้เฉิงเสี้ยงให้ดี อย่าได้กระทำเป็นแกะแทนโทษอย่างเด็ดขาด เป็นการดีที่สุดหากเก็บเนื้อเก็บตัวในช่วงนี้ ให้รอหลังจากที่ทางฝ่าบาททรงมีคำพิพากษาค่อยคิดหาหนทาง”

“ข้าทราบแล้ว” กุ่ยเม่ยพยักหน้ารับ หลังจากที่ยัดแมวสองตัวส่งให้กับชิงต้าย ก็จากไปอย่างรวดเร็ว

ในช่วงเวลาเดียวกันนี้ ตะเกียงไฟภายในคฤหาสน์ขององค์ชายสามสว่างไสว

การต่อสู้ชิงไหวชิงพริบในท้องพระโรงก่อนหน้านี้กลับทำให้เขาเป็นเฒ่าประมงได้กำไร เขาเดิมทีเนื่องจากเรื่องของเมืองยิ่งโจวจึงเกิดความโดดเด่น บัดนี้อ๋องจิ้งกับองค์ชายรองสู้รบกัน หู้ปู้เซ่อหลางยังฉวยโอกาสพูดเกินความเป็นจริง พอดีกับการช่วยหลบคมดาบคมเขี้ยวของเขาเอาไว้ ช่างเป็นเวลาที่เหมาะสมดีจริงๆ

เยว่ติดตามข้างกายเขาตลอดเวลา จึงทราบว่าเป็นช่วงเรืองอำนาจขององค์ชาย

“องค์ชาย หลังจากนี้พวกเราไยมิสมควรคิดหาวิธีโค่นล้มหนึ่งในฝ่ายตรงข้าม?”

เมื่อเยว่เอ่ยปาก ซ่านเซิ่งหานกลับส่ายศีรษะเล็กน้อย “ไม่ได้ พวกเราต้องเฝ้าดูพวกเขาตีกัน ผู้มีความสามารถในการทดสอบฤดูใบไม้ร่วงยังเหลืออีกไม่น้อย ดูว่าตำแหน่งของหู้ปู้เซ่อหลางกำลังจะว่าง เฉิงเสี้ยงก็สิ้นซึ่งอำนาจ กำลังกังวลว่าจะไร้คนมีความสามารถ”

“แต่ยามนี้หากทรงไม่โค่นล้มฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งออกไป วันหน้าจักต้องเป็นภัยลุกลามแน่

เพคะ” เยว่ขมวดคิ้วมุ่น

“ไม่ต้องรีบร้อน พวกเขาชุลมุนวุ่นวาย พวกเราแค่จำต้องก้มหน้าก้มตาทำงานให้ดีก็พอ”ซ่านเซิ่งหานก้มหน้าอ่านบัญชีรายชื่อในมือต่อ มีตำแหน่งเจ้าหน้าที่ท้องถิ่นบางส่วนที่กู้อ้าวเวยได้คัดสรรให้เขามาเป็นอย่างดี แล้วยังได้คัดเลือกขุนนางยากจนกลุ่มหนึ่งที่ยังไม่เคยทดสอบฤดูใบไม้ผลิไว้ให้

เยว่ปิดปากสนิท เพียงรู้สึกว่าตนเองยิ่งมายิ่งสอดคำพูดไม่คล้อง

“เรื่องของกู้เฉิงไม่อาจสลัดหลุดส่วนเกี่ยวข้อง เจ้าส่งคนไปจับตาดูเขาเสีย จำไว้ว่าต้องช่วยชีวิตเขา” ซ่านเซิ่งหานจู่ๆก็เอ่ยปาก

เยว่หน้าเปลี่ยนสี “แต่กู้เฉิงเป็นบิดาของพระชายาจิ้ง.....”

“กู้เฉิง เป็นคนของพวกเรา”ซ่านเซิ่งหานปรายตามองเยว่ด้วยความเย็นชา เยว่พลันตกตะลึง เหตุใดนางไม่รู้เรื่องนี้แม้แต่น้อย

ซ่านเซิ่งหานกลับยิ้มเย็น “มิเช่นนั้นเจ้าคิดว่า เหตุใดในตอนนั้นเขาได้จุดฉนวนระเบิดกล่าวอ้างถึงองค์ชายสี่และตัวอ๋องจิ้งล่ะ แม้ไม่รู้ว่าเรื่องต้องพิษของหู้ปู้เซ่อหลางเป็นมาอย่างไร แต่ตอนจบอันโกลาหล สุดท้ายเป็นกู้เฉิงที่เลือกมา”

“เขาเป็นถึงเฉิงเสี้ยง ยามนี้ถูกกล่าวหาปรักปรำ ไม่ใช่ว่าตัดทางรอดสุดท้ายของตนเองหรือ?” เยว่อ้าหากหวอด้วยความตะลึงพรึงเพริศ

“เขาฉลาดเฉลียวเป็นอย่างมาก รู้ว่าตนเองกระทำความชั่วไว้มาก สักวันกระดาษย่อมมิอาจห่อไฟ จึงมาช่วยข้าสืบหาข่าวสาร สุดท้ายก็จะใช้กลยุทธ์จักจั่นลอกคราบ ยอมแสร้งตายสักครั้ง แล้วให้ทายาทตนสืบทอดตำแหน่งเฉิงเสี้ยงใหม่ เขาเพียงต้องคอยวางแผนอยู่เบื้องหลังเท่านั้น” แววตาซ่านเซิ่งหานเย็นเยียบ

“แต่เขากลับไร้ทายาท.....”

“ทุกคนไม่มีใครรู้ก็เท่านั้น” ซ่านเซิ่งหานนำสมุดเล่มหนึ่งส่งให้เยว่ หน้าปกเขียนไว้ว่า รายชื่อตำแหน่งขุนนางฝ่ายบุ๋น---กู่เซิง

“กู่เซิงอายุยังเยาว์ ปกติอ่อนน้อมถ่อมตนไร้คนอยู่เบื้องหลัง ชาติกำเนิดเป็นเด็กกำพร้าในชนบท แต่บัดนี้เขาได้ไต่เต้าถึงราชสำนัก หากไร้คนผลักดันขับเคลื่อนอยู่เบื้องหลัง เขาจะไต่ขึ้นมาด้วยอายุเพียงเท่านี้ได้อย่างไร”ซ่านเซิ่งหานหัวเราะเบาๆพลันกล่าวต่อ “กู่เซิงผู้นี้ อายุยังมากกว่ากู้อ้าวเวยถึงห้าหกปี หากปีนั้นพูดกันว่าเขารักเวทนาหยุนหว่านฮูหยิน ปัจจุบันคงไม่อาจวางแผนรอบคอบได้ถึงขั้นนี้

เยว่ใบหน้าบิดเบี้ยว เพียงรู้สึกว่าคนตระกูลกู้ ร้ายยิ่งกว่าร้ายเสียอีก

“ช่วยชีวิตของกู้เฉิงได้ กู่เซิงผู้นี้ก็จะเป็นประโยชน์สำหรับพวกเรา มีไหวพริบฉลาดเฉลียวของตัวกู่เซิง บวกกับเล่ห์เหลี่ยมของกู้เฉิง ตำแหน่งเฉิงเสี้ยงนี้ พวกเราสมควรกระทำให้น่าไว้วางใจ”ซ่านเซิ่งหานอธิบายให้นางฟัง

หากมิใช่ว่าองค์ชายให้นางไปช่วยชีวิตกู้เฉิง เยว่ไม่อาจรู้เรื่องราวมากมายได้ขนาดนี้แน่ ในใจบังเกิดความหนาวเหน็บ

เมื่อเล่าถึงตรงนี้ ซ่านเซิ่งหานกลับคล้ายฉุกคิดอะไรบางอย่าง พลันส่งเสียงทอดถอนใจเบาๆ “หากกู้อ้าวเวยรู้ว่าพวกเราร่วมมือกับบิดานางเพื่อหลอกนาง เกรงว่าต้องโกรธแค้นข้าแน่ ต้องโทษข้าว่าเหตุใดจึงไม่บอกนางก่อน ส่วนกู้เฉิงก็ไม่ต้องการบุตรสาวทั้งสองอย่างพวกนางแล้ว

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: บุบผาร้อยเสน่ห์