บุบผาร้อยเสน่ห์ นิยาย บท 344

บทที่ 344 เด็กสองคน

“ข้าจะไปสืบเรื่องนี้เอง” กู้อ้าวเวยยังคงไม่เชื่อ

คนของตระกูลหยุนยังไม่พูดถึงตอนนี้ละกัน แต่เรื่องที่ท่านปู่หยุนชิงหยางของนางไปแคว้นเจียงเยี่ยนหารือเรื่องกบฏนั้น นางไม่เชื่อเด็ดขาด เรื่องนี้จะต้องมีเงื่อนงำอยู่เบื้องหลังแน่นอน

“เมื่อครู่ข้าเพิ่งออกคำสั่ง” ซ่านจินจื๋อดึงนางเข้ามาในห้อง ปิดประตูให้สนิท “ไม่มีคำสั่งของข้า ใครก็ปล่อยเจ้ากับกุ่ยเม่ยออกไปไม่ได้แม้แต่ก้าวเดียว เจ้าต้องการอะไร ก็ไปบอกพ่อบ้าน เขาสามารถหาให้เจ้าได้ครบถ้วนเลยทีเดียว”

“นี่ท่านกำลังจะให้ข้าดูคนรุ่นหลังของตระกูลหยุนตายไปต่อหน้าต่อตาอย่างนั้นหรือ” ดวงตาของกู้อ้าวเวยทั้งสองข้างแดงก่ำ

“ข้าก็ไม่สามารถเห็นเจ้าทำให้คนของตำหนักอ๋องจิ้งได้รับความเดือดร้อนไปด้วย” ซ่านจินจื๋อมองนางด้วยใบหน้าที่กลัดกลุ้ม เห็นนางแล้วก็ไอขึ้นมาอย่างรุนแรงอีกครั้ง พอผ่อนคลายลง ก็พานางไปนั่งที่ม้านั่งนุ่มๆ “เสด็จพี่เริ่มสงสัยในตัวข้าแล้ว ขุนนางใหญ่ๆ รอบตัวข้าก็ให้ข้าอย่าพูดถึงเรื่องนี้ เพื่อหลีกเลี่ยงความเดือดร้อนเข้ามาหาตัวเอง ข้าปกป้องเจ้าได้แน่นอน แต่อยากจะพิจารณาคดีตระกูลหยุนนี้ใหม่ไม่ง่ายเลยจริงๆ”

กู้อ้าวเวยกัดฟันแน่น “งั้นข้าควรจะทำเช่นไรถึงจะดี......”

“เรื่องนี้แน่นอนว่าต้องมีเงื่อนงำ ผู้ที่อยากได้ตำรายาของตระกูลหยุนก็เยอะแยะมากมาย เสด็จพี่ก็แค่อยากจะถือโอกาสนี้ล่อลวงผู้ที่เกี่ยวข้องออกมา เรื่องของตระกูลหยุนอย่างน้อยก็ต้องรอถึงฤดูร้อนปีหน้าถึงจะตัดสินอย่างเด็ดขาด เจ้าไม่ต้องกังวลใจไป” ซ่านจินจื๋อยกมือลูบหัวของนาง “ก่อนถึงตรงนั้น เจ้าก็แค่อยู่ที่ตำหนักอ๋องอย่างไม่ดื้อไม่ซน อย่าก่อเรื่องอะไรขึ้นมาก็ดีที่สุดแล้ว”

กู้อ้าวเวยเงยหน้าขึ้นมองซ่านจินจื๋อ พบว่าเขาดูอ่อนโยนขึ้นเล็กน้อย

พูดไปก็น่าแปลก เมื่อก่อนตอนที่สองคนอยู่ด้วยกัน กลับไม่ลงรอยกันเลย แต่หลังจากที่ซ่านจินจื๋อพบว่านางสมรู้ร่วมคิดกับองค์ชายสาม ดุเหมือนว่าจะเปิดใจรักนางมากยิ่งขึ้น

“เจ้าไม่กลัวข้าสมรู้ร่วมคิดกับแคว้นเจียงเยี่ยนหรือ ดีกับข้าซะขนาดนี้” กู้อ้าวเวยนั่งอยู่บนม้านั่งนุ่มนิ่มอย่างว่าง่าย ไม่ขยับไปไหนเลย

บัดนี้สถานการณ์ยังไม่แน่ชัด หากนางออกไปแอบทำเรื่องอะไรที่ลับล่ออาจทำให้คนสงสัยได้

อีกทั้งซ่านจินจื๋อยังดูใส่ใจกับเรื่องนี้ค่อนข้างมาก วิเคราะห์ออกมาอย่างเป็นเหตุเป็นผลไม่เหมือนกับว่ามีเจตนาที่ไม่ดี ยังไงก็เป็นถึงพระชายาจิ้ง ให้ร้ายตระกูลหยุนก็ไม่เป็นผลดีกับเขาสักเท่าไหร่งั้นก็วางใจฟังที่ซ่านจินจื๋อบอกละกัน

“หากเจ้ารู้เห็นกับหารทรยศขายชาติ บัดนี้ก็ไม่ควรอยู่ที่ตำหนักอ๋องจิ้งของข้าแล้ว” ซ่านจินจื๋อก็นั่งอยู่ข้างกายนาง เห็นนางไปออกมาสองสามครั้ง จึงถามนางว่า “ร่างกายยังไม่ค่อยแข็งแรงดีก็อย่าออกไปตากลมเลย”

“ขอบพระทัยที่ท่านอ๋องเป็นห่วง” กู้อ้าวเวยพยักหน้าอย่างเชื่อฟัง ผ่านช่องว่างหน้าต่างออกไป ก็มองเห็นกุ่ยเม่ยอุ้มชิงจือกลับมาแต่ไกล ดวงตาคู่นั้นที่เต็มไปด้วยราศีก็กลับมาแล้ว

นางลงมาจากม้านั่งนุ่มๆ ยิ้มแย้มมาทางชิงจือที่อยู่ในอ้อมอกของกุ่ยเม่ย แล้วรับข้ามมา กลับไปนั่งที่ม้านั่งนุ่มอีกครั้งหนึ่ง หยอกล้อเขาด้วยรอยยิ้ม “ชิงจือ วันนี้มีความสุขไหม”

ซ่านจินจื๋อมองดูเด็กหนุ่มที่ถูกห่อเป็นก้อนเหมือนพัสดุ อีกทั้งมองรอยยิ้มของกู้อ้าวเวยไปด้วย บางส่วนในใจอ่อนนุ่มราวกับแหย่ได้ถูกจุดก็ไม่ปาน แตะไปที่เด็กที่ม้วนเป็นก้อนหิมะอย่างไม่รู้ตัว ทำให้เกิดเสียงหัวเราะออกมา อึ้งไม่ได้สติอยู่สักพัก

กู้อ้าวเวยมองซ่านจินจื๋อด้วยรอยยิ้มอ่อนๆ “ชิงจือไม่เคยกลัวอะไร วันหน้าต้องเป็นชายชาตรีแน่นอน”

ได้สติกลับมา ซ่านจินจื๋อคิดถึงเด็กสองคนที่เขาเสียไปโดยไม่คาดคิด ในนั้นมีเด็กที่เป็นรูปเป็นร่างคนหนึ่งถูกส่งไปเป็นยาให้ซูพ่านเอ๋อกิน

ยังไงก็เป็นอ๋องจิ้ง คิดไม่ถึงว่าเรื่องแค่นี้จะตกใจจนขนหัวลุก

เขาเดินออกจากวิหารเฟิ่งหมิงไปอย่างรวดเร็ว หลับได้ยินเสียงของกู้อ้าวเวยดังขึ้นเบาๆ ด้านหลังของเขา “หากซีจือ และป๋ายมี่ยังมีชีวิตอยู่ จะต้องมีอีกชีวิตหนึ่งกับเจ้าแล้วแน่ๆ”

ในใจของซ่านจินจื๋อรู้สึกเบื่อๆ หันหน้ากลับไป กลับมองเห็นกู้อ้าวเวยกำลังยิ้มเบาๆ มาทางเขา

ผ่านไปชั่วครู่ กู้อ้าวเวยก็เปลี่ยนท่าทีเป็นปกติเช่นเดิม ก้มหน้าลงมาหยอกล้อกับชิงจือ

ต้นไม้แห้งๆ ข้างกายถูกลงหนาวพัดจนเกิดเสียงดัง ซ่านจินจื๋อโยกหัวไปมา แค่อยากจะลืมเรื่องของเด็กที่ยังไม่ได้กำเนิดสองคนนั้นไปให้หมด ในหัวมีแต่ใบหน้าของชิงจือที่ยิ้มแย้ม

หากไม่ใช่เพราะซูพ่านเอ๋อ เขาก็ควรจะมีลูกที่น่ารักสองคนแล้ว

รอจนเงาของซ่านจินจื๋อเดินหายลับตาไปที่มุมแล้ว กู้อ้าวเวยถึงจะค่อยๆ เงยหน้าขึ้นมา ส่ายชิงจือในอ้อมอกไปมาเบาๆ พลางถามกุ่ยเม่ยว่า “เจ้าลองทายดูสิ เมื่อครู่ซ่านจินจื๋อคิดถึงซีจือหรือว่าป๋ายมี่กัน”

ใบหน้าของกู้อ้าวเวยกลับไม่มีอารมณ์ใดๆ แม้แต่ชิงจือที่มองแก้มของนางก็ค่อยๆ เงียบลงมา เอนหัวมองเขา

“แน่นอนว่าต้องคิดแหละ” กุ่ยเม่ยพยักหน้า ช่วยเช็ดมุมปากให้ชิงจือ “เขาน่าจะหิวแล้ว ข้าไปถามท่านน้าที่ห้องครัว เอาอาหารอะไรสักหน่อยติดมือมา”

“ไปเถอะ” กู้อ้าวเวยดึงสติกลับมา ตบหลังของกุ่ยเม่ย แล้วลุกขึ้นมาหยอกล้อเล่นกับชิงจือต่อ

ทุกสิ่งทุกอย่างเหมือนปกติ กุ่ยเม่ยมักจะรู้สึกว่าโรคที่อยู่ในใจของกู้อ้าวเวยยังไม่ถูกกำจัดออก มีความกังวลอย่างบอกไม่ถูก

……

เรื่องที่ตระกูลหยุนทรยศขายชาติเป็นที่น่าตกใจของราชสำนักไปทั่ว

ผู้ที่ได้รับประโยชน์ในความรู้สึกนี้ก็เป็นองค์ชายสามซ่านเซิ่งหาน

พอตระกูลหยุนถูกกำจัดทิ้ง พระชายาจิ้งก็จะไร้ซึ่งคนที่คอยช่วยเหลืออยู่เบื้องหลัง การประเมินความชนะขององค์ชายสามก็มากโขอยู่ หลายวันนี้ฉางอีฉินไปมาหาสู่กับพวกคนมีฐานะมากมาย ปลายทางของราชสำนักก็ไม่มั่นคงเท่าไรนัก

ไม่ง่ายเลยที่จะเอาตัวรอดจากการประชุมในช่วงเช้า รอถึงตอนทานอาหารช่วงเที่ยง ฉางอีฉินก็นำพาข่าวคราวมาว่า “เรื่องที่ตระกูลหยุนทรยศขายชาติเป็นเรื่องจริงแน่ อ๋องจิ้งใช้อำนาจที่มีทั้งหมดปกป้องพระชายาจิ้งเอาไว้ ยังบอกว่าจะสืบเรื่องนี้อย่างเข้มงวดจริงจัง ฝ่าบาทอย่ายุ่งเลยจะดีกว่า”

ท่าทางของซ่านเซิ่งหานอึ้งไปชั่วครู่ ค่อยๆ ขมวดคิ้ว “ทำไมเจ้าจึงดูสนใจเรื่องของตระกูลหยุนล่ะ”

สีหน้าของฉางอีฉินเป็นไปในทันที “ข้าเพียงแค่กลัวเรื่องที่ท่านกับพระชายาจิ้งร่วมมือกัน บัดนี้อ๋องจิ้งรู้เรื่องที่ท่านร่วมมือกับพระชายาจิ้งแล้ว อีกทั้งยังเอาพระชายาจิ้งกำอยู่ในกำมือ เพียงพอที่จะเห็นความรักเอ็นดูระหว่างพวกเขา”

“ที่ข้าต้องการคือแผนการและสมองของกู้อ้าวเวย ทำเรื่องนิดหน่อยให้นาง ก็เป็นสิ่งสมควร” แววตาของซ่านเซิ่งหานแหลมคม เอาพู่กันในมือวางลงมา “อีกทั้งนางมีประโยชน์มากกว่าพวกเจ้า อย่าใช้อารมณ์ในการจัดการเรื่องต่างๆ เลย”

“แต่......แม่ของนางเป็นนางจิ้งจอก......” ฉางอีฉินพูดจบ รีบเอามือปิดปากของตัวเองให้สนิททันที

เยว่ส่ายหัวอยู่ด้านข้างอย่างบอกไม่ถูก ฉางอีฉินผู้นี้ช่างเป็นคนที่ทำงานใหญ่ไม่ได้

ตามที่คาดการณ์ไว้ สีหน้าของซ่านเซิ่งหานเปลี่ยนไปทันที แต่ไหนแต่ไรมาเขาก็ไม่ยินดีพอใจกับเรื่องภูตผีปีศาจอยู่แล้ว ยิ่งไม่ชอบให้พวกนางทั้งสองใช้อารมณ์ในการจัดการเรื่องต่างๆ ด้วย จะทำให้เสียการใหญ่ได้ ครั้งนี้ฉางอีฉินกลับทำผิดทั้งสองเรื่อง

พอสะบัดมือ ฉางอีฉินก็ออกไปอย่างทำตัวไม่ถูก รู้สึกไม่ค่อยสบายใจนัก

เยว่ก็ไม่รู้จะทำเช่นไรเหมือนกัน “ฮูหยินก็แค่คิดอะไรก็พูดออกมา ไม่ได้มีเจตนาไม่ดี”

“นางแค่คิดว่าข้าไม่ควรเข้าร่วมกับเรื่องนี้ด้วยหรือ” ดวงตาคู่นั้นของซ่านเซิ่งหานจ้องมาที่ร่างของเยว่ “บัดนี้แนวโน้มของสถานการณ์ก็อยู่บนตัวของกู้อ้าวเวยแล้ว ได้ความฉลาดของนาง ข้าถึงจะไปสู่เป้าหมายต่อไปได้”

“ข้าน้อยรับทราบ” เยว่ก้มหัวลงอย่างจริงจัง พูดด้วยเสียงเข้มว่า “เรื่องของตระกูลหยุน ข้าได้ส่งคนไปสืบแล้ว เชื่อว่าหลังจากนี้ไม่นานจะได้ข่าวดี”

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: บุบผาร้อยเสน่ห์