จอมศาสตราพลิกดารา นิยาย บท 151

สรุปบท บทที่ 151 จารึกเรือนซอมซ่อ: จอมศาสตราพลิกดารา

สรุปตอน บทที่ 151 จารึกเรือนซอมซ่อ – จากเรื่อง จอมศาสตราพลิกดารา โดย Internet

ตอน บทที่ 151 จารึกเรือนซอมซ่อ ของนิยายกำลังภายในเรื่องดัง จอมศาสตราพลิกดารา โดยนักเขียน Internet เต็มไปด้วยจุดเปลี่ยนสำคัญในเรื่องราว ไม่ว่าจะเป็นการเปิดเผยปม ตัวละครตัดสินใจครั้งสำคัญ หรือฉากที่ชวนให้ลุ้นระทึก เหมาะอย่างยิ่งสำหรับผู้อ่านที่ติดตามเนื้อหาอย่างต่อเนื่อง

หนึ่งหมื่นตำลึงทองไม่ใช่หนึ่งหมื่นตำลึง ความแตกต่างระหว่างทั้งสองนั้นมหาศาลเกินไป

หัวหน้าโรงฝึกยุทธ์พลังพายุพูดขึ้นด้วยดวงตาเป็นประกาย “ก่อนหน้านี้ทำไมข้าถึงคิดวิธีนี้ไม่ได้กัน?” หากคิดวิธีนี้ได้ ป่านนี้โรงฝึกยุทธ์พลังพายุได้รวยไปถึงไหนๆ นานแล้ว? ยังต้องจัดลูกศิษย์ไปแบกหามที่ท่าเรือทุกวันเสียที่ไหน?

เทพพยากรณ์ได้ยินแล้วตกใจใหญ่ “ดีที่ท่านคิดวิธีเสียสติแบบนี้ไม่ได้ มิฉะนั้นโรงฝึกยุทธ์พลังพายุเราได้กลายเป็นสำนักร้างไปแล้ว” ขูดรีดข่มขู่ แถมยังรีดไถสมาพันธ์การค้าสมบูรณ์ผลตัวโหดแบบนั้นอีก นี่ใช่เรื่องที่ใครก็กล้าทำหรือ?

แต่ว่าครั้งนี้ ความสมเหตุสมผลอยู่ที่ยอดปรมาจารย์รุ่นเยาว์คนนี้ไม่มีใครวิพากษ์วิจารณ์ได้

“เป็นอย่างไร? คิดให้ดี โอกาสมีเพียงครั้งเดียว” เสียงของหลี่มู่ดังออกมาจาก ‘เรือนซอมซ่อ’ อีกครั้ง “ข้าไม่บังคับเจ้า เจ้าเลือกเอาเอง พูดตามตรงนะ หากข้าเป็นเจ้าแล้วละก็ ข้าจะใช้ดาบฟันให้ตายเสียให้รู้แล้วรู้รอด ลูกไม่เอาถ่านแบบนี้ตายไปเสียก็นับว่าเจ้าได้กำไรแล้ว เสียเจ้าลูกแบบนี้ไปแล้ว เจ้าก็กลับไปตบแต่งอนุพยายามๆ เข้ายังมีได้อีกสองสามคน มีประโยคหนึ่งกล่าวว่าไงนะ อ้อ ลูกคนแรกเลี้ยงจนเสียคนไปแล้ว มีคนที่สองจงใช้ประสบการณ์อบรมเลี้ยงดูใหม่อีกครั้ง” ในน้ำเสียงเจือการหยอกล้ออันมีเจตนาร้าย

โจวเต๋อเต้าเหงื่อเต็มหน้าผาก ยืนอึ้งอยู่กับที่ สีหน้าดิ้นรนเหี้ยมเกรียม

“ท่านพ่อ ช่วยข้า ช่วยข้าด้วย ท่านมีข้าเป็นลูกชายแค่คนเดียวนะ…” โจวอวี่ที่ถูกมัดอยู่ในรถม้า ทั้งตัวขยับไม่ได้ พยายามดิ้นรนอย่างบ้าคลั่ง ทั้งคร่ำครวญ ร้องลั่น ราวกับตกอยู่ในทรายดูดเหลือแค่หัวที่โผล่ออกมาข้างนอก ตะโกนราวกับคนเป็นฮิสทีเรีย

โจวเต๋อเต้ากัดฟัน กล่าวว่า “ได้ ข้ารับปากเจ้า”

เขาได้ลูกเมื่อยามแก่ มีแค่ลูกชายคนนี้คนเดียวเท่านั้น ถึงได้ตามใจขนาดนี้ อีกทั้งสิ่งที่ยิ่งสำคัญก็คือ โจวเต๋อเต้าใช่ว่าจะไม่มีอนุ เขาแอบเลี้ยงอนุไว้ข้างนอกอีกหลายบ้าน แต่ไม่ว่าจะพยายามอย่างไร กินยาวิเศษต่างๆ ไม่รู้ต่อเท่าไหร่ หลายปีผ่านไปก็ไม่มีบุตรอีกเลย เหมือนว่าเขาจะไม่ไหวในด้านนี้แล้ว

ดังนั้นลูกไม่เอาไหนคนนี้ เขาต้องปกป้องเอาไว้ให้ได้

ไม่เช่นนั้นจะสืบทอดสกุลต่อไปอย่างไร?

“ดี เช่นนั้นเจ้าก็ไปเตรียมเงินมาเถอะ ข้าให้เวลาเจ้าหนึ่งวัน”

เสียงของหลี่มู่ดังขึ้น

ใบไผ่เขียวชุ่มชอุ่มใบหนึ่งปลิดปลิวลงมาจากกำแพงเขียวมรกตของบริเวณ ‘เรือนซอมซ่อ’ ปลิวลอยละล่องมาพร้อมกับเสียงนี้ มันปลิวเข้าไปในช่องของรถม้า ร่วงลงบนหน้าผากของโจวอวี่ที่ร้องแหกปาก

พูดแล้วก็แปลกนัก เพียงเสี้ยวขณะที่ใบไผ่แตะลงไป โจวอวี่ที่ดิ้นรนสุดชีวิตจนหน้าดำหน้าแดงก็สงบลงทันที แววตาของเขากลับคืนสู่สภาพปกติ จากนั้นก็สงบลงแล้วหลับตาช้าๆ เข้าสู่ห้วงนิทราไปเหมือนกับนอนหลับลึก

“ภายในหนึ่งวัน เขาจะปลอดภัยไร้กังวล”

เสียงของหลี่มู่ดังขึ้นอีกครั้ง

โจวเต๋อเต้าพุ่งเข้าไปในรถม้า พิจารณาดูลูกชายอย่างละเอียด หมอชื่อดังที่ตามมาด้วย หลังจากแตะชีพจรก็พยักหน้า พูดขึ้นว่า “ชีพจรของคุณชายโจวสม่ำเสมอ ลมหายใจสงบ อวัยวะภายในเต้นชัดเจน ไม่เป็นอะไรแล้ว แค่หลับไปเท่านั้น”

โจวเต๋อเต้าโล่งอก

“ขอบคุณท่านยอดปรมาจารย์ที่ออมมือ” เขาประสานมือ

จากนั้นหันไปชี้ยังรถม้าสองสามคันข้างหลัง โจวเต๋อเต้าพูดอีก “นี่คือของกำนัลที่ข้าแซ่โจวเตรียมไว้ให้ท่านก่อนมา ท่านโปรดรับเอาไว้ด้วย นี่ไม่ได้นับรวมกับหนึ่งหมื่นตำลึงทองที่ตกลงกันไว้ ก่อนหน้านี้ล่วงเกินท่านไป ขอท่านโปรดอภัยด้วย เพียงแต่สมาพันธ์การค้าสมบูรณ์ผลของข้า ทรัพย์สมบัติมีจำกัด รวบรวมหนึ่งหมื่นตำลึงทองให้ได้ภายในหนึ่งวันก็ค่อนข้างฉุกละหุก ขอท่านเมตตาขยายเวลาให้อีกสักหน่อย ให้ข้ารวบรวมนำมามอบให้ภายในหกวันเป็นอย่างไร?”

ใน ‘เรือนซอมซ่อ’ เงียบงันไปครู่หนึ่ง ในตอนที่โจวเต๋อเต้าใจเต้นระส่ำ ก็ได้ยินเสียงของยอดปรมาจารย์รุ่นเยาว์ดังขึ้นอีกครั้ง “เจ้าก็แค่อยากจะยืดเวลามอบเงินออกไปหลังจากที่ข้าสู้กับธรรมาจารย์กระบี่สวรรค์บ้าบออะไรนั่นไม่ใช่รึ? หึๆ หากข้าตาย เจ้าก็ไม่ต้องจ่ายเงินแล้ว ใช่ไหมเล่า?”

“นี่ ข้าไม่กล้าเด็ดขาด” โจวเต๋อเต้าเหงื่อเย็นชื้นซึมทั่วหน้าผาก สิ่งที่เขานึกไว้ย่อมเป็นความคิดนี้ นึกไม่ถึงว่าเจ้าเด็กนี่จะมองออกในชั่วพริบตาเดียว

“ข้ารับปากเจ้าก็ได้ เจ้าไปเถอะ” เสียงของหลี่มู่ดังออกมาจากข้างใน

โจวเต๋อเต้ารีบหมุนตัวจากไปราวได้รับการละเว้นโทษ

คนสกุลโจวก็ถอยไปด้วยเช่นกัน

“เจ้าโจวเต๋อเต้านี่มันคนโง่” ใบหน้างดงามของหัวหน้าโรงฝึกยุทธ์เผยความเหยียดหยาม พูดพร้อมแสยะยิ้ม

เทพพยากรณ์ฉงน “เอ๋ ลูกพี่ทำไมคิดอย่างนั้นเล่า?”

“เจ้าคิดดูนะ หากยอดปรมาจารย์หลี่มู่สู้จนตายขึ้นมาจริงๆ ถึงตอนนั้นลูกชายของเขาก็ยิ่งไม่มีคนช่วย ได้ตายแน่ไม่ต้องสงสัย หากข้าเป็นเขาจะต้องให้หลี่มู่ถอนอาคมของลูกชายก่อนที่จะไปท้าดวลให้ได้ แบบนี้ถึงจะไม่พลาด” หัวหน้าโรงฝึกยุทธ์พลังพายุกล่าว

เทพพยากรณ์ลังเลเล็กน้อย ก่อนจะเอ่ย “ลูกพี่ ท่านอาจจะลืมเรื่องอะไรไปเรื่องหนึ่ง”

“เรื่องอะไร?”

“หากคนที่ลงอาคมตายไป มีโอกาสในระดับหนึ่งว่าอาคมที่ลงไว้ในร่างของผู้โดนอาคมจะสลายไปเองโดยไม่ต้องแก้”

“เอ๋? มีเรื่องแบบนี้ด้วยหรือ?”

“มีแน่นอน แต่ว่าก็เป็นแค่โอกาสส่วนหนึ่งเท่านั้น ไม่ใช่ร้อยทั้งร้อย โจวเต๋อเต้าก็กำลังวางเดิมพัน หากหลี่มู่สู้จนตัวตาย และอาคมในตัวโจวอวี่ไม่สลายไป เช่นนั้นโจวอวี่ต้องตายก็ตายไปเถอะ สำหรับเขาแล้วนี่คือลิขิตสวรรค์ ถึงอย่างไรหนึ่งหมื่นตำลึงทองก็มากมหาศาลจนปวดใจเอาการอยู่ ข้าเดาว่าเขาคิดจะฝากการตัดสินใจครั้งนี้ไว้กับสวรรค์มากกว่า” เทพพยากรณ์เอ่ย

“มารดามันสิ เจ้าพวกพ่อค้านี่นะ ทั่วตัวช่างเหม็นกลิ่นทองแดง[1]เสียจริงๆ คนที่เล่ห์เหลี่ยมแพรวพราวมีเยอะเกินไปแล้ว” หัวหน้าโรงฝึกยุทธ์พลังพายุกล่าวดูถูก

เทพพยากรณ์เอ่ยไม่ออก

“ไป ไปเยี่ยมเยือนสักหน่อย” หัวหน้าโรงฝึกยุทธ์สลัดเปลือกเมล็ดแตงโม ลุกยืนขึ้นเดินไปทางประตูใหญ่ของ ‘เรือนซอมซ่อ’

ที่จริงหลี่มู่สัมผัสได้ถึงการมาของถานเยี่ยนจือและเทพพยากรณ์นานแล้ว

กลิ่นอายล้ำลึกเกินหยั่งที่เขาสัมผัสได้ยามแรก ก็คือหัวหน้าโรงฝึกยุทธ์พลังพายุถานเยี่ยนจือนั่นเอง

ดังนั้นหลังจากสกุลโจวจากไป สองคนนี้มาขอพบอยู่ข้างนอก หลี่มู่จึงตกลงให้พวกเขาเข้ามาเป็นข้อยกเว้น

แต่ว่า คำเชิญที่ถานเยี่ยนจือชักชวนให้เขาเข้าร่วมกับโรงฝึกยุทธ์พลังพายุ แน่นอนว่าเขาปฏิเสธไป

เขาไม่มีเวลาไปทำเรื่องเหลวไหลไร้สาระกับคนประหลาดพวกนี้

กลับกลายเป็นว่าเทพพยากรณ์นั่นพบ ‘จารึกเรือนซอมซ่อ’ ที่สลักอยู่บนป้ายหน้าประตูอาคารไม้ไผ่โดยบังเอิญ จึงราวกับดื่มสุราชั้นเลิศ เมามายอยู่ตรงนั้น เอ่ยชมไม่หยุดปาก สายตาเปลี่ยนไปในตอนนั้นทันที เสมือนกลายเป็นแฟนคลับแล้วอย่างไรอย่างนั้น เห็นได้ชัดว่านึกว่า ‘จารึกเรือนซอมซ่อ’ เป็นผลงานของหลี่มู่

หลังจากส่งพวกหัวหน้าโรงฝึกยุทธ์พลังพายุสองคนแล้ว ประมาณครึ่งชั่วยาม หัวหน้าโรงฝึกยุทธ์กระบี่สวรรค์คนปัจจุบันจางเฉิงเฟิง ก็มาส่งหนังสือท้าดวลถึงตรอกไล่หมูในชุดผ้าป่านขาวด้วยตัวเอง

“เซียนกระบี่สวรรค์บรรพชนตระกูลข้า วางตำราลับ ‘กระบี่สวรรค์สามสิบหกท่า’ เป็นเดิมพัน ขอท้าสู้ยอดปรมาจารย์หลี่มู่ กล้ารับคำท้าหรือไม่?” เสียงของจางเฉิงเฟิงอยู่ภายใต้ระลอกคลื่นกำลังภายใน ทำให้ทั่วทั้งเขตเมืองฉางอันแทบจะได้ยินกันหมด

“ได้”

หลี่มู่ตอบโดยไม่คิด

เขาเอ่ยถึงของกำนัลวางเดิมพัน เดิมทีก็มุ่งไปที่ ‘กระบี่สวรรค์สามสิบหกท่า’ อยู่แล้ว

“หลังจากนี้สามวัน ที่ลานของโรงฝึกยุทธ์กระบี่สวรรค์ สกุลจางจะรอการมาเยือนของยอดปรมาจารย์หลี่มู่ด้วยความเคารพ” ‘กระบี่เทพเบิกฟ้า’ จางเฉิงเฟิงกัดฟันกล่าว “ไม่ทราบว่ายอดปรมาจารย์หลี่มู่จะใช้อะไรเป็นของเดิมพันในการท้าดวลครั้งนี้?”

หลี่มู่โต้แย้งอย่างไร้ยางอายทันที “เป็นเจ้าท้าดวลข้า ไม่ใช่ข้าไปท้าดวลเจ้าเสียหน่อย ทำไมข้าต้องวางเดิมพันด้วย?”

จางเฉิงเฟิงตะลึงอ้าปากค้าง สุดท้ายก็จากไปอย่างอาฆาต

ไม่นานนัก ข่าวนี้ก็แพร่ไปในเมืองฉางอัน

ศึกของยอดปรมาจารย์เป็นที่ฮือฮาไปทั่วเมืองฉางอัน ระลอกคลื่นนี้ถึงกระทั่งแผ่กระเพื่อมไปยังเขตเมืองอื่นๆ ของจักรวรรดิ

……………………………………………………

[1] ตัวเหม็นกลิ่นทองแดง เป็นคำพูดที่ส่วนใหญ่ใช้เหน็บแนมพ่อค้า คหบดี หรือผู้ที่เห็นเงินเป็นพระเจ้า เนื่องจากอิทธิพลความคิดลัทธิหรู (ขงจื๊อ) ทำให้คนจีนโบราณมองว่าการหากินโดยการค้าขายหรือการพูดเรื่องเงินๆ ทองๆ เป็นเรื่องน่าอับอาย

ประวัติการอ่าน

No history.

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: จอมศาสตราพลิกดารา