นางพยักหน้าพูดว่า “ผู้ฝึกบำเพ็ญรุ่นเดียวกับข้าก็ควรจะออกไปฝึกฝนบ่อยๆ จริงๆ ใช้ธุลีแดงขัดเกลาจิตใจ ในเมื่อศิษย์น้องทะลวงระดับสร้างฐานแล้ว ก็ถึงเวลาออกไปฝึกฝนบ้าง ทำให้พลังบำเพ็ญของตัวเองมั่นคง”
แต่สิ่งที่จางอวิ๋นซีแปลกใจคือเสิ่นเทียนทะลวงระดับพลังบำเพ็ญแล้วออกไปฝึกฝน จะมีคนตามไปด้วยเยอะขนาดนี้ทำไมกัน ก่อตั้งกลุ่มหรือ
และที่สำคัญกว่านั้นคือกุ้ยกงกงกับฉินเกาไม่เท่าไร ถึงอย่างไรตอนแรกก็เป็นขันทีรับใช้อยู่ข้างกายเสิ่นเทียน แต่ฉินอวิ๋นตี๋จะตามไปเพื่ออะไรกัน เจ้าเด็กนี่เกลียดการออกไปฝึกฝนมากที่สุดไม่ใช่หรือ
แน่นอน เป็นศิษย์พี่ศิษย์น้องฝ่ายเดียวกัน ฉินอวิ๋นตี๋ตามไปก็ดีเหมือนกัน
เมื่อคิดได้ดังนั้น จางอวิ๋นซีก็เอ่ยขึ้น “ศิษย์น้องเตรียมจะออกเดินทางเมื่อไรกัน”
เสิ่นเทียนขบคิด โชคลิขิตบนศีรษะของฟางฉางน่าจะเกิดขึ้นในเร็วๆ นี้ แต่ตอนนี้ฟางฉางถูกเจ้าแดนศักดิ์สิทธิ์เทพสวรรค์ลงโทษให้คัดกฎสำนัก เดาว่าคงจะออกไปข้างนอกไม่ได้อีกสักระยะ
ทว่าโชคลิขิตเป็นสิ่งที่ลึกลับและอธิบายได้ยากมาก ถึงอย่างไรในชั่วพริบตาเดียวก็อาจจะเกิดการเปลี่ยนแปลงได้เป็นหมื่นอย่าง
ดังนั้นเสิ่นเทียนจึงตัดสินใจว่าจะรีบไปยังจุดที่ปรากฏโชคลิขิตให้เร็วที่สุด ดูว่าจะวางหมากก่อนได้หรือไม่
เมื่อคิดได้ดังนั้น เสิ่นเทียนจึงพูดด้วยรอยยิ้ม “ถ้าศิษย์พี่หญิงสะดวก ยิ่งเร็วเท่าไรยิ่งดี”
จางอวิ๋นซีฟังเสิ่นเทียนพูดจบก็อึ้งไปเล็กน้อย ยิ่งเร็วเท่าไรยิ่งดีหรือ
ศิษย์น้องอยากออกไปฝึกฝนด้วยกันกับข้า ยิ่งเร็วเท่าไรยิ่งดีหรือ
พอนึกถึงตรงนี้แล้ว จางอวิ๋นซีก็พยักหน้า “ในเมื่อศิษย์น้องรีบร้อนเช่นนี้ เจ้าก็รอสักเดี๋ยว ข้าจะไปเปลี่ยนเสื้อผ้า”
กล่าวจบนางก็กลายเป็นแสงสีเงินสายหนึ่งพุ่งไปยังยอดเขาสตรีศักดิ์สิทธิ์ ความเร็วสูงจนคนตกตะลึง
ขณะเดียวกันบนยอดเขาทองคำ ศิษย์ชุดคลุมดำคนหนึ่งเดินกะเผลกเหมือนคนขาเป๋ลงมา ใบหน้าเขาบวมจนเห็นใบหน้าไม่ชัด “กอบกุนกี้ศิษย์พี่กู้ก้าไก้ กดกำไว้ใกไกแก๊ว”
พอได้ฟังคำพูดเจ้านี่ เสิ่นเทียนพลันหน้าดำขึ้นมา “เจ้าพูดอะไร”
กุ้ยกงกงข้างหลังเอ่ยด้วยความจำใจ “เขาน่าจะบอกว่าขอบคุณที่ศิษย์พี่กู้หน้าให้ จดจำไว้ในใจแล้วพ่ะย่ะค่ะ”
ศิษย์ชุดคลุมดำคนนั้นพยักหน้าด้วยความตื่นเต้น “ก้าก้อยกี่กิ๋นเกิงกิตกอดเก๋าโกการ กิดานามกี่กิงเก๋อ”
เสิ่นเทียนมองกุ้ยกงกง กุ้ยกงกงพูดด้วยความจนปัญญา “ข้าน้อยหลี่อวิ๋นเฟิง ลูกศิษย์แห่งยอดเขาโอฬาร บิดานามหลี่ชิงเหอ”
เสิ่นเทียนมุมปากกระตุก ศิษย์พี่หญิงอวิ๋นซีทุบตีคนไม่มีความเห็นใจสักนิด อัดศิษย์น้องอวิ๋นเฟิงเสียจนเป็นสภาพนี้
รอเดี๋ยว เจ้านี่คือหลี่อวิ๋นเฟิงหรือ
เสิ่นเทียนหน้าดำมืดขึ้นมา “ศิษย์น้อง เจ้าคือหลี่อวิ๋นเฟิงรึ”
หลี่อวิ๋นเฟิงพยักใบหน้าที่โดนตบจนปูดบวมอย่างบ้าคลั่ง “ก้าเกง กิดกี้ก้าเกง”
ประโยคนี้ไม่ต้องให้กุ้ยกงกงอธิบาย เสิ่นเทียนก็ฟังเข้าใจ ‘ข้าเอง ศิษย์พี่ข้าเอง’
เป็นเจ้าก็ดี เสิ่นเทียนพลันชี้ไปที่ยอดเขาสตรีศักดิ์สิทธิ์ “ศิษย์น้องดูนั่น ศิษย์พี่หญิงอวิ๋นซี”
หลี่อวิ๋นเฟิงพลันตัวสั่น ก่อนจะมองไปบนยอดเขาสตรีศักดิ์สิทธิ์ “กงไก๋ กิดกี้ขิงกู่ไก๋”
เขายังพูดไม่จบก็รู้สึกเจ็บปวดที่หลังศีรษะอย่างรุนแรง จากนั้นฟ้าดินหมุนคว้าง
เสิ่นเทียนมองหลี่อวิ๋นเฟิงที่ตาเหลือกหมดสติไปแล้วพลางเก็บค้อนม่วงทองด้วยใบหน้ามืดทะมึน “หาเจ้าเจอสักที ลุงกุ้ย รบกวนท่านไปหาเถ้าแก่ซ่งที ขอโอสถลบความจำมาสักเม็ด มันมีประโยชน์!”
จากนั้นก็เป็นช่วงเวลาที่ทุกคนมีความสุข บรรยากาศเต็มไปด้วยกลิ่นอายแห่งความรื่นรมย์
…….
หลังจากระบายกับหลี่อวิ๋นเฟิงอย่างถึงอกถึงใจแล้ว ก็ป้อนโอสถลบความจำให้เขา
ตอนนี้หนึ่งชั่วยามผ่านไป ในที่สุดจางอวิ๋นซีก็ลงมาจากยอดเขาสตรีศักดิ์สิทธิ์
นางในตอนนี้ถอดชุดเกราะแสงพยัคฆ์ขาวออกแล้ว เปลี่ยนเป็นชุดคลุมขาวดั่งหิมะ
จากตอนแรกที่มัดรวบผมไว้ข้างหลัง ตอนนี้พาดบ่าสยายไปตามสายลม ส่งกลิ่นหอมอ่อนๆ
ถ้าบอกว่าจางอวิ๋นซีก่อนหน้านี้เหมือนกับเทพีสงคราม เช่นนั้นตอนนี้นางก็เหมือนดอกบัวหิมะสีขาวบริสุทธิ์
เงียบสงัด ราบเรียบ งดงามเพียบพร้อม กระฉับกระเฉงดั่งเซียน
จางอวิ๋นซีเดินลงมาจากยอดเขาสตรีศักดิ์สิทธิ์ช้าๆ เดิมทีคิดว่ากลุ่มผู้ชายพวกนี้จะสยบต่อเสน่ห์ของตน แต่เมื่อนางเดินมาอยู่หน้าทุกคน ใบหน้างดงามเป็นเลิศก็ค่อยๆ เปลี่ยนเป็นสีดำ
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: บุตรแห่งโชคที่ว่า ไม่ใช่ข้าแน่นอน