บุบผาร้อยเสน่ห์ นิยาย บท 90

ตอนที่ 90 พระชายาผู้น่าสงสาร

ในขณะที่มองไปยังกู้อ้าวเวยที่นั่งอ่านหนังสือโบราณอยู่กับหยุนฝูที่กำลังตรวจนับหนังสืออยู่บนพื้น

ซ่านจินจื๋อกลับไม่ได้จากไปแต่อย่างใด เดิมทีเมื่อเขาได้ยินคำว่าเลือดมังกรและถุงน้ำดีหงส์เขาก็รีบร้อนมาในทันใด ดูจากตอนนี้แล้ว ความคิดที่แปลกประหลาดเช่นนี้ของกู้อ้าวเวยกลับไม่ได้ทำให้แผนการลับของอีกฝ่ายสำเร็จแต่อย่างใด สวยอย่างเดียวคงไม่พอจริงๆ แต่เมื่อคืนนางเองก็ต้นหมีหุน(เป็นยาที่สามารถทำให้คนหมดสติเมื่อคนกินยานี้หรือดมกลิ่นยานี้)ไปด้วย

เขาไม่ทนได้ถ้าทำให้ซูพ่านเอ๋อเบิกบานใจไม่ได้ จึงอยากทำให้กู้อ้าวเวยไม่ได้รับความเป็นธรรมมาโดยตลอดในขณะที่อยู่ในตำหนัก

“ไม่ขาดสักเล่มเดียว” กู้อ้าวเวยรู้สึกพึงพอใจกับใบรายการที่รวบรวมมาได้ทั้งหมดที่อยู่ในมือ จากนั้นนางก็ปีนป่ายลุกขึ้นมาจากพื้น หมุนตัว ก่อนที่ดวงตาจะประสานกับดวงตาของซ่านจินจื๋อ นางตื่นตกใจเล็กน้อย: “ท่านอ๋องยังไม่ไปหรือเพคะ? หรือว่ายังคิดว่าหม่อมฉันยังมีเลือดมังกรและถุงน้ำดีหงส์อยู่ที่นี่?”

“ไม่อย่างนั้นคนของโหวเซ่อจะมาทำไม?” ซ่านจินจื๋อขวางประตูไว้ครึ่งหนึ่ง

“ก็ไปถามพวกเขาดูสิเพคะ คุณปู่บอกหม่อมฉันแค่เพียงว่า หากหม่อมฉันกลับไปสืบทอดตำแหน่งหลิ่งหนานตระกูลหยุนต่อ เขาจะบอกตำแหน่งของสมุนไพรทั้งสองนี้ให้” กู้อ้าวเวยพูดขึ้นตามอำเภอใจ พร้อมกับจ้องเขม็งไปทางซ่านจินจื๋อ

หากนำเอาเครื่องปรุงยาทั้งสองชนิดนั้นเข้าสู่ร่างกายของคนที่ไม่ได้ป่วยมันจะไม่มีวันสูญเปล่า นางสามารถลืมตาขึ้นมาพูดจาโป้ปดไร้สาระได้

ซ่านจินจื๋อจึงไม่ได้สงสัยแต่อย่างใด ถึงอย่างไรร้านยาเหย้าก็ใหญ่ขนาดนี้ หากมีเลือดมังกรและถุงน้ำดีหงส์อยู่จริงๆ ก็ต้องนำออกมาแล้ว ทำไมยังรอให้คนของโหวเซ่อนำมาด้วยตัวเองด้วยละ?

เพียงแต่ว่ากู้อ้าวเวยกลับรู้สึกกลัดกลุ้มอยู่ไม่น้อย นางเกิดอาการหนาวสั่น โหวเซ่อจึงถือโอกาสเข้ามา หากนางได้รับบาดเจ็บ จะเป็นอย่างไร?

ทั้งสองคนต่างตกสู่ความคิดของแต่ละคนจากนั้นต่างฝ่ายต่างก็มองหน้าอีกฝ่ายโดยที่ไม่เอื้อนเอ่ยคำใด

ฉีหลินที่ยืนเปียกฝนอยู่หน้าประตูมองเห็นเหตุการณ์นี้ทั้งหมด ทำได้เพียงแค่ไอออกมาเบาๆ แต่นางกลับไม่อาจหลีกเลี่ยงการจ้องเขม็งจากคนทั้งสองได้ หลังจากที่คิดจะกระตุ้นคนทั้งสองได้ ทำได้เพียงถอยร่นไปข้างหลัง แล้วพูดขึ้นอย่างจนปัญญาว่า :“อ๋องจิ้ง ศพเหล่านั้นถูกคนพาไปแล้ว ท่านพ่อให้ข้ามาบอกท่าน”

“ว่ามา” ซ่านจินจื๋อจึงได้หมุนตัวกลับไป

“ดูเหมือนว่าคนของโหวเซ่อจะจากไปแล้วพะยะค่ะ องค์ชายหกได้ขุดรากถอนโคนรากฐานของโหวเซ่อแล้ว ตอนนี้กำลังนำชัยชนะกลับมาอยู่พะยะค่ะ” ฉีหลินนำข่าวสารที่ครบถ้วนไม่มีบิดเบือนแจ้งตรงต่อซ่านจินจื๋อ

หึ องค์ชายหกอีกแล้วหรือ

กู้อ้าวเวยอ้าปากหาววอดด้วยความเกี้ยจคร้าน จากนั้นก็เดินไปในห้อง เพื่อต้องการสางผมให้เรียบร้อย

อีกอย่าง นางก็ไม่พร้อมที่จะอยู่ฟังความลับของราชวงศ์ด้วย

หลังจากที่กู้อ้าวเวยจากไป ซ่านจินจื๋อก็ออกจากร้านยาเหย้าไป พร้อมกับสอบถามเฉิงซานที่อยู่ข้างกายว่า :“องค์ชายหกผู้นี้ไม่ได้มีรากฐานที่ดีงามใช่ไหม เขาอายุน้อยกว่าหยวนเอ๋อไม่กี่เดือนเท่านั้น”

“แต่องค์ชายหกมีแผนการที่ลึกซึ้งมาก เมื่อมาคิดๆดูแล้ว เขาก็ถือว่าเป็นพระโอรสองค์ที่สองของฮองเฮาซู๋เซ่อ ทั้งสองมีความใกล้ชิดสนิทสนมกัน ครั้งนี้องค์รัชทายาทก็ยุแหย่ต้าหลี่เซ่อชิงด้วย ตำแหน่งองค์รัชทายาทนี้ไม่สามารถรักษาไว้ได้ ฮองเฮาซู๋เซ่ออาจจะผลักดันองค์ชายหกขึ้นครองราชย์ก็เป็นได้พะยะค่ะ” เฉิงซานรีบกล่าวขึ้น

องค์ชายสององค์ชายสามกลับไม่ได้ความสักคน หากองค์รัชทายาทถูกปลดตำแหน่ง คนที่สามารถช่วงชิงได้อย่างแท้จริงอาจจะเป็นองค์ชายสี่ของเมืองเทียนเหยียนในตอนนี้อย่างซ่านเชียนหยวนก็เป็นได้

เมื่อกลับเข้ามาในตำหนัก ซ่านเชียนหยวนก็ได้ยินเรื่องนี้พอดี เขาไม่ได้โง่ ย่อมรู้ว่าสถานการณ์ในตอนนี้จะเข้าหรือจะถอยก็ยังยากเลย หากคิดจะกดดันองค์ชายหก เขาต้องดูโดดเด่นกว่าผู้อื่น ส่วนค่ายทหารที่เขาเติบโตมา ย่อมรู้ว่าอำนาจที่มีนั้นไม่อาจไม่มั่นคง หากเป็นเช่นนี้เกรงว่าผลที่ได้ตรงข้ามกลับไม่เป็นดั่งที่คาดหวังไว้

ซ่านจินจื๋อมาพูดเรื่องนี้กับเขา จึงทำได้เพียงแค่พูดปลอบประโลมว่า :“องค์ชายหกกลับมาในช่วงที่กำลังฟื้นฟู เจ้าไม่อยากแย่งชิงจากเขาหรือ ทั้งหมดนี้ให้ข้าเสียดีกว่า”

“เสด็จอาจะจัดการเรื่องนี้ได้อย่างไรพะยะค่ะ?” ซ่านเชียนหยวนมองไปทางซ่านจินจื๋อด้วยสายตาระแวดระวัง

หลักฐานที่พิสูจน์เรื่องที่เกิดขึ้นก่อนหน้านั้นล้วนชี้ไปทางซ่านจินจื๋อ แต่เขาฟังหูไว้หู ซ่านจินจื๋อกลับให้เขาลงดาบในตอนที่เกิดการช่วงชิงนี้หรือ? เขามีจิตใจที่โหดร้ายเกินไปแล้ว

“ฮ่องเต้ไม่ทำลายองค์รัชทายาทได้ง่ายๆหรอก อยากให้ข้าไปสำรวจเรือนลอยน้ำก่อนหน้านั้นอีกสักรอบไหม ถึงตอนนั้นเจ้าก็ไปเป็นเพื่อนข้า หลีกเลี่ยงความสามารถขององค์ชายหก” ซ่านจินจื๋อพูดขึ้นด้วยสีหน้าไม่เปลี่ยนแปลง

หลังจากซ่านเชียนหยวนเกิดความสับสน แต่ก็ยังพยักหน้าตอบตกลงกลับไป

ถึงแม้ว่าเขาจะไม่เชื่อซ่านจินจื๋อก็ตาม แต่มีประโยคหนึ่งกลับไม่ผิด ฮ่องเต้ไม่ทำลายองค์รัชทายาทง่ายๆหรอก

“เพียงแต่ว่า เมื่อเวลาล่วงเลยผ่านไปก็จะเป็นวันคล้ายวันประสูติของฮองเฮาแล้ว เสด็จอาได้ไหมว่าจะต้องเตรียมเสื้อผ้าให้พระชายาเตรียม?” ซ่านเชียนหยวนเดินออกไปไม่กี่ก้าวก็ต้องกลับเข้ามาอีกครั้ง

“ลืมไปแล้ว” ซ่านจินจื๋อก็จนปัญญา ช่วงนี้มีแต่เรื่องวุ่นวาย เขาจะไปจำเรื่องนี้ได้อย่างไร คิดว่าเขาเป็นคนเดียวที่ไปงานเลี้ยงในวัง

สีหน้าของซ่านเชียนหยวนเปลี่ยนไป ก่อนจะพูดอย่างจนปัญญาว่า :“พระชายาช่างน่าสงสาร”

เมื่อเห็นแผ่นหลังของซ่านเชียนหยวน ซ่านจินจื๋อก็ทำได้เพียงแค่ยืนขึ้น เฉิงซานที่ยืนอยู่ด้านหลังได้ก้าวขึ้นมาตรงหน้า

“เฉิงซาน ข้าทำกับพระชายาเกินไปหรือไม่?” ซ่านจินจื๋อถามขึ้น

ดวงตาทั้งสองข้างของเฉิงซานได้กลอกไปมา ก่อนจะส่ายหน้าอย่างจนใจ: “ท่านอ๋องอยากฟังเรื่องจริงหรือเรื่องโกหกละพะยะค่ะ?”

“พูดโกหกมาก่อนเถอะ” ซ่านจินจื๋อนั่งลงอีกครั้ง

“ท่านอ๋องปฏิบัติตัวดีกับพระชายาอย่างมากพะยะค่ะ ปกติแล้วเมื่ออยู่ด้านนอกกลับไว้หน้าพระชายาเสมอ” เฉิงซานยิ้มเล็กน้อย เมื่อเห็นสีหน้าท่าทางเย็นชาของซ่านจินจื๋อ ก็ทำได้เพียงแค่พูดต่อว่า “หากเป็นเรื่องจริง : ก็เป็นดั่งที่องค์ชายสี่ได้พูดไว้ ช่างน่าสงสารมากเสียจริงพะยะค่ะ”

เมื่อชาถูกยกมาวางใหม่อีกครั้ง ซ่านจินจื๋อก็เอ่ยปากว่า :“ว่ามา”

“พระชายาช่วยท่านอ๋องไว้มากเลยพะยะค่ะ ท่านอ๋องยังทรงปรบมือในระหว่างที่หยอกเย้านาง ตอนแรกก็เล่นเกมส์สร้างเรื่องวุ่นวายในเรือลอยน้ำ ต่อมาอ่านอ๋องก็อยากใช้ประโยชน์จากพระชายาอย่างตรงไปตรงมา แต่บัดนี้เมื่อกลับมาถึงในตำหนัก กลับเย็นชาใส่นาง ส่วนเรื่องที่ท่านอ๋องปฏิบัติต่อพระชายาเช่นไรก่อนหน้านั้นยิ่งไม่ต้องกล่าวถึงแต่อย่างใด ” เฉิงซานพูดตรงไปตรงมาอย่างไม่มีหยุดพัก ทุกคำพูดได้เสียดแทงทะลุเข้าไปในจิตใจของซ่านจินจื๋อ

ในเวลานี้เข้ากลับไม่รู้ว่าตัวเองนั้นปฏิบัติต่อกู้อ้าวเวยอย่างไร

แต่เขารู้อย่างหนึ่ง เขายินยอมให้นางดำรงตำแหน่งพระชายานี้ต่อไป และควรเป็นเช่นนี้

“ให้คนไปเตรียมเครื่องแต่งกายแก่พระชายา ต้องไม่ด้อยไปกว่าคนอื่นแต่อย่างใด” ซ่านจินจื๋อโบกมือไปมา

“พะยะค่ะ น้อมรับคำสั่งกระหม่อมจะให้คนไปเตรียมไว้ให้พะยะค” เฉิงซานกระตุกยิ้มมุมปากแล้วเดินออกไป

ในร้านยาเหย้าในช่วงเวลานี้ กู้อ้าวเวยไม่รู้อะไรเลยเกี่ยวกับเรื่องงานเลี้ยงภายในวัง

นางทำได้เพียงแค่นำยาที่มีรสชาติขมดื่มให้หมดในครั้งเดียว โดยที่ไม่ได้กินน้ำผึ้งตามลงไปแต่อย่างใด จึงทำให้คอนั้นเจ็บมากยิ่งขึ้น จากนั้นก็อ่านหนังสือโบราณที่อยู่ในมืออย่างเหม่อลอยต่อไป

หลังจากช่วงเที่ยง ฝนพร่ำๆก็หยุดลง แสงแดดสาดส่อง กระทบกับน้ำขังที่อยู่ภายในตำหนัก

นางลุกขึ้นยืนอย่างเอ้อระเหย จากนั้นก็เดินเข้ามาในตำหนัก เอนกายพิงขอบประตู หนังสือโบราณที่อยู่ในมือได้ปกปิดแก้มของนาง ดวงกลับฉายแววยิ้ม เจ้าพุทราตัวสีเทาก็มาคลอเคลียอยู่ตรงขาของนาง

“ฟ้าหลังฝน ดวงอาทิตย์สาดส่องกำลังดี คงจะไม่สามารถอยู่ในตำหนักสี่เหลี่ยมเล็กๆนี้ต่อไปได้อีก” นางหัวเราะต่ำๆออกมา จากนั้นก็วางหนังสือโบราณนั้นลงบนหน้าต่าง จากนั้นก็ยื่นมือออกไปอุ้มเจ้าพุทราขึ้นมาอยู่ในอ้อมแขน ถือโอกาสที่คนกำลังทำความสะอาดน้ำขังวิ่งออกไปข้างนอก

ความคึกคักในเมืองเทียนเหยียนกลับมาอีกครั้ง นางรู้สึกว่าอาการคัดจมูกไม่ใช่เรื่องใหญ่แต่อย่างใด

เพียงแค่แอบย่องมายังแผงลอยอาหารประเภทเกี๊ยวด้านข้างเท่านั้น

ในตอนนั้นช่างตัดเสื้อที่ร้านตัดเสื้อที่ตำหนักอ๋องจัดหามามาถึงร้านยาเหย้า กลับไม่เจอพระชายาจิ้งแม้แต่ขนสักเส้น จึงได้แต่มองหน้ากันไปมา

เพียงแค่กุ่ยเม่ยที่รักษาการณ์อยู่อย่างเงียบๆในซอยเท่านั้นที่เห็นคนกำลังทานเกี๊ยวอย่างสบายอกสบายใจอยู่ตรงแผงลอย เจ้าพุทราที่นำแอบย่องออกมาด้วยก็วิ่งกลับไปอยู่ในอ้อมแขน จากนั้นก็เดินเข้าไปอย่างไม่รีบร้อนแต่อย่างใด :“ช่างตัดเสื้อมาถึงร้านยาเหย้าแล้วพะยะค่ะ”

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: บุบผาร้อยเสน่ห์