บุบผาร้อยเสน่ห์ นิยาย บท 375

บทที่ 375 อำนาจขององค์ชายสาม

เช้าวันถัดมา เสียงกลองหน้าศาลาว่าการเมืองเทียนเหยียนได้ดังขึ้น

หวางโม่ในชุดสีดำนั่งไขว่ห้างอยู่หน้าศาลาว่าการเมือง ในมือยังคงถือโหลใส่เถ้ากระดูกอยู่สองใบ และพู่กันที่หมึกแห้งอยู่นานแล้วด้ามหนึ่ง

และที่ประตูใหญ่ของศาลาว่าการ มีอักษรความไม่เป็นธรรมเขียนไว้อย่างตั้งใจ เจิ้งฉิงคุนได้พาผู้อพยพเข้ามาคุกเข่าอยู่เบื้องหน้าศาลาว่าการ ผู้รักษาที่ประทับขององค์ชายสามได้คุ้มครองการเดินทางของพวกเขา

ผู้นั่งบนหลังม้าที่อยู่ข้างหลัง ซ่านเซิ่งหานในชุดขุนนาง ขณะที่กำลังมองประตูศาลาว่าการเมืองเทียนเหยียนเปิดออก ได้ขี่ม้าไปบนถนนของเมืองเทียนเหยียน ตลอดทางไปจนถึงท้องพระโรงของพระราชวัง เพื่อถวายรายงานเรื่องการระบาดแก่พระบิดา

และในมุมด้านหนึ่งที่ไม่ไกลออกไป กู้อ้าวเวยและกุ่ยเม่ยกำลังนั่งอยู่ที่แผงขายเกี๊ยวน้ำ นั่งรอดูสิ่งที่เกิดขึ้นที่นั้น

กู้อ้าวเวยกินเกี๊ยวน้ำในมือหมดไปอย่างรวดเร็ว จึงร้องเรียกขอเพิ่มอีกหนึ่งถ้วย เคาะไปยังชามของกุ่ยเม่ย “ดูดีๆนะ จำไว้ให้แม่น”

“จำอะไร” กุ่ยเม่ยยังไม่เข้าใจ เปลี่ยนตะเกียบในมือของกู้อ้าวเวยเป็นช้อน แล้วมองนาง ว่าทำไมถึงใช้ตะเกียบกินเกี๊ยวน้ำได้ดี

“ก้าวแรกของการพลิกแผ่นฟ้า” กู้อ้าวเวยขำเขาอย่างหนัก ดวงตาค่อยๆหรี่ลงจนเป็นเส้นเดียว

“ก่อนจะถึงวันนี้ ใคร ๆก็รู้แต่เพียงว่าเมืองเทียนเหยียนมีองค์ชายสามที่ไม่เคยออกจากที่ประทับเลย แต่หลังจากนี้ไป ผู้คนในชางหลานจะได้รู้ว่าองค์ชายสามซ่านเซิ่งหานกำลังเดินอยู่ตามเส้นทาง และพร้อมที่จะเดินบนเส้นทางของจักรพรรดิ”

เมื่อจบประโยคนี้ คนรอบข้างที่กำลังกินเกี๊ยวน้ำอยู่ได้มองไปยังประตูด้วยความแปลกประหลาดใจ

คนจำนวนมาก องค์ชายสามผู้ไม่เคยมีใครอยู่ในสายตาในเวลานั้น แต่ในวันนี้ ทำไมถึงได้เปลี่ยนไปได้

ผู้คนทั่วไปไม่มีใครรู้ แต่กุ่ยเม่ยกลับรู้ 

จดหมายจำนวนมากที่กู้อ้าวเวยส่งไป จึงทำให้องค์ชายสามทำสิ่งลับๆต่าง ๆมากมาย

และในตอนเที่ยง ทิศทางลมก็เปลี่ยนไปอย่างมาก

องค์ชายสามซ่านเซิ่งหานได้สนับสนุนให้มีการปลูกสนามหญ้าเพื่อลดปัญหาน้ำท่วมพื้นที่ และในทุกปีก็จะรับสมัครคนมาทำนุบำรุง อีกทั้งยังให้เจ้าหน้าที่ราชสำนักเขียนร่างแผนการพัฒนาแม่น้ำ กระจายน้ำจากพื้นที่สมบูรณ์ไปยังพื้นที่แห้งแล้ง และทำการลดภาษีสามเดือนในช่วงภัยพิบัติ

อีกเรื่องหนึ่งตามที่ได้ปรึกษากับกู้อ้าวเวยมาแล้วก่อนหน้านี้ การแบ่งคัดเลือกกำลังทหารออกเป็นปีละสองครั้ง สรรหาตามความสามารถ เจ้าหน้าที่รับผิดชอบระดับห้าขึ้นไปเป็นอภิมนตรีจำนวนหนึ่งร้อยยี่สิบคน ตรวจเยี่ยมการทำงานทั้งสี่ฝ่ายในทุกปี ยกเลิกความผิดของทั้งเก้าเผ่า ให้ลูกหลานรุ่นหลังของผู้กระทำผิดสามารถทำมาหากินของตนได้ จัดตั้งสถานศึกษาเอกชน จัดแบ่งประเภทสถานศึกษาออกเป็นบุ๋นและบู๊...  

เหนือขึ้นไปเป็นเรื่องสำคัญของใต้หล้า ด้านล่างเป็นการปกป้องขุนนางเมืองเทียนเหยียน ส่วนโรงเรียนเอกชนที่มีราคาแพงและรับสมัครแต่เพียงลูกหลานขุนนางนั้น ให้รอไปก่อน 

พูดอย่างต่อเนื่องมากว่าหนึ่งชั่วโมง เพิ่งจะเป็นครั้งสุดท้ายที่เขาพูดถึงเรื่องการจัดการการแพร่ระบาดของอ๋องจิ้ง แต่กลับไม่พบอคติใด ๆ “ด้วยความเก่งกาจของเสด็จลุง ช่วยให้หลายคนมีการงานที่ดี เพียงแต่เรื่องที่ปิดบังไว้ทำไม่ดีเท่าไร ข้าขอหารือกับเสด็จพ่อเพียงเรื่องนี้ ก่อนอื่นขอให้ส่งคนมาช่วยเหลือผู้คนที่กำลังตกอยู่ในอันตราย ตรวจสอบเรื่องนี้อย่างละเอียดรอบคอบ อย่าล้อเล่นหงุดหงิดรำคาญกับชีวิตของประชาชน

เดิมทีแล้วฮ่องเต้ได้ยินเพียงสั้นๆเรื่องการปิดบังก็โกรธมาก แต่ด้วยซ่านเซิ่งหานค่อยๆพูดอย่างใจเย็นทีละประโยค เขากลับสงบลงไม่น้อย ยินยอมที่จะจัดส่งคนลงไปให้เท่านั้น จากนั้นก็ให้คนจดบันทึกเรื่องที่องค์ชายสามพูดไว้ไปจัดการให้ดี และให้คนไปตรวจสอบทีละคน คิดหาหนทางที่เป็นไปได้ หลังจากนั้นก็ให้แต่งตั้งเป็นวาระห้าปี เรื่องการจัดการน้ำก็ยกให้เป็นอำนาจขององค์ชายสาม

และข่าวคราวนี้กลับเป็นฉีหรัวและเสี่ยวหลินสองพี่น้องที่เป็นคนนับกลับมา

เมื่อฟังข้อความเหล่านี้จบ กู้อ้าวเวยที่กำลังนั่งอยู่ในร้านอาหารป่ายเว่ยก็วางใจลงได้ กินอาหารต่ออย่างมีความสุข “เขามีความสามารถจริงๆ” 

“สิ่งเหล่านี้เป็นสิ่งที่เจ้าสอนเขาพูดไม่ใช่หรือ” ฉีหลินพูดจ้อกแจ้ก เขาไม่ค่อยจะมององค์ชายสามในทางดีสักเท่าไร เพียงแค่รู้สึกว่าความจิตใจดีขององค์ชายสาม ต้องพึ่งพากู้อ้าวเวยมาโดยตลอด

หยินเชี่ยวจ้องมายังเขา นำอาหารใส่เข้าปากของเขาเพื่อให้หยุดพูด ฉีหลินทำอะไรไม่ถูก จึงยากที่จะพูดต่อ 

เดิมทีจูเซและจูเย่นไม่ได้คิดจะติดตามไป แต่ทั้งคู่ก็ล้วนชื่นชอบหยินเชี่ยวมาก จึงกล้าออกหน้าอย่างไม่ละอาย จูเซจึงพูดออกไปอย่างไว พูดอย่างเยือกเย็น “ข้าว่าอ่อนโยนจะตายไป ไม่เห็นจะมีความสามารถอะไร”

ฉีหรัวถือถ้วยไว้ และคิดอย่างรอบคอบ “ดูแล้วองค์ชายสามก็ไม่ได้มีความชาญฉลาดอะไร คำพูดพวกนี้ไม่เหมือนเขาพูดเองเลย

“ข้าเป็นคนช่วยเขาปรับเปลี่ยนคำพูดพวกนี้เอง เพราะก่อนหน้านี้ฮ่องเต้ได้เรียกข้าไปพบ ข้าเข้าใจมุมมองของฮ่องเต้และไทเฮา” กู้อ้าวเวยยิ้มอ่อนๆ ตีไปยังตัวของกุ่ยเม่ย “ข้าพูดไม่ผิด พวกเขาไม่มีทางเชื่อหรอก.....”

กุ่ยเม่ยเหมือนจะรู้อะไรบางอย่าง ถูจมูกอย่างร้อนตัว “ถ้าไม่ใช่ว่าเจ้าพูดให้ข้าฟังอยู่สองชั่วโมง ข้าก็คงไม่เชื่อเหมือนกัน”

“จริง ๆแล้วมันเกิดอะไรขึ้น” จูเย่นมองไปที่นางอย่างอดไม่ได้ ทุกคนล้วนดูออก ไม่ชอบให้มาเล่นตัว

“เรื่องพวกนี้ถูกวางแผนโดยองค์ชายสามทั้งสิ้น คิดๆดูก็เจ็ดปีแล้ว เขาให้คำปรึกษามายกับฮ่องเต้ ฮ่องเต้ให้ตอบคำถามแทบจะทีละคนๆเพื่อให้ถูกต้อง เกรงว่าเขาคงพูดถึงมันมาแล้วหลายต่อหลายครั้ง และในวันนี้เป็นครั้งแรกที่ฮ่องเต้ต้องเผชิญหน้ากับเขา” กู้อ้าวเวยดึงใบหน้าของนางและยิ้ม “และเท่าที่ข้ารู้ ในเมืองเทียนเหยียนแห่งนี้หลายแห่งก็เป็นคนของเขา ไม่น่าแปลกใจที่ชาวเมืองเทียนเหยียนจะปฏิเสธคนต่างถิ่นที่นี่ทุกตารางนิ้วล้วนแต่มรเจ้าของ”

ทุกคนล้วนตกใจมาก ฉีหรัวค่อยๆขมวดคิ้ว “ทำไมพวกเราถึงไม่รู้สึก”

“เป็นเพราะก่อนหน้านี้พวกเจ้าไม่ได้รู้จักองค์ชายสามคนนี้เลย” กู้อ้าวเวยกลืนไม่เข้าคายไม่ออก

ในที่สุดทุกคนก็เข้าใจ ก็ได้รู้ถึงเข้าใจว่าทำไมองค์ชายสามถึงทำแบบนี้ เก็บหอมรอมริบอยู่นาน เพียงแต่เหตุการณ์นี้ทำให้เผยออกมา

ทุกคนกินข้าวไปด้วยความคิดที่เต็มหัว จูเซบอกไปหลายครั้งแล้วว่าราชวงศ์นี้ไม่ได้มีอะไรดี จูเย่นยังไม่กล้าที่จะเห็นด้วย

แต่เรื่องนี้ได้เป็นที่ยุติลงตัวแล้ว เมื่อรับประทานมื้อเย็นเสร็จทุกคนก็ต่างแยกย้ายกันไป กู้อ้าวเวยได้ถือกล่องยาตามฉีหรัวกลับไปตำหนัก องค์ชายสี่ถูกวางยาคราวนี้ค่อนข้างมากพอควร ยังไม่รู้สึกตัวเต็มที่ ลี่วานคอยดูอยู่ตลอดคืน แม้แต่น้ำสักหยดก็ยังไม่ได้ดื่ม

กู้อ้าวเวยวางกล่องข้าวลงบนโต๊ะ แล้วร้องเรียกนาง

ลี่วานมองมาที่นางด้วยตาสีแดงก่ำ “ข้าได้ยินเรื่ององค์ชายสามแล้ว”

“เรื่องนี้ไม่เกี่ยวอะไรกับเจ้า” กู้อ้าวเวยขมวดคิ้ว

“หากองค์ชายสามครองราชย์บัลลังก์ได้สำเร็จ ข้าและองค์ชายก็คงจะจะไม่รู้ไปอาศัยพักจิตใจหาความสงบที่ใด เจ้าพูดอยู่เสมอว่าองค์ชายเป็นเพื่อนที่ดีของเจ้า ทั้งยังเป็นพระชายาของอ๋องจิ้ง เจ้าจึงไม่เคยคิดถึงเรื่องพวกนี้เลยใช่ไหม” ลี่วานพูดด้วยเสียงที่ดังขึ้นเรื่อย ๆ และน้ำตาก็ได้ไหลออกมา

หากเป็นก่อนหน้านี้ กู้อ้าวเวยก็คงจะรีบจากไปอย่างไม่ลังเลแน่นอน

หลังจากฟังความรู้สึกของลี่วาน จึงส่งเสียงจุ๊ขึ้นมาเบาๆ จากนั้นตบหน้าลีวานไปหนึ่งครั้ง   

“ตื่นได้แล้ว คนที่ไม่เคยทำร้ายองค์ชายสี่ คือข้า” กู้อ้าวเวยมองไปยังแก้มที่แดงของนาง มือข้างหนึ่งจับอยู่ที่คางของนาง บังคับให้มองไปยังซ่านเชียนหยวน แล้วพูดกระซิบข้างหูนาง “เจ้าก็ดี ซ่านจินจื๋อก็ดี อย่าได้คิดเอาเหตุขององค์ชายสี่มาถามกับข้า เจ้าดูความปรารถนาของตัวเองให้ดีเถอะ จริง ๆแล้วก็อยากจะอยู่เบื้องหลังราชบัลลังก์ หรือไม่ก็ได้รับแต่งตั้งแต่ชายา หรือ...จะใช้ชีวิตที่เหลือกับซ่านเชียนหยวน

พูดจบ กู้อ้าวเวยก็ออกจากห้องไปโดยไม่หันกลับมามอง กุ่ยเม่ยที่ยืนอยู่ที่ประตูก็ลืมตาขึ้นแล้วพูดว่า “เจ้าควรจะทำตัวเป็นคนดี” 

“เรื่องที่คนดีเขาทำกัน ใช้ไม่ได้กับพวกคนเลว” กู้อ้าวเวยหันไปมองกุ่ยเม่ย พูดอย่างอดไม่ได้ “เจ้ารู้ได้อย่างไรว่าเรื่องที่ข้าทำวันนี้เป็นเรื่องที่ดี ตราบใดที่ผลสรุปมันยังไม่ออกมาอย่างแน่นอน เจ้ายิ่งมองไม่ออกหรอกว่าจะถูกหรือจะผิดจะดีหรือจะเลว”

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: บุบผาร้อยเสน่ห์