บุบผาร้อยเสน่ห์ นิยาย บท 350

บทที่ 350 ความหวังกับการยุยง

“ข้าไม่ตายหรอก”

ตอนที่กู้อ้าวเวยถูกวางลงบนเตียง ลูบหน้าผากของกุ่ยเม่ยเบาๆ

ขาสองข้างที่ถูกคลุมด้วยขนหมาป่าบนที่นอน มือและหูที่แข็งเป็นน้ำแข็งนั้นก็เริ่มมีเลือดไหลออกมา ปากที่ขาวซีดเมื่อครู่ป้อนข้าวต้มที่ร้อนเข้าไป ก็เลยมีสีขึ้นมานิดหน่อย แต่กลับไออยู่ครู่หนึ่ง ก็ไอเอาเลือดออกมาเล็กน้อย

รอบดวงตาของกุ่ยเม่ยแดงก่ำนำเตาไฟให้ความอบอุ่นหยิบข้ามมา น้าจางที่อยู่ด้านข้างสวดมนต์ภาวนารีบวิ่งไปหาหมอที่จี้ซื่อถาง (ร้านขายยา) มีเพียงชิงจือที่เบิกตาโตวางอยู่ข้างมือของกู้อ้าวเวย

กู้อ้าวเวยปวดหัวอย่างหนัก ก็ไม่มีสติที่จะพูดอะไรแล้ว ได้แต่ขยับแขนไปมา มองดูหน้าของชิงจือ เกือบจะไม่มีความรู้สึกตัวแล้ว

กุ่ยเม่ยยืนขึ้นมาด้วยเสียงทุ้ม เพิ่งคิดว่าจะวิ่งไปข้างนอก ไม่ว่าจะพูดอย่างไรขาของเขาก็เร็วกว่าน้าจางเป็นแน่

“ใต้เท้าช้าหน่อย ขาของข้าไม่ค่อยจะดีนัก” มีเสียงดังมาจากหน้าประตูทันใด กุ่ยเม่ยเปิดประตู ก็เห็นเฉิงซานนำหมอของจี้ซื่อถาง (ร้านขายยา) วิ่งเข้ามา สองคนสบตากัน เฉิงซานได้แค่ดันหมอเข้าไปเบาๆ ก็จากไปแล้ว

ต้องเป็นซ่านจินจื๋อที่ส่งคนมาเป็นแน่

หมอหิ้วกล่องยารีบเดินเข้าไปด้านใน พอเห็นบาดแผลของกู้อ้าวเวยก็สูดลงหายใจเย็นเข้าไป “ขาของพระชายาอาจจะใช้การไม่ได้แล้ว รีบไปต้มน้ำร้อนมาเร็วเข้า แล้วค่อยไปเอายาสมุนไพรในกล่องยามา”

พูดจบ หมอก็รีบเขียนใบสั่งยา หลังจากนั้นก็ค่อยรีบไปจัดการกับบาดแผลของกู้อ้าวเวย แล้วก็แกะผ้าที่พันบาดแผลที่ขาออกทีละนิดๆ

แต่ละขั้นตอนนี้ ชิงจือก็ไม่มีส่งเสียงใดๆ เลย ได้แต่มองกู้อ้าวเวยอย่างเงียบๆ

กู้อ้าวเวยเจ็บจนขมวดคิ้ว ตั้งแต่ต้นจนจบก็ไม่รู้สึกตัวมาเลย

ทั่วทั้งตำหนักอ๋องจิ้งก็อยู่ภายใต้ความเงียบสงบที่น่าประหลาดขึ้นมาทันที ซูพ่านเอ๋อไม่ไปตอแยซ่านจินจื๋ออีก กลับอยู่ในที่ที่ของตนควรอยู่ กู้จี้เหยาที่เมื่อก่อนมีท่าทางอวดดีก็เปลี่ยนเป็นนกน้อยน่าเอ็นดู แต่ตั้งแต่ซ่านจินจื๋อออกจากจวนไป ก็อยู่ในตำหนักอ๋องน้อยมาก อาจเพราะว่าในตำหนักอ๋อง ก็มีเพียงกู้จี้เหยาที่กินข้าวเป็นเพื่อนเพียงคนเดียว

รอจนกู้อ้าวเวยรู้สึกตัวขึ้นมา ขาทั้งสองข้างก็ไม่ต่างอะไรกับคนที่ขยับไม่ได้ เมืองเทียนเหยียนกำลังจะมีหิมะตกเป็นครั้งที่สอง

กุ่ยเม่ยมีความชำนาญในการต้มยาใส่ยาให้นางอย่างต่อเนื่อง อีกทั้งยังรู้จักกับยาสมุนไพรที่อยู่ในห้องจนเกือบหมดแล้ว น้าจางก็พาชิงจือมานั่งอยู่ในห้องสองคน วิ่งเข้าวิ่งออกซื้อผักซื้อเนื้อต้มน้ำซุป

เดิมทีกู้อ้าวเวยก็ดูผิดหวังอยู่แล้ว แต่ตอนที่ตื่นขึ้นมา ชิงจือจับมือของนางเอาไว้ ร้องเรียกเสียงหาแม่ไปหนึ่งคำ “แม่”

กู้อ้าวเวยตกใจจนลุกขึ้นมา เรื่องที่ไม่สบายใจถูกเอาไปเก็บไว้ในสมองส่วนหลังอย่างชั่วคราว อุ้มชิงจือส่ายไปส่ายมา

ชิงจือถูกส่ายไปมาแล้วหัวเราะมีความสุข อีกทั้งยังร้องเรียกอีก ยังพูดพึมพำเป็นประโยคที่ไม่รู้เรื่องออกมาอีกด้วย

กู้อ้าวเวยค่อยๆ มีสีหน้ายิ้มแย้มจะลงจากเตียง กุ่ยเม่ยได้ยินเสียงก็รีบเข้ามา ดันนางกลับเข้าไป ยังดึงรถล้อนั่งมาวางไว้ที่ตรงหน้ากู้อ้าวเวย มองนางแล้วพูดว่า “ขาของเจ้าต้องรอสักหลายเดือนถึงจะหายดีได้ นั่งนี่ก่อน พาชิงจือไปโตไปอย่างเต็มอกเต็มใจดีกว่า”

กู้อ้าวเวยจ้องเขา กลับถูกสายตาคมของกุ่ยเม่ยโต้กลับไป

“อีกทั้งเรื่องราวก็กลับมามีโอกาสแล้ว” กุ่ยเม่ยโค้งตัวอุ้มพยุงกู้อ้าวเวยขึ้นมา พลางพูดเสียงเบา

“จริงหรือ” ดวงตาของกู้อ้าวเวยสว่างขึ้นทันที รีบเอาชิงจืออุ้มมาในอ้อมอกของตนเอง

“น้าจางบอกว่า องค์ชายสามไม่สามารถทนนิ่งดูดายกับเรื่องนี้ได้ จะช่วยเจ้าหาคนร้ายให้ได้” กุ่ยเม่ยพยักหน้า เสียงเล็กมาก คนที่แอบอยู่ด้านนอกประตูแน่นอนว่าก็คงไม่ได้ยิน

ดวงใจของกู้อ้าวเวยดวงนี้ถึงจะเอาวางกลับไปได้ เดิมทีตามแผนการของนางคือต้องเกลี้ยกล่อมซ่านจินจื๋อ

แต่น่าเสียดาย ลมหิมะได้ทับความชอบธรรมของนางไป

นางที่แตกต่างเช่นนี้ จะไปเทียบกับแสงจัทร์สีขาวในใจของซ่านจินจื๋อได้เช่นไรกัน มันไม่เหมือนกันอยู่แล้ว

นั่งอยู่บนรถลาก ก็ได้แต่อวยพรให้ขาของตนไม่มีอันตรายใดๆ เอาชิงจือวางนั่งอยู่ด้านบนพอดีเหมาะเจาะเลย แม้ว่าชิงจือจะเป็นลูกของป่ายเหลากุ่ยผู้ที่ชำนาญวรยุทธ์ แต่กลับน่ารักน่าเอ็นดูมาก เบิกตากว้างพิงอยู่ในอ้อมอกของกู้อ้าวเวย เสียงเรียกแม่ “ท่านน่ะ......แม่”

“น่ารักเสียจริง เจ้าจะนำพาโชคดีมาให้ข้า” กู้อ้าวเวยอุ้มเด็กหนุ่มตัวน้อยจูบไปหนึ่งที

ชิงจือถูกจูบไปด้วยหน้าที่เต็มไปด้วยน้ำลาย แต่กลับร้องไห้ขึ้นมา

กู้อ้าวเวยรีบร้อนรนปลอบ แต่กลับโดนถูกแผลบนมือ ปวดจนต้องสูดหายใจเข้าลึกๆ

กุ่ยเม่ยรีบพุ่งเข้ามาเอาตัวชิงจือรับข้ามมา หลังจากปลอบเสร็จจึงดูบาดแผลบนมือของกู้อ้าวเวย ยังมองดูหน้าที่ขมขื่นของนางด้วย ถามนางว่า “เจ้าบอกเองนะว่าจะไม่เป็นโรคเรื้อรังแน่นอน”

“ใช่ ไม่เป็นโรคเรื้อรัง บาดแผลยังไงก็ต้องดีขึ้น” กู้อ้าวเวยโกหกหน้าตาย

“หมอกำชับไว้เป็นพิเศษว่า วันหน้าขาของเจ้าหากถึงช่วงฤดูหนาว เกรงว่าจะไม่คล่องแคล่วเหมือนเดิมนัก” กุ่ยเม่ยมองนางด้วยสายตานิ่งๆ กู้อ้าวเวยรู้สึกผิดจนไม่พูดอะไร เคาะไปที่หัว

กุ่ยเม่ยนวดหัวของชิงจือ อีกทั้งยังนวดหัวของนาง ยืนอยู่ที่ใต้หลังคามองดูหิมะอย่างเงียบๆ

ผ่านไปไม่นานนัก น้าจางก็ยกน้ำซุปรากบัวกระดูกหมูวิ่งเข้ามา ทุกคนก็กลับเข้าห้องไปอย่างครึกครื้น

เฉิงยีที่แอบฟังอยู่ด้านหลังจวนก็ค่อยๆ จากไปอย่างเงียบๆ รีบก้าวเดินเข้าไปที่ห้องหนังสือของซ่านจินจื๋อ นำคำพูดเมื่อครู่รายงานออกไป กลับไม่ได้ยินเรื่องที่องค์ชายสามให้ความช่วยเหลือเลย

สีหน้าของซ่านจินจื๋อดูอ่อนลงเล็กน้อย “ดุไปแล้วนางคงจะวางเรื่องตระกูลหยุนลงได้บ้างแล้ว ส่งคนไปส่งของบำรุงและขนนวมชั้นดีไป แล้วก็ให้หมอที่จี้ซื่อถาง (ร้านขายยา) เข้ามาดูวันละสามหน”

“ครับ” เฉิงยีรีบไปจัดการ

กู้จี้เหยาที่กำลังฝนหมึกอยู่ได้ยิน ในใจเกิดความเจ็บปวดขึ้น แต่กลับพูดเสียงเบาๆ ว่า “ท่านพี่ยังชอบกินพวกของหวานอาหารว่าง แต่กลับไม่ชอบกินยาสักเท่าไหร่นัก”

“ค่อยส่งพ่อรัวทำของว่างไปรออยู่” ซ่านจินจื๋อยกมือขึ้นเบาๆ มองกู้จี้เหยาอย่างเข้าตาขึ้นเยอะเลย

ซูพ่านเอ๋อและกู้อ้าวเวยต่างคนต่างก็มองฝ่ายตรงข้ามไม่เข้าตาอยู่แล้ว แต่กู้จี้เหยาดูเชื่อฟัง อีกทั้งยังไม่ก่อเรื่อง บวกกับเรื่องเมื่อคราวก่อน ในใจของซ่านจินจื๋อก็รู้สึกผิดต่อนางจริงๆ

พูดคำพูดนี้จบ กู้จี้เหยาก็ไม่พูดสิ่งใดอีก

ซ่านจินจื๋อก็มองดูนางอยู่หลายครั้ง แล้วจึงพูดขึ้นว่า “เจ้าก็ไปอยู่เป็นเพื่อนนาง รอจนตอนที่หิมะหมดแล้ว โทษของตระกูลหยุนก็คงจะออกมาแล้วล่ะ”

“เพคะ ท่านอ๋อง” กู้จี้เหยาพยักหน้ารับคำ

ก็ไม่รู้เช่นกันว่าผ่านไปนานเพียงใด กู้จี้เหยาถึงจะได้ยินซ่านจินจื๋อพูดด้วยน้ำเสียงนุ่มนวล “หากมีวันหนึ่ง เจ้าอยากออกจากตำหนักอ๋องไปหาคนอื่นที่เป็นคนดี ข้าจะไม่ทำให้เจ้าลำบากใจเด็ดขาด วันหน้า ข้าเกรงว่าจะไม่มีใจให้เจ้าแล้ว”

ท่าทางของกู้จี้เหยาอึ้งนิ่งไป เงยหน้าขึ้นมา เห็นสีหน้าของซ่านจินจื๋อเย็นชา ในใจเจ็บปวดทิ่มแทง “งั้น......รอให้ข้าหาคนดีให้ได้เสียก่อนค่อยว่ากันเถอะ หากไปตอนนี้......ตามชื่อเสียงที่เป็นลูกสาวของขุนนางผู้ต้องโทษนั้นกลัวว่าจะ......”

“แล้วแต่เจ้า” ซ่านจินจื๋อพูดอย่างตามสบาย ก็ดูรายงานที่อยู่ในมือต่อ

กู้จี้เหยากัดปากล่างอย่างแน่น ในตำหนักอ๋องจิ้งที่ยิ่งใหญ่แห่งนี้ หรือว่าจะไม่มีที่ที่จะให้นางได้ลืมตาอ้าปากเลยหรือ

นอกจากแสร้งทำเป็นว่าง่ายแล้ว มันจะต้องมีวิธีการอื่นใดอีกกันนะ คิดถึงตรงนี้ แววตาของกู้จี้เหยาก็ค่อยๆ เปลี่ยนเป็นเย็นชาขึ้นมา พูดด้วยเสียงต่ำว่า “ท่านอ๋อง หมอเมี่ยวหารที่ติดตามแม่นางซูเข้าตำหนักมาด้วยกันนั้น เมื่อวานตอนหิมะตก ข้าเหมือนกับได้ยินพวกคนรับใช้พูดกันว่า บาดแผลบนตัวของแม่นางซูทรุดโทรมลงไปอีกแล้ว แต่หมอเมี่ยวหารยังไงก็ไม่ยอมให้สาวใช้ใส่ยา”

พู่กันในมือของซ่านจินจื๋อหยุดชะงักไป

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: บุบผาร้อยเสน่ห์