บุบผาร้อยเสน่ห์ นิยาย บท 391

บทที่ 391 ใครออกหน้าใครตาย

กู้อ้าวเวยอึ้งไปชั่วครู่ มิน่าองค์ชายสามถึงได้กำเริบเสิบสารขนาดนี้ เมิ่งซู่อยู่ในตำแหน่งมานานแล้ว ดูๆ ไปแล้วเรื่องเรื่องนี้เขากับฮ่องเต้คงจะจัดการแก้ไขได้นานแล้ว

ในระยะเวลาสั้นๆ เช่นนี้เกิดเรื่องเยอะแยะขึ้นมากมาย ลูกหลานตระกูลฉีทั้งหลายไม่เคยชินกับการเปลี่ยนแปลงที่เร็วขนาดนี้

ในเมืองเทียนเหยียนรากที่ฝังลึกนั้นบัดนี้โดนกำจัดเกือบหมดแล้ว บัดนี้มีบางคนยังไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น แต่ฟังที่หยินเชี่ยวกับจื่อพูดแล้ว ขุนนางที่ไปปรึกษาหารือกันที่ทิงเฟิงโหลนั้น ล้วนเข้าข้างเมิ่งซู่ทั้งนั้นไม่มีใครอยู่ข้างองค์ชายสาม

แม้ไม่รู้ว่าซ่านเซิ่งหานที่เป็นหนึ่งในนั้นทำอะไรไป แต่กู้อ้าวเวยก็อดที่จะกล่าวนับถือหนึ่งคำไม่ได้

ซ่านเซิ่งหานช่างเป็นคนที่เราคาดไม่ถึงจริงๆ

“ต่อไป กลัวว่าทั่วทั้งเทียนเหยียนก็คงจะใจตุ๊มๆ ต่อมๆ กัน” ฉีหรัวยกถ้วยขึ้นแล้วถอนหายใจ

“ที่จริง แขกที่มาที่ทิงเฟิงโหลไม่น้อยล้วนพูดกันว่าจิตใจเบื้องบนนั้นคาดเดาได้ยากจริงๆ อีกทั้งยังบอกว่าคนส่วนพระองค์ของฮ่องเต้ไปมาหาสู่กับขุนนางใหญ่โตไม่น้อยเลย บอกว่าเกรงว่ารอบนี้ฮ่องเต้จะเอาจริง จะเอาความมั่นคงหลายร้อยปีที่ผ่านมานี้พลิกไปมา” จื่อดื่มน้ำไปหนึ่งคำ กลั้วปาก แล้วรีบพูดขึ้น

“ตอนนี้ใครออกหน้าก็เท่ากับว่าคนนั้นตาย” ฉีหลินพูดประโยคหนึ่งขึ้นทันที

คนหลายคนมองดูเขาเป็นตาเดียวกัน กู้อ้าวเวยก็ตบบ่าของเขาด้วยรอยยิ้ม “ไม่เลว สามารถมองเรื่องได้ทะลุปรุโปร่ง”

ฉีหลินยังรู้สึกภูมิใจเล็กน้อย หยินเชี่ยวพิงอยู่บนบ่าของเขาแล้วค่อยๆ ยิ้ม “งั้นแบบนี้ก็หมายความว่า หากถึงเวลาที่พวกเราต้องแยกจากกันแล้ว น้าจู้กับพี่น้องตระกูลจูพวกเขาจะทำเช่นไร ยังมีเสี่ยวเจอีก

คนทั้งหลายมองไปที่กู้อ้าวเวย บัดนี้แม้แต่ฉีหรัวก็มองนางอย่างตาปริบๆ

กู้อ้าวเวยคิดไปคิดมาอย่างละเอียดรอบคอบ ปรบมือขึ้นแล้วพูดว่า “ก็มอบหมายหน้าที่ให้เจิ้งฉิงคุนพวกนั้นไปหาคนมาจัดการ น้าจู้กับพวกพี่น้องตระกูลจูพวกเขามีที่ไปแน่นอน รอองค์ชายสี่......ไม่ ตอนที่อ๋องจงผิงจากไปค่อยให้พาพวกเจ้าไปด้วย ที่อื่นก็มีสมุนไพรที่แตกต่างกัน พวกเจ้าอาจจะสามารถหาได้มากกว่าที่สำนักเยียนหยู่เก๋อก็ได้

“ก็ฟังตามคุณหนูละกัน” หยินเชี่ยวพยักหน้า แม้ว่านางยังจับต้นชนปลายได้อย่างชัดเจน แต่สิ่งที่คุณหนูพูดก็ล้วนเป็นสิ่งที่ถูกอยู่แล้ว

“ใช่แล้ว ใต้เท้าเมิ่งดูเหมือนว่าจะเป็นฮู่ปู้ช่างชู( เสมียนผู้ช่วกระทรวงครัวเรือน) คนก่อนหน้านั้นบอกว่ามีเกี่ยวข้องกับหอนางโลม อีกทั้งยังค้ามนุษย์โดยส่วนตัวอีก อีกทั้งยังคอยให้ท้ายปกป้องพวกโจรในหลายเมืองอีก ศีรษะก็หายไปแล้ว” จื่อพูดต่อ

หลายคนตรงนั้นต่างพากันตกใจ ดูๆ ไปแล้วครั้งนี้ฮ่องเต้ก็เชื่อในความจริง

แต่ละคนคิดพิจารณาว่าวันต่อไปข้างหน้าจะทำอย่างไรกัน จู่ๆ ยู่จูก็เดินเข้ามาในตอนนั้น ข้างกายยังมีหวางโม่ที่แขนได้รับบาดเจ็บด้วย หวางโม่แต่งกายด้วยชุดขาวทั้งตัว ดูสง่าผ่าเผยมากกว่าแต่ก่อนเยอะเลย พอเข้ามากยิ้มน้อยๆ กับกู้อ้าวเวย “คิดไม่ถึงว่าข้าหวางโม่วันหนึ่งจะกลายเป็นก้างขวางคอไปได้”

กู้อ้าวเวยมองเขาอย่างไม่รู้จะทำอย่างไร “เจ้านี่น่าแปลกจริง”

“ข้าไม่ได้แปลกหรอก วันนี้มา จะมาทวงหลี่เยน เจ้าเด็กโง่นั่นถูกทำให้ตกใจ คิดไม่ถึงว่าจะกล้าจะกล้ามาปะปนรวมกับนางรำต่อหน้าพวกเจ้า” หวางโม่นั่งลงอย่างสบายใจ ยู่จูมองเขาอย่างไม่มีคำพูดใด ส่ายหัวต่อกู้อ้าวเวย หมายความว่า ควบคุมเขาไม่ได้

กู้อ้าวเวยได้แค่ให้พวกเขาแยกย้าย แค่เหลือตัวเองกับหวางโม่สองคน เลยพูดกับเขาสักสองสามประโยค “อีกสักครู่ข้าจะกลับไปตำหนักอ๋องพาหลี่เยนออกมา หลายวันนี้เจ้าหยุดพักสักหน่อย ช่วยข้าดูแลร้าน”

“พระชายา ท่านฉลาดมาก ช่วยตระกูลฉีไว้ ท่านได้ประโยชน์อะไร” หวางโม่ยกถ้วยน้ำชาขึ้น หลับตาแล้วมองดูกู้อ้าวเวย “จากที่ข้าดู พวกเจ้าคนที่มีอำนาจเหล่านี้ จะไปสนใจความเป็นความตายของคนตัวเล็กๆ ได้อย่างไร ถึงเวลาจะหลอกใช้ประโยชน์อะไรจากพวกเราอีกก็ไม่รู้”

“คนหรือ หลอกใช้ประโยชน์ซึ่งกันและกันก็เป็นเรื่องธรรมดาอยู่แล้ว” กู้อ้าวเวยได้แต่ยิ้มให้กับหวางโม่

หวางโม่ฉลาดมาก แต่เป็นคนที่ตรงไปตรงมามากเกินไป ก็เลยไม่เหมาะที่จะเป็นขุนนาง

พูดคุยกันตามสบายไปสักพัก พูดถึงเรื่องที่เกิดขึ้นในหลายวันนี้พอประมาณ กู้อ้าวเวยก็กลับตำหนักอ๋องไปอย่างช้าๆ

บัดนี้ในราชสำนักเรื่องอะไรก็ตามล้วนเกิดขึ้นได้ หลายวันมานี้กู้เฉิงก็ควรจะมีการเคลื่อนไหวอะไรบ้าง แต่นางกลับไม่มีปฏิกิริยาใดๆ แก้ปัญหาเรื่องของสถานที่ถูกปิดเอาไว้ระหว่างตระกูลฉีกับองค์ชายสี่ นางกลับตัดสินใจที่จะกักขังตนเองอยู่ในร้านยาเหย้าของตน

กลับถึงตำหนักอ๋องก็พาหลี่เยนออกมา หญิงสาวที่อรชนนี้ผมสีเทาหน้าตามอมแมม ก็ฟังกู้อ้าวเวยพูดว่า “เกี๊ยวน้ำของท่านปู่เจ้าอร่อยดีนะ เจ้ามาส่งให้ข้าที่ร้านยาเหย้าทุกเช้าได้หรือไม่”

“งั้นท่านชายหวางโม่......”

“เขามีคนคอยปกป้งอยู่แล้ว เจ้าไม่ต้องเป็นกังวลหรอก” กู้อ้าวเวยเอาเงินให้นาง “จำไว้ว่าต้องส่งเกี๊ยวน้ำให้ข้าทุกวันล่ะ”

หลี่เยนมองดูกู้อ้าวเวย เป็นถึงพระชายาจิ้งแท้ๆ ทำไมถึงได้จดจำเกี๊ยวน้ำกัน

กู้อ้าวเวยก็ไม่ได้อยู่ที่ตำหนักนาน เกรงว่าจะเจอเข้ากับซ่านจินจื๋อ จึงรีบห่อแล้วกลับไปที่ร้านยาเหย้า ปิดประตูไม่ออกไหนอยู่กับยู่จูสองคน รอจนพิธีสมรสวันนั้น

พอคิดถึงพิธีสมรส ในหัวของกู้อ้าวเวยก็วุ่นวายไปหมด ใบยาที่อยู่ข้างมือก็ถูกลมพัดไป

ยู่จูที่อยู่นอกหน้าต่างก็รีบคว้าใบยาเอาไว้ หยิบของมาทับเอาไว้ มองกู้อ้าวเวยอย่างไม่รู้ว่าจะพูดอะไรดี “แต่งกับอ๋องจิ้งคนแบบนี้ได้ ก็เป็นเรื่องที่ดีจริงๆ เหตุใดเจ้าถึงดูไม่มีความสุขเลย”

“ก็แค่ไม่อยาก” กู้อ้าวเวยวางพู่กันลงอย่างบอกไม่ถูก เอนลงกับเก้าอี้อย่างอ่อนเพลีย “เพียงแค่ว่าง ในหัวก็มีแต่เรื่องอะไรยุ่งเหยิงเต็มไปหมด เปลี่ยนเป็นยุ่งดีกว่า ออกความคิดดีๆ ให้พวกเขา”

ยู่จูก็ไม่พูดอะไร ได้แค่นั่งอยู่ตรงนั้นเป็นเพื่อนนาง เงยหน้ามองท้องฟ้าที่เริ่มลับขอบฟ้า

แต่หลายวันนี้ กู้อ้าวเวยได้แค่ศึกษาถึงสมุนไพรแต่ละชนิด บางครั้งก็ตำราเก่าแก่จำนวนหนึ่ง ตอนที่ว่างไม่มีอะไรทำก็วิ่งไล่แมววิ่งขึ้นบนลงล่างไปมา บางครั้งก็ฝึกเพลงดาบ แต่บางทีก็น่าเบื่อ

รอจนถึงวันนี้ ฝนตกพรำๆ จื่อกับยู่จูต่างพากันเข้านอนแต่หัวค่ำ

กู้อ้าวเวยมองดูหลี่เยนที่จะพกกระดาษโน้ตเล็กๆ มาด้วยทุกเช้า และยังรู้ถึงเรื่องราวปัจจุบันอีก บางครั้งซ่านจินจื๋อก็มานอนกับนางด้วยกัน สองคนปรึกษาหารือกันเรื่องที่จริงจัง กู้อ้าวเวยก็ช่วยออกความคิดหน่อย

วันนี้ซ่านจินจื๋อมาที่นี่แค่เพียงส่งม้วนรูปไม่กี่รูปแล้วก็จากไป ตอนกลางคืนเกรงว่าจะไม่มาแล้ว

แต่ลมเย็นพัดไหวไปมา กู้อ้าวเวยเงยหน้าขึ้นมอง ก็เห็นเงาของคนอยู่ใต้หลังคาห้อง

บัดนี้ซ่านเซิ่งหานที่ควรจะยุ่งมากกลับเดินเข้ามา ยังช่วยนางปิดประตูและหน้าต่างอีก “ตอนกลางคืนฝนตก อีกทั้งลมยังแรง ทำไมถึงไม่ปิดประตูหน้าต่าง”

“เจ้าช่างเหมือนกับซ่านจินจื๋อเสียจริงเชียว” กู้อ้าวเวยมองเขาอย่างบอกไม่ถูก “วันนี้มาเยือนมีธุระอะไรหรือไม่”

“ข้ากำลังสืบเรื่องตระกูลหยุนให้เจ้าอยู่ เจ้าก็ควรจะช่วยข้าด้วยเช่นกันมิใช่หรือ” ซ่านเซิ่งหานยกปากขึ้นไปมา ในมือกำจดหมายอยู่หนึ่งฉบับ

ในเมื่อถูกซ่านเซิ่งหานข่มขู่ กู้อ้าวเวยก็ไม่กลัวเช่นกัน ได้แค่พยักหน้า “ข้าช่วยเจ้าชิงตำแหน่งฮ่องเต้ แต่เรื่องที่ไม่เป็นประโยชน์ต่อประชาชนข้าไม่ทำ”

“ในเมื่อเจ้ารับปากแล้ว จดหมายนี้ก็ควรให้เจ้า” ซ่านเซิ่งหานพยักหน้า ส่งมอบจดหมายฉบับนั้นให้กับมือของกู้อ้าวเวยอย่างเคร่งขรึม สีหน้าสง่างาม “หลังจากอ่านแล้ว เจ้าอย่าได้โมโหจนเกินไปล่ะ”

กู้อ้าวเวยแปลกใจ ก็เปิดจดหมายฉบับนั้นแกะออก ในนั้นกลับมีกระดาษอยู่สามแผ่น หนึ่งแผ่นในนั้นถูกย้อมเป็นสีเลือด กู้อ้าวเวยก็เคยเห็น นี่ก็คือเมื่อตอนที่ตระกูลหยุนถูกใส่ร้ายตอนนั้น เป็นหนึ่งแผ่นในนั้น

แต่หลังจากที่ได้ดูของที่อยู่ในนั้นอย่างชัดเจน นัยน์ตาของกู้อ้าวเวยก็เข้มขึ้นมาทันที จับไปที่หน้าอกของตนเองเพื่อไม่ให้เลือดในปากนั้นพุ่งออกมาได้

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: บุบผาร้อยเสน่ห์