บุบผาร้อยเสน่ห์ นิยาย บท 343

บทที่ 343 ตระกูลหยุนขายชาติ

แก้มที่มีเนื้อ ได้แต่หอบสิ่งของเดินไปมา ในปากบ่นพรึมพรำอย่างไม่ออกเสียง มีเพียงดวงตาโตที่มองดูกู้อ้าวเวยและกุ่ยเม่ยอยู่อย่างมีสติ ใจของกู้อ้าวเวยอ่อนระทวยจนเลอะเลือน กุ่ยเม่ยนั่งซักกางเกงอยู่ข้างนายน้อยอย่างตั้งใจ

“ชิงจือ มานี่เร็ว” กู้อ้าวเวยนั่งอยู่บนพรมที่นุ่มนิ่มกวักมือเรียกเขา

นางสำรวจเนื้อตัวของชิงจืออย่างละเอียด ทุกสิ่งอย่างดีหมด อีกทั้งนับคำนวณวันแล้ว ชิงจือก็น่าจะขวบครึ่งได้ เพราะเป็นหลานของป่ายเหลากุ่ย ร่างกายจึงแข็งแรงบึกบึน สามารถเดินได้หลายก้าวแล้ว

ชิงจือเดินโซเซไปมา มาทางนางด้านนี้ กู้อ้าวเวยกลับหวั่นใจ เกรงว่าเขาจะหกล้มไป มือคู่หนึ่งจับตามชิงจือที่เดินโซไปเซมาไว้ อีกทั้งยังแกล้งชิงจือล้มลงบนพรมจนหัวเราะไม่หยุด

กู้อ้าวเวยตกใจไปชั่วครู่ รีบข้ามไปอุ้มขึ้นมา ชิงจือยังคงหัวเราะสนุกอยู่

กุ่ยเม่ยก็ลุกขึ้นยืนตามเสียง โผเข้ามาดู “ไม่เป็นเช่นไรใช่ไหม”

“เหมือนว่าจะไม่เป็นอะไร ทำให้ข้าตกใจหมดเลย” กู้อ้าวเวยค่อยๆ ตบหลังของชิงจืออย่างเบามือ เห็นเขายังหัวเราะอยู่ ทำตัวไม่ถูก “รู้แต่เพียงความสนุกโง่ๆ”

กุ่ยเม่ยก็ถอนหายใจหนึ่งคำ ตบมือไปมาแล้วกลับไปซักกางเกงต่อ

ในห้องมีเตาผิงวางอยู่สองอัน หน้าก็ค่อยๆ เปิดออก ชิงจือห่ออยู่เป็นก้อนพัสดุ กู้อ้าวเวยเล่นเป็นเพื่อนเขาอยู่ครู่หนึ่งก็รู้สึกเหนื่อยแล้ว กุ่ยเม่ยอุ้มเขาออกไปเดินเล่น กู้อ้าวเวยก็กอดเอาเตาให้ความอบอุ่นใบน้อยๆ อยู่ข้างกายเขา เดินเล่นอยู่ในตำหนักอ๋องอย่างไม่มีจุดหมาย

กู้จี้เหยาวันนี้ซื้อเสื้อผ้าฤดูหนาวกลับมาสองสามชุด ปะทะหน้าเข้ากับกู้อ้าวเวย

สองคนได้พบหน้ากัน กู้จี้เหยาเห็นเด็กน้อยที่น่ารักคนนั้น โผเข้ามาคารวะกู้อ้าวเวยแล้วพูดด้วยรอยยิ้มว่า “นี่ก็คือลูกบุญธรรมของพี่หรือ น่ารักน่าชังเสียจริง”

“เขาชื่อชิงจือ” กู้อ้าวเวยรีบให้กุ่ยเม่ยอุ้มเด็กไปทางอื่น

สองคนหยอกล้อกับเด็กอยู่ครู่หนึ่ง กุ่ยเม่ยก็อุ้มเด็กเดินไป เหลือเพียงสองพี่น้องตระกูลกู้และหลานเอ๋อร์ กู้อ้าวเวยถามนางว่า “ช่วงนี้เจ้าดูไม่เลวนะ ยังมีอะไรใหม่ๆ ดีๆ อีก”

“ไม่มีอะไรเลย แค่ขอร้องให้ท่านอ๋องเปลี่ยนใจ” กู้จี้เหยาส่ายหัวอย่างเสียมิได้ “ข้าฉลาดไม่เท่าเจ้า ตอนนี้ก็ไม่มีใครให้หนุนหลัง ได้แค่ถ่วงเวลาเอาไว้ ผ่านไปได้หนึ่งวันก็มีความหวังเพิ่มหนึ่งเสี้ยว”

“หวังว่าเจ้าจะสมหวัง” กู้อ้าวเวยยิ้มอย่างไม่รู้จะทำอย่างไรดี เดินตามกุ่ยเม่ยไปแล้ว

หลานเอ๋อร์เดินขึ้นมาข้างหน้าหนึ่งก้าว “คุณหนูใหญ่ไม่ใช่ไฟที่ขาดน้ำมัน พวกเราจะไม่ลงมือกับนางจริงๆ หรือ”

“ข้ารู้สึกว่าวันหนึ่งนางจะต้องไปแน่นอน ข้าอยู่เฉยๆ ดีกว่า” กู้จี้เหยามองไปที่หลานเอ๋อร์ด้วยสายตาคุกคาม “เป้าหมายของพวกเราคือท่านอ๋อง ไม่ได้เกี่ยวข้องอะไรกับนาง”

“หลานเอ๋อร์ทราบแล้ว” หลานเอ๋อร์สันหลังเย็บไปชั่วครู่ รู้สึกว่ามองกู้จี้เหยาตอนนี้ได้ยากขึ้น ไม่รู้ว่านางคิดอะไรกันแน่

อีกฟากหนึ่ง กู้อ้าวเวยเดินตามกุ่ยเม่ยมาทัน ชิงจือมองดูใบไม้บนต้นไม้ กุ่ยเม่ยก็ขึ้นไปเก็บลงมาให้เขา ชิงจือร้องไห้เสียงดังขึ้นมา ทั้งสองคนอุ้มชิงจืออย่างทำอะไรไม่ถูก วิธีการแม้แต่นิดก็ไม่มี

“ทำไมร้องไห้แล้วล่ะ บนใบไม้ของเจ้ามีหนอนใช่หรือเปล่า” กู้อ้าวเวยกระโดดโลดเต้นอย่างร้อนรน

“ไม่มีนะ” กุ่ยเม่ยก็ทำหน้าตาเหมือนจะร้องไห้ ไม่รู้ว่าเขาร้องไห้อะไร

ทั้งสองคนวุ่นวายกันอยู่ชั่วครู่ ดีที่หญิงสาวมีอายุหน่อยที่ห้องครัวด้านข้างออกมา กล่อมชิงจือให้ดีแล้วจึงคืนให้พวกเขาแล้วพูดว่า “เด็กน้อยเดี๋ยวเสียงดังเดี๋ยวร้องไห้เป็นเรื่องปกติ ไม่ใช่ปัญหา”

ทั้งสองคนจับหญิงสาวห้องครัวนั้นไว้ ถามหลายคำถาม นี่ก็เพิ่งจะปล่อยนางไป

กลับถึงวิหารเฟิ่งหมิงอีกครั้ง กู้อ้าวเวยมองเห็นผู้ชายคนหนึ่งกำลังยืนอยู่ข้างประตูมาแต่ไกล แตะไปที่กุ่ยเม่ยเบาๆ “ไปวนอีกสองรอบเถอะ”

กุ่ยเม่ยเข้าใจ กู้อ้าวเวยเดินมาที่หน้าประตูคนเดียว เห็นซ่านจินจื๋อ “ท่านอ๋องมานี่มาธุระอะไรหรือ”

“เรื่องของตระกูลหยุน เจ้าก็ไม่สนใจเช่นกันหรือ”

“อยากสนใจ แต่หากข้าให้กุ่ยเม่ยไปหาร่องรอยของเรื่องนี้ ข้ากลัวว่าจะถูกเข้าคุกอีกครั้งเป็นแน่” กู้อ้าวเวยมองเขาอย่างไม่รู้จะทำเช่นไรอยู่ครู่หนึ่ง เตาอังในมือก็เย็นไปหมดแล้ว นางผลักประตูวิหารเฟิ่งหมิงเดินเข้าไปด้านในด้วยตัวเอง พลางกวักมือไปทางซ่านจินจื๋อ “หากท่านเขียนหนังสือหย่าให้ข้า ข้าก็จะไม่อยู่ขวางหูขวางตาท่านอีกทันที”

“ฝันไปเถอะ” ซ่านจินจื๋อยังคงมีใบหน้าที่เย็นชาเช่นนั้นอยู่ “หรือว่าเจ้าคิดว่าองค์ชายสามจะเอาเจ้าหรือ”

การก้าวเท้าของกู้อ้าวเวยชะงักไปชั่วครู่ มองเขาอย่างท่าทางที่จะยิ้มก็ไม่ยิ้ม “ข่าวที่ข้าส่งให้กับองค์ชายสามท่านก็รู้หมดแล้ว ท่านคิดว่าวันหลังเขายังจะร่วมมือกับข้าอีกหรือ”

“งั้นเจ้าอยากทำอะไร”

“ไปสืบเรื่องของตระกูลหยุน ล้างมลทินให้พวกเขา แล้วค่อยพาชิงจือไปเรียนวรยุทธ์กับกุ่ยเม่ยส่วนตัว ข้าเปิดโรงหมออยู่ สามารถไปมาท่องยุทธ์ได้ทุกเวลา” กู้อ้าวเวยเอาเตาอังมือวางลง

ซ่านจินจื๋อได้แค่มองดูกู้อ้าวเวยอย่างเงียบๆ กู้อ้าวเวย ณ ตอนนี้ แม้แต่นิดเขาก็มองความคิดไม่แจ่มแจ้ง

กู้อ้าวเวย ณ ตอนนี้สบตากับเขาน้อยลงมาก เสื้อผ้าบนตัวนับวันจะยิ่งไร้สีสันมากขึ้น หลายวันนี้อยู่ด้วยกันกับชิงจือก็จะใส่ชุดสีเหลืองนวล ฟ้าอ่อน โดยทั่วไปแล้วในวันปกติก็จะใส่เป็นสีขาวทั้งชุด ตอนกลางคืนยังถือโคมไฟแดงไปเดินเล่นกับกุ่ยเม่ยในลานสวนอีก หรือไม่ก็ไปดื่มเหล้าที่ศาลารับลม มักจะทำให้พวกเด็กรับใช้ตกใจเป็นประจำ

“เจ้าอยู่ด้วยกันกับกุ่ยเม่ยทุกวัน กลับไม่กลัวคนเอาไปนินทาหรือ” ซ่านจินจื๋อเห็นนางไม่พูด ก็จึงพูดขึ้นเอง

“มีอะไรต้องกลัวล่ะ ชื่อของข้าที่เมืองเทียนเหยียนนี้ก็ไม่เคยหยุดนินทาเลย” กู้อ้าวเวยก็ไม่สนใจ ได้แต่พลิกหาเสื้อผ้าของชิงจือสองสามตัวในตู้เสื้อผ้า ขมวดคิ้วขึ้น “หากท่านอ๋องไม่มีธุระอันใดแล้ว ข้ายังต้องออกไปเลือกชุดสองสามชุดให้ชิงจืออีก คุณน้าที่ห้องครัวบอกว่าเด็กตอนเล็กโตเร็วมาก

ในช่วงนาทีที่จะจากไป ซ่านจินจื๋อจับมือของนางไว้แล้วพูดว่า “ภายนอกตระกูลหยุนราวกับถูกฟ้าผ่าสายฟ้าฟาด พวกคนที่เกี่ยวข้องก็ถูกจับตัวส่งกลับเมืองเทียนเหยียน ระหว่างที่ดำเนินการมีคนยอมรับผิดแล้ว”

“อย่าบอกนะว่าใช้เครื่องทรมานเฆี่ยนตีจนยอมรับสารภาพ” กู้อ้าวเวยหยุดเดิน ในสมองมีแต่ความว่างเปล่าขึ้นมาทันใด

“ไม่ได้เป็นเช่นนั้น ผู้นั้นพอได้ยินถึงเรื่องเรื่องนี้ ก็อยากจะรักษาปกป้องชีวิตของคนทั้งตระกูลเอาไว้ บอกว่าตระกูลหยุนทรยศขายชาติแล้ว ยังบอกอีกว่าท่านปู่ของเจ้ายังไม่ได้เสีย แต่ไปแคว้นเจียงเยี่ยนปรึกษาหารือเรื่องกบฏ” เสียงของซ่านจินจื๋อเล่าอย่างต่อเนื่อง

ใจของกู้อ้าวเวยรู้สึกตกใจไปชั่วครู่ ที่จริงนางรู้อยู่แล้วว่าท่านปู่ยังไม่ตาย

แต่บัดนี้ข่าวคราวของท่านปู่ไม่มีหลักแหล่งที่ชัดเจน มีคนจงใจจะเอาเรื่องสกปรกเช่นนี้สาดมาให้ตระกูลหยุน มันเจตนาเกินไปหรือเปล่า

“แท้จริงแล้วเป็นใครกันที่จ้องจะทำลายตระกูลหยุน” กู้อ้าวเวยหันหน้าไป แต่กลับไม่มองซ่านจินจื๋อแม้แต่นิด “มีร่องรอยของท่านปู่บ้างหรือเปล่า”

“เรื่องนี้จัดการกันอย่างเงียบเชียบมาก แม้แต่ข้าก็ไม่มีทางที่จะสืบหาข้อมูลภายในของเรื่องที่เกิดขึ้นกับตระกูลหยุนได้” ซ่านจินจื๋อส่ายหัวเบาๆ ไปมา เอียงตัวมามองกู้อ้าวเวย “เรื่องนี้โหวเซ่อเป็นคนทำหรือไม่ พอชิงต้ายตาย เรื่องนี้ก็เกิดขึ้นแล้ว ช่างน่าประหบาดใจเสียงจริง”

ร่างของกู้อ้าวเวยแข็งไปชั่วครู่ คิดไม่ถึงว่าผู้ที่ก่อเรื่องนี้ขึ้นมาเป็นใครกันแน่

โหวเซ่อเป็นคนที่นางปลุกปั้นขึ้นมา แต่ฟังจากหญิงสาวที่ทิงเฟิงโหลดูแล้วก็ไม่น่าจะทำร้ายพวกเขาได้ แต่ก็ตัดสินเด็ดขาดไม่ได้ งั้นคนที่สามารถทำอะไรต่างๆ ได้ในตระกูลหยุน อาจจะเป็นใครคนใดคนหนึ่งที่อยู่ภายในก็เป็นได้ แค่คิดไปคิดมา นางก็ยังจับต้นชนปลายอะไรไม่ได้เลย

ผ่านไปชั่วครู่ ซ่านจินจื๋อพูดอย่างเบาๆ ว่า “ผู้ทำผิดยอมรับผิดเรียบร้อยแล้ว พวกเขากลับมาเมื่อใด ก็เท่ากับว่าถึงเวลาเข้าคุกเมื่อนั้น”

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: บุบผาร้อยเสน่ห์