บทที่ 258 ความเมตตาของท่านปรมาจารย์สวรรค์!
ผ่านไปสองวันหลังจากหอคอยเทพสงครามมาเยือนแดนศักดิ์สิทธิ์เทพสวรรค์
ในระหว่างสองวันนี้ เยี่ยฉิงชางได้ผลักดันรูปแบบ ‘การประลองปกติ’ ขึ้น
เทียบกับแบบเดิมพันที่ไม่ทันไรก็ต้องจ่ายของเดิมพันระดับล้านหรือสิบล้านแล้ว รูปแบบการประลองนี้มีความเสี่ยงน้อยกว่า
สำหรับศิษย์เทพสวรรค์ส่วนใหญ่ การจ่ายศิลาวิญญาณเล็กน้อยก็ได้ประลองกับคู่ต่อสู้ที่พอใจ นี่ก็คุ้มค่าเช่นกัน
ส่วนศิษย์สายตรงพวกนั้น มีหลายคนเลือกแบบเดิมพันต่อสู้กับโอรสสวรรค์โลกเซียนระดับเดียวกัน
เพียงแต่ว่าศิษย์สายตรงเทพสวรรค์ส่วนใหญ่จะหยุดอยู่ที่ขั้นหนึ่งดาวถึงสองดาว
ถึงอย่างไรโอรสสวรรค์นี้ก็ไม่ได้ใช้มาตรฐานของโลกมนุษย์ แต่แบ่งตามมาตรฐานของหอคอยเทพสงครามในโลกเซียน
พวกศิษย์สายตรงแดนศักดิ์สิทธิ์เทพสวรรค์ได้ประเมินอยู่หนึ่งถึงสองดาวก็หายากมากแล้ว หากเป็นศิษย์สายตรงแดนเทวาแดนผาสุกส่วนใหญ่ บางทีอาจจะไม่ถือว่าเป็นโอรสสวรรค์หนึ่งดาวที่ต่ำที่สุดด้วยซ้ำ
แน่นอนว่าพวกอัจฉริยะที่ลองการประลอง ‘แบบเดิมพัน’ ได้อะไรไปกันทุกคน บางคนยังได้ของไปไม่น้อยในหอคอยเทพสงคราม
เวลานี้ศักยภาพและพลังแฝงของศิษย์สายตรงเทพสวรรค์ส่วนใหญ่กำลังพุ่งขึ้นสูง ขณะเดียวกันก็ไม่ได้มีแค่ศิษย์เทพสวรรค์เท่านั้นที่ได้รับผลประโยชน์พวกนี้
……
สำหรับผู้ฝึกบำเพ็ญเซียนแล้ว การสร้างเมืองเป็นเรื่องที่ง่ายมาก
ในวันแรกที่หอคอยเทพสงครามมาเยือน แดนศักดิ์สิทธิ์เทพสวรรค์ได้เกณฑ์ศิษย์หลายร้อยคนให้เริ่มสร้างเมืองใกล้ๆ กับหอคอยเทพสงครามแล้ว
ด้วยวิชาปัญจธาตุ ศิษย์พวกนี้จึงสร้างเป็นเมืองเล็กเสร็จได้ในเวลาครึ่งวัน
แม้ในด้านขนาดจะเทียบกับเมืองศักดิ์สิทธิ์เทพสวรรค์ไม่ได้เลยก็ตาม แต่หากใช้ต้อนรับศิษย์ฝ่ายเซียนอื่นที่มาท่องเที่ยว ทดลองหรือเดิมพันในหอคอยเทพสงครามแล้ว ก็ยังเหลือเฟือ
ช่วงหลายวันมานี้ ข่าวที่หอคอยเทพสงครามมาเยือนแดนศักดิ์สิทธิ์เทพสวรรค์ดังไปถึงแดนเทวาแดนผาสุกโดยรอบ แดนเทวาแดนผาสุกที่มีอาณาเขตติดกับแดนศักดิ์สิทธิ์เทพสวรรค์ส่งคนมาแสดงความยินดีกันก่อนแล้ว
ของขวัญแต่ละอย่างก็ไม่ใช่น้อยๆ
อย่างเช่นเจ้าแดนเทวาแห่งแดนเทวาต้นท้อก็มอบต้นท้อเซียนให้สองต้นใหญ่
ต้นท้อเซียนนี้เป็นสมุนไพรวิญญาณที่ล้ำค่ายิ่ง สามารถเพิ่มอายุขัยของผู้ฝึกบำเพ็ญได้ร้อยปี สำหรับผู้ฝึกบำเพ็ญที่ทะลวงคอขวดไม่ได้ ไม่ต้องสงสัยเลยว่าสมุนไพรวิญญาณชนิดนี้คือสมบัติล้ำค่าช่วยชีวิต ไม่อาจประเมินค่าได้
อย่างเช่นเจ้าแดนเทวาประกายทองก็มอบกระบี่ล้ำค่าเอกระฟ้าให้เล่มหนึ่ง
กระบี่เล่มนี้เป็นอาวุธวิญญาณระดับสูง มูลค่าอย่างน้อยหลายหมื่นผลึกวิญญาณ เรียกได้ว่าล้ำค่ายิ่ง
และอย่างเช่นเจ้าแดนผาสุกซากวิญญาณ ก็ได้มอบไข่มุกล้ำค่ารวมจิตเม็ดหนึ่ง
ไข่มุกชนิดนี้เป็นอาวุธวิญญาณที่เกิดขึ้นเองในฟ้าดิน สามารถดูดพลังวิญญาณฟ้าดินเองได้ เพิ่มความเร็วในการดูดซับของผู้ฝึกบำเพ็ญ
กล่าวคือของขวัญจากฝ่ายเซียนใหญ่ๆ ในครั้งนี้ถือว่าเป็นของชิ้นใหญ่
พวกศิษย์น้องใต้อาณัติรู้จักวางตัวเช่นนี้ พี่ใหญ่แดนศักดิ์สิทธิ์เทพสวรรค์ย่อมไม่มองเป็นคนอื่นคนไกล จึงแสดงออกว่าให้ศิษย์และผู้อาวุโสทุกฝ่ายเข้าไปฝึกฝนในหอคอยเทพสงครามได้แบบไม่มีจำกัดใดๆ
แน่นอนว่าการแพ้ชนะได้กำไรหรือขาดทุนในหอคอยเทพสงครามไม่เกี่ยวอะไรกับแดนศักดิ์สิทธิ์เทพสวรรค์แล้ว ถึงอย่างไรแดนศักดิ์สิทธิ์ก็เป็นฝ่ายทางการ ไม่เข้าหาก่อน ไม่ปฏิเสธ และไม่รับผิดชอบ
ดังนั้นพวกอัจฉริยะจากแดนเทวาแดนผาสุกจึงเริ่มเดินทางมาฝึกฝนกันทีละระลอก
น่าเสียดายก็แต่ตอนที่พวกเขาเข้าไปดูเต็มไปด้วยความอิ่มเอมใจ แต่ตอนที่ออกมากลับดูหน้าม่อยคอตก ดูไม่มีความหมายในการมีชีวิตแล้ว
กระทบกระเทือน ถูกกระทบกระเทือนรุนแรงเกินไป!
โอรสสวรรค์พวกนั้นปกติจะเป็นสุดยอดโอรสสวรรค์ในสำนักของตน
พวกเขาชี้แนะแม่น้ำภูเขา แสดงความคิดวิพากษ์วิจารณ์คนอื่น คิดว่าตนมีพรสวรรค์เป็นหนึ่ง ทว่าหลังจากเข้าหอคอยเทพสงคราม พวกเขาก็พบเรื่องเศร้าก่อนว่าเงินที่ตนเก็บสะสมอันน้อยนิดในกระเป๋าไม่พอจะเดิมพันกับระดับสามสี่ดาว
ต่อมาก็พบเรื่องเศร้าอีกว่าตนไม่ต้องเป็นกังวลว่าจะไม่มีเงินท้าประลองกับโอรสสวรรค์สามสี่ดาวเลย เพราะว่า…แม้แต่โอรสสวรรค์หนึ่งดาว พวกเขายังเอาชนะไม่ได้~
โลกภายนอกช่างโหดร้ายยิ่งนัก!
…….
ในเวลาสองวันสั้นๆ เด็กหนุ่มฝ่ายเซียนที่เดิมทีมองสูงมากมายเริ่มเติบโตด้วยความพ่ายแพ้แล้ว
คนที่มีจิตใจและปัญญาค่อนข้างเด็ดเดี่ยวจะรู้ว่าตนแกร่งไม่พอ และเริ่มพยายามฝึกฝนต่อสู้มากขึ้น
แต่คนที่มีจิตใจค่อนข้างเปราะบางคนถึงกับสิ้นความมุ่งมั่นในการต่อสู้ไปเลยก็มี เพียงแต่เทียบกันแล้วมีน้อยกว่ามาก
สรุป หอคอยเทพสงครามมีชื่อเสียงในหมู่ศิษย์ฝ่ายเซียนพวกนี้แล้ว ศิษย์แทบทุกคนพูดคุยกันว่าใครในฝ่ายเซียนใดไปถึงขั้นที่เท่าไรในหอคอย
เพราะเหตุนี้เอง เสิ่นเทียนและจางหลงหยวนจึงแนะนำให้เยี่ยฉิงชางสร้างศิลาดาวรุ่งเทพสงครามขึ้นเป็นพิเศษ ในศิลาโบราณนี้จะบันทึกเพียงผลคะแนนในหอคอยเทพสงครามของโอรสสวรรค์ที่อยู่ในช่วงอายุร้อยปีเท่านั้น
หลังจากเกินร้อยปีไป นามบนศิลาดาวรุ่งจะหายไป ถูกคนข้างหลังเข้ามาแทนที่
พูดให้ถูกคือนี่เป็นการจัดอันดับโอรสสวรรค์ในยุคเดียวกัน หากมีนามบนศิลาดาวรุ่งนี้ ก็พิสูจน์ได้ว่าพรสวรรค์ของเจ้ามากพอจะติดหนึ่งในร้อยในช่วงร้อยปีนี้
สำหรับศิษย์ฝ่ายเซียนส่วนใหญ่แล้ว นี่ถือว่าเป็นเกียรติยศยิ่งใหญ่
ถึงอย่างไรดินแดนบูรพาก็กว้างใหญ่ มีผู้ฝึกบำเพ็ญตั้งมากเท่าไร
การติดหนึ่งในร้อยในโอรสสวรรค์ทั้งหมดในร้อยปีนี้ มันไม่ใช่แค่หนึ่งในร้อยล้าน!
ตอนนี้สองวันผ่านไป ศิษย์ที่เข้าไปฝึกฝนในหอคอยเทพสงครามไม่พันคนก็ห้าร้อยแล้ว อันดับร้อยคนแรกในศิลาดาวรุ่งเทพสงครามเต็มไปนานแล้ว แต่การแข่งขันก็ยังไม่ได้ดุเดือดมาก
ถึงอย่างไร โอรสสวรรค์ระดับบุตรศักดิ์สิทธิ์และสตรีศักดิ์สิทธิ์จากแดนศักดิ์สิทธิ์อื่นๆ ก็ยังไม่มากัน!
อัจฉริยะจากแดนเทวาแดนผาสุกจำนวนมากจึงอาศัยจังหวะนี้เข้าฝึกฝน หากติดร้อยอันดับแรกจริงๆ ออกไปแล้วก็จะได้คุยโม้อย่างยิ่งใหญ่
รู้จักศิลาดาวรุ่งเทพสงครามหรือไม่ บุตรศักดิ์สิทธิ์สตรีศักดิ์สิทธิ์บางคนอาจจะไม่ติดร้อยอันดับแรกด้วยซ้ำ แต่ข้าเข้าไปได้!
สงสัยว่าจะเป็นเพราะความคิดเช่นนี้ ธุรกิจของหอคอยเทพสงครามในช่วงหลายวันมานี้จึงไม่ต้องเอ่ยเลยว่ารุ่งเรืองเพียงใด!
………
ตอนนี้นนอกหอคอยเทพสงคราม
ซ่งฟู้กุ้ย หลิวไท่อี่ กุ้ยกงกงและพวกฉินเกากำลังรออยู่เงียบๆ
ศิษย์เทพสวรรค์หรือศิษย์ฝ่ายเซียนอื่นผ่านทางมาจะมองพวกเขาด้วยแววตาอิจฉาริษยา
นั่นพวกเขา นั่นพวกเขา!
พวกคนที่ใกล้ชิดกับศิษย์พี่เสิ่นบุตรศักดิ์สิทธิ์เทพสวรรค์มากที่สุด ได้ยินว่าพวกเขาได้ส่วนลดของเดิมพันห้าส่วนในหอคอยเทพ การประลองแบบปกติก็ไม่ต้องเสียเงิน
นี่ทำให้คนอิจฉาเสียจนหน้าบูดเบี้ยวไปหมด!
พวกซ่งฟู้กุ้ยและหลิวไท่อี่ไม่สนใจเสียงสนทนาของทุกคนโดยรอบเลย ถึงอย่างไรพวกเขาก็เป็นคนที่ได้ประจบอย่างใกล้ชิด อยู่คนละระดับกับคนธรรมดาพวกนั้นมานานแล้ว
แม้แต่จางซานศิษย์สายตรงแดนศักดิ์สิทธิ์เทพสวรรค์ ตอนนี้ยังได้แต่ตามต้อยๆ อยู่ข้างหลังพวกเขา แสดงตัวเป็นเด็กใหม่
จางซานพูดด้วยความแปลกใจ “ศิษย์พี่ซ่ง ศิษย์พี่หลิว ข้ามีเรื่องหนึ่งสงสัยมาก ไม่รู้ว่าควรจะถามหรือไม่”
ซ่งฟู้กุ้ยยิ้ม “เข้ากลุ่มมาก็เป็นคนกันเองทั้งนั้น ถามมาเถอะ!”
จางซานพูดด้วยความอยากรู้อยากเห็น “ศิษย์พี่บุตรศักดิ์สิทธิ์เข้าไปฝึกในหอคอยเทพสงครามตั้งแต่ตะวันขึ้นเมื่อวาน ตามหลักก็น่าจะปิดด่านบำเพ็ญอยู่ แต่เหตุใดไม่ว่าจะในศิลารวมเทพสงครามหรือศิลาดาวรุ่งเทพสงคราม ถึงไม่มีนามของศิษย์พี่ล่ะ!”
คำถามนี้ไม่ได้มีเพียงจางซานที่สงสัยคนเดียว ความจริงคนส่วนใหญ่ก็อยากรู้กันมาก
ถึงอย่างไรจากแหล่งข่าวที่น่าเชื่อถือได้ ก็บอกว่าศิษย์พี่บุตรศักดิ์สิทธิ์เป็นคนนำหอคอยเทพสงครามกลับมา
เมื่อเห็นจางซานที่ใบหน้าเต็มไปด้วยอยากรู้อยากเห็นแล้ว ซ่งฟู้กุ้ยก็ยิ้มแต่ไม่ตอบ
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: บุตรแห่งโชคที่ว่า ไม่ใช่ข้าแน่นอน