จอมศาสตราพลิกดารา นิยาย บท 116

หลี่มู่เดินอยู่ในค่ายกล เริ่มเก็บรายละเอียดบางอย่างขั้นต่อไป

นี่เป็นครั้งแรกที่เขาวางค่ายกล หลายแห่งเป็นสิ่งที่เขาอนุมานออกมา ดังนั้นจึงต้องระวังเอาไว้

ไม่นานนัก ภายใต้การปรับของหลี่มู่ การขับเคลื่อน ‘ค่ายกลดาราพิฆาต’ จึงทำได้ราบรื่นขึ้นเรื่อยๆ

เหมือนรถใหม่เมื่อผ่านการปรับสภาพเครื่องยนต์แล้ว ถึงจะสำแดงความเร็วที่แท้จริงออกมา

ยกตัวอย่างเช่นเมื่อครู่ ในยามที่กระตุ้นพลังของดวงดาวทำให้เกิดปรากฏการณ์ประหลาดทั่วทั้งที่ว่าการ จุดนี้เป็นสิ่งที่เขารู้ และหลังจากกระตุ้นพลังของดาราพิฆาต พลังหยินหยางทั้งสองปรับสมดุลแล้ว เหตุการณ์ประหลาดถึงค่อยๆ สงบลง พลังทั้งหมดถูกควบคุมเอาไว้ ราวกับลบล้างทุกสิ่งกลับคืนสู่สภาพปกติ

โดยเฉพาะจากการที่หลี่มู่ปรับสมดุล ‘ค่ายกลดาราพิฆาต’ อยู่ตลอด เหตุการณ์ประหลาดจึงหายไปโดยสิ้นเชิง

เช่นนี้แล้ว ต่อให้มียอดฝีมือมาถึงที่ว่าการก็ไม่มีทางสัมผัสได้ถึงความผิดปกติ

มองภูเขาก็ยังเป็นภูเขา มองสายน้ำก็ยังเป็นสายน้ำ มองต้นไม้ใบหญ้าหินผาไม่มีอะไรแตกต่างไป

เช่นนี้ไม่มีทางก่อให้เกิดเรื่องยุ่งยากหรือถูกจ้องจับตามองเป็นมันโดยไม่จำเป็นแล้ว

แน่นอน หากมีคนไม่รักษากฎฝืนบุกเข้ามาตกอยู่ในค่ายกล ทุกอย่างจะเปลี่ยนไปในเพียงชั่วพริบตา

ถึงตอนนั้นเกิดการปะทุของพลังดาราพิฆาต จิตสังหารก็จะปรากฏขึ้น ฟ้าดินจะผันเปลี่ยนทันที

ต่อให้เป็นกองทัพนับพันนับหมื่น เกรงว่าคงเข้าได้ออกไม่ได้

ขอแค่หลี่มู่ยินดีก็สามารถควบคุมค่ายกล เปลี่ยนแปลงทุกสรรพสิ่ง กักขังหรือสังหารยอดฝีมือขั้นปรมาจารย์ไว้ในค่ายกลดาราพิฆาตได้ทันที ราวกับเป็นเขาวงกตก็ไม่ปาน

……

“อีกแล้ว…กลับเป็นปกติอีกแล้ว?”

หวางเฉินตื่นตะลึงอีกครั้ง

ฉินเจินที่อยู่ข้างๆ ก็รู้สึกตกใจเช่นกัน

เพราะพวกเขาพบเห็นสิ่งที่ยากจะเข้าใจได้ ที่ว่าการอำเภอขาวพิสุทธิ์กลับมามองเห็นได้อีกแล้ว ทั้งต้นไม้ใบหญ้า สายธารภูเขาจำลอง ประตูกำแพง อาคารบ้านเรือน ล้วนมองเห็นได้อย่างชัดเจน แสงอาทิตย์เพียงสาดส่องมา หมอกสีขาวที่ปกคลุมทั่วทั้งที่ว่าการก่อนหน้านี้หายไปโดยสิ้นเชิง และไอเซียนลึกลับนั่นก็หายไปตามกัน

ที่ว่าการกลับสู่สภาพปกติ

ราวกับทุกอย่างก่อนหน้านี้เป็นภาพลวงตา ที่จริงแล้วไม่เคยเกิดขึ้นเลย

แต่ว่า ไม่ว่าจะเป็นฉินเจินหรือหวางเฉินก็ไม่มีทางคิดว่าทุกอย่างเมื่อครู่เป็นภาพลวงตาจริงๆ

เพราะลางสังหรณ์บอกเขาว่า ที่ว่าการเบื้องหน้านี้เปลี่ยนไปแล้ว

“องค์หญิง ขออภัยที่ข้าพูดตรงๆ หลี่มู่คนนี้ภูมิหลังลึกลับ ไม่เพียงแต่พลังเป็นเลิศ เบื้องหลังอาจจะมีขั้วอำนาจชั้นยอดสนับสนุนอยู่ หากองค์หญิงดึงเขามาเป็นพวกได้ บางที…” หวางเฉินอดไม่ได้ที่จะเอ่ยปากโน้มน้าวอีกครั้ง

ความตื่นตะลึงและประหลาดใจแต่ละครั้งล้วนมาจากหลี่มู่ เขาต้องยกระดับการประเมินหลี่มู่ขึ้นอีกครั้ง ยกตัวอย่างเช่นครั้งนี้ เห็นได้ชัดว่าในที่ว่าการซ่อนจอมเวทขั้นยอดปรมาจารย์ซึ่งอาจเป็นคนในสำนักของหลี่มู่เอาไว้ บุคคลเช่นนี้หากนำไปไว้ในสักจักรวรรดิในบรรดาทั้งสาม ก็นับว่าเป็นระดับอาวุธทำลายล้างแล้ว ไม่ต้องพูดถึงอย่างอื่น ลำพังแค่บุคคลเช่นนี้ผู้หนึ่ง หากเลือกยืนอยู่ข้างฝ่ายองค์หญิง เช่นนั้นก็มากพอจะเปลี่ยนแปลงตำแหน่งในจักรวรรดิขององค์หญิงองค์ชายสองพี่น้องได้ อย่างน้อยก็มีพลังปกป้องตัวเอง

องค์หญิงฉินเจินยิ้มพูดขึ้นว่า “ท่านอาจารย์ หรือท่านไม่เคยคิดว่าขั้วอำนาจเบื้องหลังหลี่มู่อาจหวังมากกว่านั้น และไม่ใช่ขั้วอำนาจที่พวกเราจะดึงมาได้?”

หวางเฉินนิ่งอึ้ง

เขาละเลยจุดนี้ไป

ใช่แล้ว ในโลกใบนี้มีผู้แข็งแกร่งยอดฝีมือมากมายนับไม่ถ้วน แต่ไม่มีทางมีจอมเวทขั้นยอดปรมาจารย์ที่ไร้ภูมิหลังโผล่ออกมาเฉยๆ แน่นอน ก่อนหน้านี้ตนปรารถนาจะดึงหลี่มู่มาเป็นพวกอย่างแรงกล้า ดังนั้นจึงไม่ได้พิจารณาถึงด้านนี้

ก่อนหน้านี้ หวางเฉินแค่รู้สึกว่าขุนนางเมืองน้อยหลี่มู่คนนี้เป็นคนในแวดวงขุนนางของจักรวรรดิ ขอแค่องค์หญิงมอบอำนาจและตำแหน่งให้ก็น่าจะดึงมาเป็นพวกได้ แต่คิดให้ละเอียดแล้ว ในเมื่อข้างหลังมีจอมเวทขั้นยอดปรมาจารย์อยู่ ไยหลี่มู่จึงพอใจเป็นแค่ขุนนางเมืองในเมืองเล็กๆ ในที่ไกลกันดารเช่นนี้?

บางที แท้จริงแล้วหลี่มู่อาจจะเป็นหมากที่ขั้วอำนาจอื่นของจักรวรรดิวางไว้ก็ได้?

หากเป็นเช่นนี้แล้วละก็…

หวางเฉินตระหนักได้ทันที ก่อนหน้านี้ตนคิดตื้นเขินไปเพราะความคิดแบบเดิมๆ เสียแล้ว

มิน่าเล่าตนยื่นไมตรีไปหลายต่อหลายครั้ง แต่หลี่มู่กลับไม่รับน้ำใจไว้เลยแม้แต่น้อย

“อาจารย์หวาง ช่วงนี้ท่านค่อนข้างร้อนรนนะ” ใบหน้างามล้ำของฉินเจินเผยความซาบซึ้งจริงใจ “ข้ารู้ว่าท่านร้อนใจเพื่อพวกเราพี่น้อง แต่ยิ่งรีบร้อนก็จะยิ่งช้าได้ ตอนนี้ดูแล้วหลี่มู่เป็นเพียงแค่หมากตัวหนึ่งของขั้วอำนาจลึกลับเท่านั้น หมากตัวนี้วางเอาไว้อย่างโจ่งแจ้ง หมายความว่าตำแหน่งของเขาไม่สูง ตัดสินใจอะไรไม่ได้ เป็นแค่บุคคลเล็กๆ เท่านั้น ท่านอย่าได้สนใจให้มากเกินไป เพียงติดตามความเคลื่อนไหวของเขาอย่างใกล้ชิดก็พอ พวกเราแค่ติดต่อกับจอมเวทขั้นยอดปรมาจารย์เบื้องหลังของเขาคนนั้นหรือบุคคลคนอื่นๆ อีกระดับที่มีอำนาจพูดและตัดสินใจก็ได้แล้ว”

“องค์หญิง ข้าเข้าใจแล้ว” หวางเฉินพยักหน้ากล่าว

ในใจของเขาวางแผนแล้ว จะทำอย่างไรให้รู้ว่าขั้วอำนาจลึกลับเบื้องหลังหลี่มู่ตกลงแล้วเป็นใครจากที่ใดกันแน่

เรื่องนี้ยังต้องหาเบาะแสจากตัวของหลี่มู่อีก

ในเมื่อองค์หญิงไม่เสียดายที่จะคบค้ากับบุคคลเล็กๆ เช่นหลี่มู่ เช่นนั้นเรื่องแบบนี้ให้เขาไปทำก็แล้วกัน

สำหรับคำตำหนิอ้อมค้อมเมื่อครู่ เขาไม่ได้ใส่ใจนัก กระทั่งชาชินเสียแล้ว

คนต่างคิดว่า ‘สุภาพบุรุษวาโย’ หวางเฉินคือมันสมองข้างกายองค์หญิงฉินเจิน ผู้นำระดับสูงของจักรวรรดิฉินตะวันตกต่างมีความเห็นเหมือนกัน หลายคนคิดว่าเป็นเพราะมีความช่วยเหลือจากหวางเฉิน ฉินเจินถึงได้ผ่านลมฝนมากมายในเมืองฉินที่มีภัยอันตรายซุกซ่อนมาได้อย่างปลอดภัย และพาน้องเล็กที่ไม่เป็นที่โปรดปรานรวมถึงอำนาจที่กระจัดกระจายยืนหยัดมาได้นานถึงเพียงนั้น

แต่ว่าสิ่งที่ผู้คนไม่รู้ก็คือ ที่จริงการวางแผนและกลยุทธ์สำคัญมากมายในตอนนั้น แผนการที่ผู้คนมากมายจนถึงวันนี้ก็ยังคงมองว่าเป็นแผนการแยบคาย ผู้วางแผนที่แท้จริงก็คือตัวองค์หญิงฉินเจินที่ทั้งอ่อนเยาว์และงดงามผู้นี้เอง

เรื่องนี้มีเพียงแค่หวางเฉินที่รู้

ผู้ทรงปัญญาที่แท้จริงคือฉินเจิน

องค์หญิงที่มีรูปโฉมเป็นหนึ่ง ได้รับการขนานนามว่างดงามพิลาศสะกดใจที่สุดในประวัติศาสตร์ฉินตะวันตก แท้จริงแล้วมีสติปัญญาที่ยิ่งน่าตื่นตะลึงมากกว่าความงามของนาง เพียงแต่ตลอดมาเคยชินกับการซ่อนคมไว้ในฝักเสมอ

หวางเฉินแอบปรับสภาพจิตใจของตนหลังจากผ่านการเตือนสติจากฉินเจิน

“พี่หญิง อาจารย์หวาง พวกท่านสัมผัสได้หรือไม่ว่าพลังวิญญาณในหอเหมือนจะเข้มข้นกว่าปกติมาก” องค์ชายน้อยฉินเจิ้งพลันเอ่ยปากอย่างตื่นเต้น

เขาฝึกฝนวิชา ‘หยกจรัส’ จึงไวต่อระดับความเข้มข้นของพลังวิญญาณเป็นที่สุด

ฉินเจินพยักหน้า “ใช่แล้ว เข้มข้นขึ้นอย่างน้อยสามเท่า”

นางที่เป็นยอดฝีมือด้านยุทธ์แน่นอนว่ารู้สึกได้

แต่ว่า สำหรับนางเรื่องนี้ไม่ประหลาดอะไร

เห็นได้อย่างชัดเจนว่าเป็นผลลัพธ์ปกติของพลังเวทที่สลายแผ่กระจาย หลังจากที่จอมเวทขั้นยอดปรมาจารย์ลึกลับในที่ว่าการคนนั้นสำแดงเวทอัสนีเมื่อครู่ ในเมื่อวิชาเวทอัสนีน่าสะพรึงกลัวขนาดนั้น พลังที่แฝงอยู่ย่อมน่ากลัวอย่างยิ่ง ต่อให้สำแดงเวทอัสนีเสร็จสิ้นแล้ว พลังวิญญาณฟ้าดินที่ฝืนรวบรวมมาพวกนั้นไม่มีทางหายไปหมดสิ้นในชั่วพริบตาแน่นอน แต่จะกระจายไปในอากาศ แล้วทำให้พลังวิญญาณรอบที่ว่าการเพิ่มขึ้นมหาศาล

นี่เป็นเหตุการณ์ปกติทั่วไป

ส่วนหวางเฉินเห็นได้ชัดว่ามีความคิดเหมือนกับองค์หญิงฉินเจิน ดังนั้นจึงไม่สนใจการเพิ่มขึ้นของระดับความเข้มข้นพลังวิญญาณในอากาศ

ผ่านไปอีกครึ่งวัน เมื่อพลังเวทของวิชาเวทอัสนีสลายไปจนหมด พลังฟ้าดินในอากาศก็จะค่อยๆ เบาบางลง

……

ในที่ว่าการ

หงส์ฟ้าน้อยจ้าวหลิงยืนอยู่ในสวนดอกไม้ข้างหลังที่ว่าการด้วยสีหน้าตื่นตะลึง

แน่นอนว่านางเห็นเหตุการณ์ประหลาดอัสนีฟาดผ่าเมื่อครู่ แต่ที่นางตกตะลึงไม่ใช่เพราะเหตุนี้

ไม่รู้จักหน้าตาของเขาหลูซาน ก็เพราะตัวอยู่ในเขาหลูซาน

บางทีอาจเป็นเพราะตัวอยู่ข้างใน จึงสัมผัสถึงความน่ากลัวของเหตุการณ์สายฟ้าประหลาดได้ไม่ชัดเจนเหมือนคนข้างนอก เมฆดำสายอัสนีบดบังไว้ ดังนั้นนางจึงมองไม่เห็นภาพด้านนอกที่ว่าการ นางยังคิดว่าทั่วทั้งอำเภอขาวพิสุทธิ์ล้วนถูกปกคลุมอยู่ในสายฟ้า ดังนั้นจึงมองการเปลี่ยนแปลงนี้เป็นสภาพอากาศผิดปกติบริเวณกว้างอย่างหนึ่ง

สิ่งที่ทำให้นางอึ้งตะลึงก็คือ ในที่ว่าการอำเภอมีพลังวิญญาณเข้มข้นขึ้นมากกว่าสิบเท่า

มีเพียงจุดรวมชีพจรมังกรใต้ดินบางแห่งบนยอดเขาหลักของเขาขาวพิสุทธิ์เท่านั้น ถึงจะมีความเข้มข้นของพลังวิญญาณได้ถึงระดับนี้

แต่ที่แบบนั้น ต่อให้เป็นในสำนักกระบี่ขาวพิสุทธิ์ก็มีแค่สิบกว่าแห่ง มีเพียงผู้นำระดับสูงของสำนักและศิษย์หัวกะทิคนสำคัญที่แท้จริงจึงจะมีคุณสมบัติเข้าไปปิดด่านฝึกฝนข้างในนั้น ยกตัวอย่างเช่นอัจฉริยะเช่นพี่ชายของนางจ้าวอวี่ จ้าวหลิงเองถึงแม้จะเป็นอัจฉริยะ แต่เพราะยังไม่เข้าสู่ขั้นปรมาจารย์ จึงไม่อาจได้รับสิทธิ์นั้นมา

“ฝึกฝนอยู่ในสภาพแวดล้อมแบบนี้ ประหยัดเวลาได้กว่าครึ่งเชียว”

จ้าวหลิงหายใจเข้าปอดเฮือกใหญ่อย่างละโมบ

หากสามารถฝึกฝนอยู่ในที่ที่พลังวิญญาณเพียงพอเช่นนี้หนึ่งปี เช่นนั้นก็ช่างเป็นเรื่องที่ดีนัก

ในใจของนางเกิดความคิดเช่นนี้ขึ้น

แต่นางก็รู้ว่าเป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้

ถึงจะไม่รู้ว่าทำไมเหตุการณ์ประหลาดที่สายฟ้าฟาดผ่าทำให้ระดับความเข้มข้นของพลังวิญญาณในอากาศเพิ่มขึ้นได้ แต่ที่ว่าการอำเภอแห่งนี้ไม่ใช่แดนเซียน ดังนั้นพลังวิญญาณเข้มข้นเช่นนี้จะต้องสลายหายไปตามเวลาที่ล่วงเลยแน่นอน สุดท้ายทุกอย่างก็จะกลับเป็นปกติ

ในตอนนี้เอง เสียงหนึ่งดังขึ้นจากข้างหลัง

“แอบมาอู้อยู่ที่นี่อย่างนั้นรึ? คนป่วยที่ข้าให้เจ้าดูแลตอนนี้เป็นอย่างไรบ้างแล้ว?”

หลี่มู่ปรากฏตัวข้างหลังจ้าวหลิงอย่างเงียบงัน

“เจ้า…มาตอนไหนกัน? แอบดูข้าอย่างนั้นรึ?” จ้าวหลิงตกใจสะดุ้ง หมุนตัวมองอย่างโมโห

“แอบดูมารดาเจ้าสิ” หลี่มู่ดีดหน้าผากของหงส์น้อยที่หยิ่งยโสคนนี้อย่างไม่เกรงใจ ก่อนจะเอ่ย “ข้าเป็นถึงขุนนางเมือง ทุกอย่างในที่ว่าการรวมถึงเจ้าล้วนเป็นของข้า จำเป็นต้องแอบดูหญิงรับใช้ที่ขนยังขึ้นไม่หมดแบบเจ้ารึไงกัน?”

“โอ๊ย เจ้า…” จ้าวหลิงร้องขึ้นอย่างเจ็บปวด โมโหจนกัดฟันกรอด แต่จนแล้วจนรอดก็หลบไม่พ้น หน้าผากโดนดีดจนปูด นางที่โมโหสุดๆ วู่วามชักกระบี่ยาวข้างเอวออกมา “เจ้าคนบ้าตัณหา หากมือไม้ยังอยู่ไม่สุขอยู่อีกละก็ ข้าจะสู้สุดชีวิตกับเจ้า…”

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: จอมศาสตราพลิกดารา