สรุปเนื้อหา บทที่ 176 ได้ใจ • ทะลวงขั้น – จอมศาสตราพลิกดารา โดย Internet
บท บทที่ 176 ได้ใจ • ทะลวงขั้น ของ จอมศาสตราพลิกดารา ในหมวดนิยายกำลังภายใน เป็นตอนที่โดดเด่นด้วยการพัฒนาเนื้อเรื่อง และเปิดเผยแก่นแท้ของตัวละคร เขียนโดย Internet อย่างมีศิลป์และชั้นเชิง ใครที่อ่านถึงตรงนี้แล้ว รับรองว่าต้องติดตามตอนต่อไปทันที
ยอดฝีมือที่แท้จริงล้วนมองออกว่าลำแสงสีแดงแวววาวกลุ่มนั้นคือพลังฟ้าประทานในตำนานนั่นเอง
เหตุที่ผู้แข็งแกร่งขั้นฟ้าประทานทรงพลัง โดยพื้นฐานแล้วอยู่ที่พลังฟ้าประทาน
พลังฟ้าประทานสามารถทำลายสิ่งที่ได้มาจากการฝึกเองทั้งหมด
ขั้นตอนการฝึกฝนทั้งหมดของขั้นฟ้าประทาน คือการขัดเกลากำลังภายในที่เคยฝึกได้ทั้งหมดในกายให้เป็นปราณแท้ฟ้าประทาน
เมื่อเปลี่ยนเป็นปราณแท้ฟ้าประทานครบสมบูรณ์แล้ว เช่นนั้นจะสามารถเรียกได้ว่าเหนือมนุษย์ และไปถึงอีกขอบเขตพลังหนึ่ง
ว่ากันว่าทุกสิ่งยากเมื่อแรกเริ่ม สำหรับผู้แข็งแกร่งที่เพิ่งเข้าสู่ขั้นฟ้าประทาน พลังฟ้าประทานสายแรกโดยปกติแล้วต้องใช้แรงบ้างเล็กน้อยจึงจะฝึกฝนออกมาได้ แต่เมื่อแปลงพลังแท้ฟ้าประทานกลุ่มแรกได้ ต่อไปการฝึกฝนขั้นนี้ก็พูดได้ว่าก้าวไปอย่างมั่นคงแล้ว
สามารถฝึกพลังฟ้าประทานสายหนึ่งได้ในเวลาอันสั้นเพียงเท่านี้หลังจากเข้าขั้นใหม่ พลังที่ธรรมาจารย์กระบี่สวรรค์แสดงออกมาทำให้คนที่ชมการต่อสู้ต่างตื่นตะลึง
ลำแสงสีแดงเพลิงที่ก่อตัวขึ้นนั้นค่อยๆ จมลงไปยังรากฐานวิญญาณเหนือศีรษะของธรรมาจารย์กระบี่สวรรค์ ในสายตาของทุกคน เหมือนว่าสุดท้ายผลแพ้ชนะก็กำหนดแน่ชัดแล้วในเสี้ยวขณะนี้
ใบหน้าของธรรมาจารย์กระบี่สวรรค์ปรากฏอาการเคลิบเคลิ้ม
เขายกมือขึ้นช้าๆ ทำท่าราวเป็นผู้ปกครองทุกสิ่ง
บนเวทีชมการต่อสู้ คิ้วของเจ้าเมืองหลี่กังขมวดเป็นปม
ใบหน้าสบายๆ ของขุนพลใหญ่หนิงหรูซานเจ้าของจวนสกุลหนิงก็ไม่ได้ดูชัดเจนแบบนั้นแล้ว
ไช่จือเจี๋ย โจวอีหลิง และยอดฝีมือคนอื่นๆ รวมทั้งผู้แข็งแกร่งรุ่นอาวุโสขั้นยอดปรมาจารย์ทั้งหลาย สีหน้าค่อนข้างย่ำแย่เช่นกัน
การปรากฏตัวของขั้นฟ้าประทานที่ฝึกฝนพลังฟ้าประทานออกมาได้ ไม่ต้องสงสัยว่าได้ทำลายสมดุลของสถานการณ์อันซับซ้อนของเมืองฉางอันลง โดยเฉพาะยอดปรมาจารย์เหล่านั้นที่เคยทัดเทียมกัน เมื่อคิดถึงว่าในภายภาคหน้าพวกเขาต้องฉีกยิ้มเมื่ออยู่ต่อหน้าธรรมาจารย์กระบี่สวรรค์ ยืมจมูกผู้อื่นหายใจ ความรู้สึกแบบนี้ช่างทรมานเหมือนกินอาจม
“ต้องโทษเจ้าหลี่มู่ ไม่รู้จักฟ้าสูงแผ่นดินต่ำ ประมาทเกินไป เลี้ยงเสือไว้เป็นภัยเสียได้”
“ใช่แล้ว หากก่อนหน้านี้เขาเฉียบขาดสังหารธรรมาจารย์กระบี่สวรรค์ไปเลยจะเกิดภาพแบบนี้ได้อย่างไร?”
“หึ หลี่มู่คนโง่นี่ คางคกขึ้นวอ ทู่ซี้อวดดี สุดท้ายถูกธรรมาจารย์กระบี่สวรรค์หลอกใช้ ยืมแรงกดดันทะลวงขั้น…โง่เง่า!”
“ขั้นฟ้าประทานหรือ เชื้อพระวงศ์จักรวรรดิยังต้องเอาอกเอาใจเป็นพิเศษเลย”
“ใช่แล้ว หากก้าวสู่ขั้นฟ้าประทานก็จะได้รับบรรดาศักดิ์จากจักรวรรดิ”
เสียงทอดถอนใจเบาๆ ดังขึ้นไม่หยุด ทั้งยังมีบางคนทนไม่ค่อยไหวอยากเดินออกไปเสียเดี๋ยวนั้น
ผลลัพธ์นี้ช่างย่ำแย่ยิ่งนัก
ผลแพ้ชนะของศึกนี้จะเป็นอย่างไร หลายคนยืนอยู่ในมุมคนกลาง ใครแพ้ชนะล้วนไม่ใส่ใจ แต่ใครจะรู้ว่ากลับเกิดการเปลี่ยนแปลงอย่างนี้ขึ้น…หนึ่งการต่อสู้ให้กำเนิดขั้นฟ้าประทานหนึ่งคนโดยแท้ นี่เป็นผลลัพธ์ที่ไม่ว่าฝั่งใดก็ล้วนไม่อยากให้เกิดขึ้น
สถานการณ์ที่แต่เดิมมั่นคงของเมืองฉางอันจะถูกทำลายลงเพราะเหตุนี้
ถึงตอนนั้น เกรงว่าคงได้เกิดการนองเลือดอีกแน่
“ฮ่าๆๆ ท่านทั้งหลาย ผลแพ้ชนะถูกกำหนดแล้ว ประเดี๋ยวโรงฝึกยุทธ์กระบี่สวรรค์จะจัดงานเลี้ยง หวังว่าทุกท่านจะให้เกียรติบรรพชนของข้ามาร่วมงานฉลองด้วย” ‘กระบี่เทพเบิกฟ้า’ จางเฉิงเฟิงลุกขึ้นพูดเสียงดัง ใบหน้าเก็บรอยยิ้มไว้ไม่อยู่
ลูกศิษย์โรงฝึกยุทธ์กระบี่สวรรค์ที่อยู่รอบๆ ต่างเริ่มโห่ร้องกระโดดโลดเต้น
ขั้นฟ้าประทานที่ฝึกพลังฟ้าประทานเสี้ยวหนึ่งได้เชียวนะ นับจากวันนี้เป็นต้นไป ตำแหน่งของโรงฝึกยุทธ์กระบี่สวรรค์ในเมืองฉางอันก็จะพุ่งทะยานขึ้นฟ้าแล้ว
เผชิญหน้ากับ ‘กระบี่เทพเบิกฟ้า’ จางเฉิงเฟิงที่เป็นฝ่ายได้เปรียบ แต่ละฝ่ายต่อให้ในใจไม่ยินดีเพียงใด ต่อหน้าก็ยังแสดงออกได้เป็นอย่างดี ต่างคล้อยตามรับปากจะไปร่วมงานเลี้ยง ตอนนี้ต่อให้อาหารในงานเป็นอาจมก็ต้องไปร่วมด้วย ถึงอย่างไรหากสร้างความไม่พอใจให้กับผู้แข็งแกร่งไร้พ่ายขั้นฟ้าประทานด้วยเรื่องเล็กน้อยแค่นี้ก็เป็นการไม่ฉลาดอย่างมาก
“แน่นอน แน่นอน ขอแสดงความยินดีกับหัวหน้าโรงฝึกจางด้วย”
“นับจากวันนี้เป็นต้นไป โรงฝึกยุทธ์กระบี่สวรรค์ก็เป็นสำนักยุทธ์อันดับหนึ่งของเมืองฉางอันแล้ว”
“ข้าจะต้องไปแน่นอน”
“จะต้องให้เกียรติไปร่วมงานแน่”
ได้ยินคำแสดงความยินดีไม่ขาด เหล่าบุคคลผู้ยิ่งใหญ่ที่แต่ก่อนท่าทางไม่ได้นอบน้อมสักเท่าไหร่ มาตอนนี้กลับยิ้มแย้มต้อนรับ ทำให้ใจของจางเฉิงเฟิงปีติสุขเป็นอย่างยิ่ง อดไม่ได้หัวเราะร่าเป็นพักๆ
‘ลูกพ่อ เจ้าเห็นแล้วใช่หรือไม่?
แค้นของเจ้า ใกล้จะชำระบัญชีสำเร็จแล้ว
พ่อจะเอาหัวของหลี่มู่วางเซ่นหน้าสุสานของเจ้า’
จางเฉิงเฟิงขบคิดในใจ สายตาหยุดลงบนร่างของเจ้าเมืองหลี่กังที่อยู่ข้างกาย ใจมีความคิดหนึ่งผุดขึ้นมาอย่างบังคับไม่ได้ ดังนั้นจึงโค้งกายลง เอ่ยขึ้นเหมือนนอบน้อมว่า “ท่านเจ้าเมือง ข้าน้อยมีเรื่องหนึ่งอยากขอร้อง หวังว่าใต้เท้าจะส่งเสริม”
สถานการณ์พัดหมอกอึมครึมก่อนหน้านี้ไป จางเฉิงเฟิงในตอนนี้กล่าวได้ว่าทำอะไรก็ราบรื่นไปหมด มีหน้ามีตาอย่างยิ่ง
เขาสบายอารมณ์เกินบรรยาย
โจวเต๋อเต้าแห่งสมาพันธ์การค้าสมบูรณ์ผลแสดงท่าทีเจียมตัว ฉีกรอยยิ้มสอพลอไปให้ คิดอยากจะตีสนิทกับจางเฉิงเฟิง แต่กลับถูกเพิกเฉย
ตอนนั้นเขาพาคนไปตรอกไล่หมูเพื่อมอบของกำนัล เท่ากับก้มหัวให้หลี่มู่น่ะซี
จางเฉิงเฟิงตอนนี้จะมองเขาเสียที่ไหน
นี่ทำให้โจวเต๋อเต้ากระอักกระอ่วนเป็นที่สุด
……
“ฮ่า นี่ก็คือความรู้สึกของขั้นฟ้าประทาน อานุภาพของพลังฟ้าประทาน ข้ารู้สึกว่าข้าสามารถบดขยี้ได้ทุกสิ่ง… ฮ่าๆ ฮ่าๆๆๆๆ…ผู้เยาว์ ต้องขอบคุณเจ้าจริงๆ รู้หรือไม่ว่าทำไม?” ธรรมาจารย์กระบี่สวรรค์ที่ฝึกฝนพลังฟ้าประทานเสี้ยวแรกได้สำเร็จแสร้งทอดถอนใจ ลืมตาขึ้น มองอย่างหยอกล้อไปยังหลี่มู่
หลี่มู่หัวเราะลั่น
“ก็แค่อาศัยแรงกดดันจากพลังหมัดของข้า ฝึกฝนร่างฟ้าประทานของตัวเจ้า จากนั้นก็ฝึกฝนเศษเสี้ยวพลังฟ้าประทานออกมาได้ชั่วเวลาสั้นๆ ไม่ใช่รึไง ฮ่าๆ ไม่ต้องขอบคุณข้าหรอก ชื่อของข้าคือเหลยเฟิง[1]”
ธรรมาจารย์กระบี่สวรรค์ลมหายใจสะดุด
“หืม? เจ้าดูออกแล้ว?” ใบหน้าที่มั่นใจสุดฤทธิ์ของเขา ในที่สุดก็ฉายแววประหลาด
หลี่มู่ทำสีหน้าตื่นเต้น “ใช่แล้วๆ ข้ายังต้องขอบคุณเจ้าที่ช่วยข้าสาธิตเส้นทางการก้าวสู่ขั้นฟ้าประทาน ไขข้อสงสัยให้ข้า เพื่อเป็นการขอบคุณเจ้าธรรมาจารย์กระบี่สวรรค์ ข้าตัดสินใจแล้ว วันนี้ของปีหน้าข้าจะจุดธูปเพิ่มให้เจ้าด้วยดอกหนึ่ง”
ใช่แล้ว เขาตัดสินใจลงมือสังหาร
ผู้แข็งแกร่งขั้นฟ้าประทานมีอานุภาพทำลายล้างรุนแรงเกินไป หากไม่ขุดรากถอนโคนต้องเกิดหายนะอีกนับไม่ถ้วนในภายภาคหน้าแน่ หากแอบอยู่ข้างหลังวางแผนเล่นตุกติก เช่นนั้นจะป้องกันอย่างไรก็ป้องกันไม่ได้อย่างแน่นอน ตัวหลี่มู่นั้นไม่กลัว แต่รอบกายของเขามีสหาย มี ‘ครอบครัว’ อีกคนหนึ่ง จึงต้านทานการฆ่าล้างสังหารจากผู้แข็งแกร่งขั้นฟ้าประทานได้ยาก
อีกทั้งธรรมาจารย์กระบี่สวรรค์ก็ไม่ใช่คนดีอะไร ฆ่าๆ แล้วก็แล้วไปเถอะ
……………………………………………………
[1] เหลยเฟิง มีชีวิตอยู่ในช่วงปีค.ศ. 1940-1962 เป็นบุคคลที่เป็นแบบอย่างในการอุทิศตนเพื่อผู้อื่น ภายหลังชื่อของเหลยเฟิงจึงเป็นสัญลักษณ์แทนความมีน้ำใจ ชอบช่วยเหลือผู้อื่น
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: จอมศาสตราพลิกดารา