บุบผาร้อยเสน่ห์ นิยาย บท 554

บทที่ 554 ยาอมตะ

“ในช่วงสงคราม คงไม่มีใครคิดว่าความคิดของศัตรูนั้นบริสุทธิ์”

กู้อ้าวเวยโยนจดหมายจากกู่เซิงลงไปในน้ำ เห็นว่าตัวอักษรด้านบนต่างเลือนร่างไม่ชัดเจนแล้ว จึงหันหน้าไปมองทางซ่านจินจื๋อ “ท่านว่า หากกู้เฉิงรู้เข้าในสักวันว่าข้าก็แค่ร่วมมือกับกู่เซิง และปกป้องล่ายเสวียนเอาไว้เพียงเพราะต้องการบ่มเพาะกองกำลังให้เขา เขาจะโกรธเจียนตายหรือไม่”

“คงโกรธ” ซ่านจินจื๋อกำลังอ่านเอกสารราชการในมือ มุ่นหัวคิ้วอย่างจนปัญญาหมื่นเท่า “หากเจ้าไม่ทำเช่นนี้ เอกสารราชการในมือของข้าน่าจะลดน้อยลงมากทีเดียว”

กู้อ้าวเวยทำเพียงหัวเราะหยันกับเรื่องนี้

ดีร้ายเขาก็คงมีตำแหน่งอย่างเป็นทางการอยู่ อีกอย่างต่อให้ตอนนี้เขาจะสละตำแหน่ง ก็ต้องรอจนกว่าชางหลานจะบ่มเพาะคนใหม่ขึ้นมาถึงจะผ่าน ยิ่งไม่ต้องพูดถึง ลำพังอ๋องจิ้งสองคำนี้ แม้ว่าบางเรื่องเขาจะไม่ได้เป็นคนตัดสินใจ แต่ก็ยังคงให้เขาดูเสียก่อนอยู่ดี

ซ่านจินจื๋อยุ่งจนเท้าไม่ติดพื้น กู้อ้าวเวยกลับหยัดตัวลุกขึ้นยืนตอนที่ฉูหลี่เข้ามา และเปลี่ยนลูกปัดที่นำกลับมาจากอารามนิรนามให้กับเขาราวกับถวายสมบัติ

ต่างจากซ่านจินจื๋อ นี่คือลูกปัดที่ทำจากอัญมณีสีดำ

กู้อ้าวเวยไม่ค่อยมีความรู้เกี่ยวกับแร่ธาตุนัก ได้ยินเพียงว่าหินสีดำนี้มีชื่อเรียกว่าดวงตาสัตว์ประหลาด พบได้บ่อยยิ่งนัก แต่กลับถูกเรียกว่าเป็นนัยน์ตาข้างสุดท้ายของสัตว์ประหลาดซึ่งเหลืออยู่เพียงข้างสุดท้ายในโลก ฟังดูแล้วค่อนข้างสยองขวัญอยู่บ้าง ทว่ามันก็เหมือนหยกที่สามารถขับไล่วิญญาณชั่วร้าย กล่าวคือดวงตาสัตว์ประหลาดนี้สามารถทนทานต่อความกังวลแห่งชะตาชีวิตแบบครั้งเดียวได้

นางจึงบูชากลับมา

ฉูหลี่ตกใจก่อนเป็นอันดับแรก จากนั้นจึงยกมือขึ้นตบกระหม่อมของนางเบา ๆ “เจ้านี่ช่างสรรหาเรื่องมาให้ข้าจริง ๆ”

“มีอะไรหรือ” กู้อ้าวเวยหรี่ตาลงพลางประชิดเข้าไป

ซ่านจินจื๋อก็เงยหน้าขึ้นมาจากเอกสารราชการด้วยเช่นกัน

“เมื่อก่อนข้าส่งคนพาจี้เล่ยไปหาล่ายเสวียน และบังเอิญพบเขาระหว่างทาง” สีหน้าของฉูหลี่ยังคงนิ่งขรึม “แต่เขากลับอืดอาดไม่ยอมบอกข่าวข้าเสียที จะต้องรอพูดกับเจ้าให้จงได้”

“ข้าจะไปพบเขาเดี๋ยวนี้” กู้อ้าวเวยรีบร้อนหยัดตัวขึ้น

ฉูหลี่มองนางด้วยสายตาเย็นเยียบ “เจ้าว่ามา เจ้าเคี่ยวซุปหลงเสน่ห์อะไรให้ผู้อื่นกันแน่ ถึงทำให้คนอื่นต้องพูดกับเจ้าเท่านั้น”

ถูกบิดาตำหนิอย่างดุเดือดเช่นนี้ บัดนั้นกู้อ้าวเวยก็ไม่รู้ว่าควรโต้แย้งอย่างไรดี

อิงตามสามัญสำนึกแล้ว ล่ายเสวียนก็แค่ไม่เชื่อมั่นความสัมพันธ์ระหว่างกู้อ้าวเวยกับฉูหลี่เท่านั้นเอง บวกกับเรื่องนี้บางทีอาจจะเกี่ยวข้องกับกู้อ้าวเวยเพียงคนเดียวก็ได้ ดังนั้นจึงไม่ยอมพูด

แต่ในสายตาของฉูหลี่ กลัวว่าจะเห็นล่ายเสวียนเป็นคุณชายเจ้าสำราญที่ตามเกี้ยวนาง?

สีหน้าของซ่านจินจื๋อก็พลอยเปลี่ยนไปด้วย ก่อนเหลือบมองกู้อ้าวเวย “ข้าจะไปพร้อมกับเจ้า”

“พอท่านไป บางทีเขาคงไม่จะพูดแล้ว” กู้อ้าวเวยหดลำคอลง

ว่ากันตามหลัก ไม่แน่ว่าล่ายเสวียนอาจจะมีเหตุผล แม้แต่บิดาของนางยังไม่บอกเลย ย่อมไม่มีข้อผูกมัดต้องบอกท่านอ๋องของชางหลานอยู่แล้ว

กู้อ้าวเวยทำได้เพียงเกร็งหนังศีรษะพลางเดินออกไป

ล่ายเสวียนไม่ได้ถูกส่งไปในวังหลวงด้วยซ้ำ แต่อาศัยอยู่เรือนอีกแห่งในเมืองหลวงแทน ซึ่งได้รับการคุ้มกันอย่างแน่นหนา

ครั้นได้เห็นกู้อ้าวเวย ล่ายเสวียนก็กุมปากแผลบริเวณท้องลุกขึ้นจากเตียงเพื่อนั่ง จี้เล่ยคอยเฝ้าอยู่นอกประตู ดูคล้ายกับไม่คาดหวังให้บุคคลใดก็ตามเข้ามารบกวน

“เกิดเรื่องอะไรขึ้นกันแน่” กู้อ้าวเวยนั่งบนขอบเตียง และประคองเขานอนลงอีกครั้งตามคำแนะนำของท่านหมอ ปลดเสื้อของเขาออก สำรวจปากแผลบริเวณช่วงท้อง

“บิดาของกู้เฉิงนำชีวิตทาสจำนวนมากไปกลั่นยา ตอนนี้เขาก็กำลังทำเรื่องแบบเดียวกันอยู่” สีหน้าล่ายเสวียนซีดขาว “สหายท่านนั้นของข้าถูกเขาฆ่าไปแล้ว หลังจากนั้นข้าไปสถานที่ที่ท่านบอกและพบม้ากับเมล็ดพันธุ์ไม่น้อยเลย แต่คิดไม่ถึงว่าจะมีคนตามอยู่ด้านหลัง...”

“เป็นอ้ายหยิน หรือว่ากู้เฉิง?” กู้อ้าวเวยเห็นปากแผลของเขายังไม่ได้รับการทำความสะอาดอย่างสมบูรณ์ มือไม้ยิ่งไม่หยุดนิ่ง

ล่ายเสวียนเจ็บจนหนังศีรษะมึนชา กำหมัดแน่นอย่างเอาตาย พลางกล่าว “ระหว่าทางกลับมา ข้าค้นพบว่าอ้ายหยินกำลังเสาะหาแหล่งที่อยู่ของยาอมตะอยู่...โอ๊ย...ก็ระหว่างทางที่ข้ามา ถึงได้มีคนบอกข้า ในคนกลุ่มนั้นมีสายสืบของกู้เฉิง เวลานี้กู้เฉิงน่าจะรู้แล้วว่าแม่ของท่านยังไม่ตาย”

การเคลื่อนไหวของกู้อ้าวเวยชะงัก รีบร้อนช่วยเขาจัดการปากแผลให้ดี พลางไถ่ถาม “เพราะอะไรพวกเขาถึงได้รู้แหล่งกบดานของท่านแม่ข้า”

“ทิงเฟิงเก๋อได้รับข่าวสารตั้งมากมายขนาดนี้ เบื้องหลังจะต้องมีคนอื่นอยู่เป็นแน่” ล่ายเสวียนยังคงคว้านางเอาไว้ “ข้าไม่รู้ด้วยซ้ำว่าความสัมพันธ์ระหว่างท่านกับบิดาท่านรวมถึงกับซ่านจินจื๋อเป็นอย่างไร จึงทำได้เพียงนำเรื่องนี้...”

“ขอบคุณ” กู้อ้าวเวยตบหัวไหล่ของเขาเบา ๆ “เรื่องนี้ข้าจะจัดการเอง”

นางออกจากตัวเรือนไปด้วยท่าทีไม่ใยดี ทว่าตอนที่ก้าวข้ามธรณีประตูไป นางกลับไม่ได้คิดมาก ทำเพียงคำนวณเวลาอย่างถี่ถ้วน หากตนไล่ตามไปตอนนี้ละก็ บางทียังพอขัดขวางพวกนางก่อนที่จะออกจากเอ่อตานเอาไว้ได้

ส่งคนไปตระเตรียมม้าและกำลังคน กู้อ้าวเวยเร่งรุดกลับไปในวังหลวงเพื่อบอกเรื่องนี้แก่ฉูหลี่

ฉูหลี่หน้าดำคร่ำเครียดหมายจะส่งคนไปสนับสนุนอย่างเอิกเกริก กู้อ้าวเวยกลับดึงฉูหลี่เอาไว้ทั้งซ้ายขวา กู้อ้าวเวยรีบร้อนกล่าว “จะทำให้เรื่องนี้ใหญ่โตอีกไม่ได้นะ วิธีที่ดีที่สุดในตอนนี้ ก็คือจัดการกู้เฉิง ข้าจะพาคนไปด้วยตัวเอง”

“ข้าทำก็ได้” ฉูหลี่ดึงกู้อ้าวเวยเอาไว้

“ข้าไม่อาจทนดูนางเกิดเรื่องตาปริบ ๆ ได้หรอก” ฉูหลี่มองเข้ามาด้วยสายตาเย็นชาเช่นกัน

“พวกท่านคนหนึ่งเป็นฮ่องเต้อีกคนเป็นรัชทายาทจะเกิดเรื่องไม่ได้ มอบให้ข้าทำเถิด” กู้อ้าวเวยกล่าวจบก็รีบรุดเดินออกไปข้างนอก กระทั่งยังไม่ทันพูดกับซ่านจินจื๋อสักแอะ

ส่วนฝั่งซ่านจินจื๋อกลับได้รับข่าวสารอื่น ๆ จากเฉิงซาน “ชายแดนชางหลานจู่ ๆ ก็มีกองทัพหลายกองปรากฏขึ้น คล้ายกับเป็นเจียงเยี่ยนและแคว้นซิน องค์ชายสามหวังว่าท่านจะสามารถจับตามองได้โดยเร็ว”

ซ่านจินจื๋อไร้ซึ่งหนทางใด ๆ เช่นเดียวกัน เหลือทิ้งจดหมายหนึ่งฉบับเอาไว้ก่อนรีบร้อนออกไปโดยด่วนที่สุด

รอกระทั่งกุ่ยเม่ยกลับมาถึงห้อง กลับมีเพียงนางในบอกเขาว่า “อ๋องจิ้งเพิ่งออกไปเมื่อครู่นี้ และยังให้ข้านำจดหมายชิ้นนี้มอบให้ถึงมือของพระองค์หญิงเจ้าค่ะ”

“พลาดไปจนได้” กุ่ยเม่ยรู้สึกเพียงว่าปวดหัวอย่างอธิบายไม่ถูก ส่งคนไปไล่ตาม กลัวแต่ว่าคงบอกหนึ่งในนั้น ทั้งสองคนน่าจะมีการตอบสนองกันบ้าง

ทว่าตั้งแต่ต้นจนจบพวกเขาก็ประเมินความคล่องตัวของทั้งสองคนต่ำไป

ระหว่างทางกู้อ้าวเวยยืนยันทุกเส้นทางที่ท่านแม่จะสัญจรผ่าน จึงพลิกกายขึ้นบนม้าโดยตรง นำกำลังคนกองทัพองครักษ์เล็ก ๆ ออกจากประตูทิศตะวันตก เตรียมการใช้ทางลัดไล่ตามหยุนหว่านไป

ส่วนซ่านจินจื๋อนำเฉิงซานควบม้าออกจากประตูทิศใต้ และไม่ได้หยุดหย่อนเลยด้วยซ้ำ

พวกเขาส่งคนไล่ตามไปก็ไม่ใช่ว่าเป็นไปไม่ได้เลย แต่กลับไม่จำเป็น ตั้งแต่ต้นจนจบฉูหลี่กังวลใจถึงความปลอดภัยของกู้อ้าวเวยและหยุนหว่าน จากนั้นสั่งคนส่งนกพิราบส่งสารถึงชายแดน จะต้องบอกเรื่องที่ซ่านจินจื๋อก็ออกไปให้กู้อ้าวเวยทราบ และยิ่งต้องคอยช่วยเหลือกู้อ้าวเวยทำธุระใด ๆ ก็ตาม

ในเวลานี้สถานการณ์เปลี่ยนแปลง ฉูหลี่คิดไม่ถึงโดยเด็ดขาดว่าไม่เพียงราชวงศ์ชางหลานเท่านั้น แม้กระทั่งเจียงเยี่ยนในอดีตก็คาดหวังจะได้รับสูตรยาอมตะ หากเป็นเช่นนี้ สองแม่ลูกหยุนหว่านจะต้องกลายเป็นเป้าสาธารณะเป็นแน่

“ท่านลุง ก่อนหน้านี้น้าหยุนเคยทำยาอมตะออกมาจริง ๆ หรือ” ฉูห้าวอดถามไม่ได้

ฉูหลี่ที่ถูกถามกลับทำเพียงหัวเราะเย้ยหยันอย่างเย็นชาหนึ่งที มือสองข้างวางลงบนผิวโต๊ะ “หากมีของแบบนี้จริง ปีนั้นบรรพบุรุษของสกุลหยุนกับสกุลต้วนก็คงมีชีวิตอยู่จนถึงป่านนี้ตั้งนานแล้ว”

“พูดแบบนี้ คำเล่าขานนี้มีมาตั้งแต่รุ่นแรกของตระกูลหยุนแล้ว”

“นั่นไม่ใช่ตำนานอะไรเสียหน่อย ก็แค่เรื่องขำขันเท่านั้นเอง” ฉูหลี่หมุนตัวไป หวังเพียงแต่ว่าครั้งนี้ทุกสิ่งทุกอย่างจะไม่มีอะไรเกิดขึ้น

คนพวกนั้น คงไม่อาจเปิดศึกกับแคว้นใหญ่ ๆ เพียงเพราะยาจอมปลอมได้หรอกกระมัง

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: บุบผาร้อยเสน่ห์