ในดวงตาตี่ของฉินอวิ๋นตี๋เปล่งประกายหนาวเยือก ก่อนจะเรียกปืนหยินหยางพิฆาตอสูรสามสิบหกกระบอกออกมา
ปังๆๆๆๆๆ~
กระสุนเหล็กทมิฬแบบพิเศษยิงกระจายเป็นวงกว้างราวกับพายุฝน
เวลานี้ เถาจองจำเซียนถูกยิงจนของเหลวสาดกระจายขึ้นฟ้า
ขณะเดียวกันยังมีเสียงของจางอวิ๋นซีดังขึ้นด้วยความฉุนเฉียวกลางอากาศ “คนแซ่ฉิน เจ้าเล็งให้แม่นๆ หน่อย!”
โฮก~!
ปรากฏการณ์พยัคฆ์ขาวคำรามนภาส่งเสียงดังสนั่นฟ้า ก่อนที่กระสุนเหล็กทมิฬสองนัดจะถูกสะเทือนตกลงมา ทั้งยังทำให้พลังจิตเสียการควบคุม ทำให้ปืนของฉินอวิ๋นตี๋ลดกำลังลงอย่างมากเช่นกัน
การกราดยิงเมื่อครู่เกือบทำให้จางอวิ๋นซีโดนลูกหลงเข้าแล้ว
เสิ่นเทียนมองหมอกวิญญาณที่ซึมเข้ามาในเมืองหมอกลับแลมากขึ้นเรื่อยๆ พลางขมวดคิ้วเล็กน้อย
“ศิษย์น้องอวิ๋นตี๋ ไม่ต้องใช้พลังจิตควบคุมปืนหยินหยางพิฆาตอสูรแล้ว ให้เปลี่ยนมาถือในมือเลย ไม่อย่างนั้นหากควบคุมพลังจิตได้ไม่แม่นยำอาจจะทำให้พวกเดียวกันหรือตัวเองบาดเจ็บได้ มันอันตรายเกินไป”
ฉินอวิ๋นตี๋ครุ่นคิด ก่อนจะส่งปืนพิฆาตอสูรสามสิบหกกระบอกให้พวกสยงเหมิ่ง
“แบ่งกันคนละสามกระบอก เอาไว้ป้องกันตัวเอง กลับไปแล้วอย่าลืมเอามาคืนข้าล่ะ”
จากนั้นฉินอวิ๋นตี๋ก็ส่งปืนพิฆาตอสูรให้เสิ่นเทียนอีกแปดกระบอก “ศิษย์พี่ ข้าเก็บไว้สิบกระบอกก็น่าจะพอใช้แล้ว”
เสิ่นเทียนเองก็ไม่งอแงไร้เหตุผล เขาเก็บปืนพิฆาตอสูรแปดกระบอกเข้าแหวนเวหาไป “ทุกคนพยายามชิดกันไว้อย่าแยกกัน”
ตอนนี้ระดับความหนาของหมอกวิญญาณในเมืองหมอกลับแลสูงไม่น้อยเลย วิสัยทัศน์ลดลงอย่างมาก ถ้าแยกกันไปเกินหลายสิบเมตร เช่นนั้นการจะหาพวกสหายเจอก็เป็นเรื่องยากมาก
ความจริงหลังจากที่จางอวิ๋นซีต่อสู้กับเถาจองจำเซียนสามต้นก็ฝ่าเข้าไปกลางหมอกวิญญาณ หายตัวไปแล้ว เมื่อไม่มีจางอวิ๋นซีปกป้องอยู่ข้างกาย สารภาพตามตรงว่าตอนนี้ในใจเสิ่นเทียนตึงเครียดอยู่บ้าง
เขาไม่ได้ห่วงศิษย์พี่หญิงอะไรมาก ถึงอย่างไรนางก็มีวงรัศมีสีทอง จะตายก็คงยาก
เสิ่นเทียนเป็นห่วงตัวเองต่างหาก วงรัศมีสีเขียวเข้มอาจจะต้านเรื่องวุ่นๆ ไม่ไหวก็เป็นได้!
แผนการในตอนนี้คือต้องรีบล้อมกันเป็นวงกลมแล้วฝ่าออกไปทางประตูตะวันตกให้เร็วที่สุด
ทุกคนถือปืนปทุมฆาตเทพพลางมุ่งหน้าไปทางประตูเมืองตะวันตกด้วยความเร็วสูงสุด เมื่อเจอเถาจองจำเซียนก็จะรัวยิงไปเป็นระลอก
ยามนี้ไม่มีเถาจองจำเซียนใดต้านการโจมตีหมู่ของคนเยอะเช่นนี้ไหว เลยถือว่าปลอดภัยไปชั่วคราว ช่วงที่เห็นประตูตะวันตกอยู่ไกลๆ พลันมีเสียงร้องโหยหวนแหลมเล็กดังมาจากทางนั้น
ก่อนจะเห็นผู้แข็งแกร่งระดับแก่นพลังทองคนหนึ่ง เห็นเขาก้าวออกจากประตูตะวันตกไปครึ่งก้าวแล้ว ทว่าทันใดนั้นเองกลับมีเถายักษ์สีเขียวอมดำต้นหนึ่งทะลวงผ่านหน้าอกเขา
โลหิตกระเซ็นออกมาจากช่องอก ก่อนศพจะแห้งเหี่ยวลงด้วยความเร็วระดับสายตามองเห็น
เห็นได้ชัดแม้หมอกลับแลจะขยายมาจากทางตะวันออก ยังไม่ได้ปิดล้อมช่วงประตูตะวันตก แต่บางสิ่งที่วางหมากในเงามืดก็ไม่เคยปล่อยผู้ใดในเมือง แต่ได้วางหมากเอาไว้ก่อนแล้ว
ปัง~ปัง~ปัง~
เถาจองจำเซียนสูงร้อยจั้งหลายต้นลอยขึ้นจากประตูตะวันตก เป็นเถาจองจำเซียนระดับดวงจิตดรุณสามต้น ขณะเดียวกันหมอกวิญญาณที่แผ่ขยายมาอย่างต่อเนื่องได้บีบเข้ามาทางประตูตะวันตกของเมืองหมอกลับแลแล้ว
หนทางรอดสุดท้ายถูดปิดตาย เมืองหมอกลับแลอันยิ่งใหญ่ตกอยู่ในสภาวะอับจนและไม่อาจแก้ไขได้แล้ว
ยามนี้ทุกแห่งหนในเมืองหมอกลับแลมีเสียงกรีดร้องดังระงม
นั่นคือเสียงตะโกนด้วยความสิ้นหวังอันไร้หนทางรอด
……
เสิ่นเทียนขมวดคิ้วมุ่น เขากลับไม่ได้สิ้นหวัง
เพราะก่อนหน้านี้เขาก็เห็นภาพของเมืองหมอกลับแลในวงรัศมีของฟางฉาง แม้เมืองหมอกลับแลในภาพจะค่อนข้างวังเวง แต่ไม่ได้เป็นเมืองร้างไปเสียทั้งหมด
หรือก็คือนี่ไม่ใช่สถานการณ์อับจนหนทาง เรื่องราวยังมีโอกาสพลิกกลับ ขอแค่ต้องแบกไว้จนโอกาสนั้นมาถึง
เมื่อคิดได้ดังนั้น เสิ่นเทียนก็พูดอย่างเฉยชา “อย่ากลัว หอจันทร์รุ้งมีค่ายกลป้องกันอยู่ ตามข้ากลับไป!”
เมื่อเห็นเสิ่นเทียนที่ดูไม่ตระหนกแม้แต่น้อยแล้ว ยามนี้พวกฉินอวิ๋นตี๋ต่างเกิดความเลื่อมใสในใจ
สมกับเป็นท่านเซียน (ศิษย์พี่บุตรศักดิ์สิทธิ์) ไม่ตื่นตระหนกเลย ทุกอย่างอยู่ในการควบคุมหมด
ต้องบอกว่าติดตามท่านเซียน (ศิษย์พี่บุตรศักดิ์สิทธิ์) แล้วรู้สึกปลอดภัยมาก!
เสิ่นเทียนไม่รู้ว่าเจ้าพวกนี้กำลังคิดอะไรอยู่ และไม่มีเวลามาคาดเดาด้วย
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: บุตรแห่งโชคที่ว่า ไม่ใช่ข้าแน่นอน