“มีเอกลักษณ์” องค์ชายสองฟังคำจากหลิวเฉิงหลงจบ บนใบหน้างดงามสง่าก็เผยรอยยิ้มบางๆ ไม่ได้โมโหเลย
ต่อให้เป็นคนมีอำนาจและน่าเกรงขามเพียงใด ยามที่เขาจู่ๆ เกิดความสนใจในคนหรือของสิ่งใดสิ่งหนึ่งขึ้นมาจริงๆ ความอดทนจะสูงอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน
หลิวเฉิงหลงทำหน้ากระสับกระส่าย
หน่วยเลี้ยงรับรองเล็กๆ เขายังไม่อาจควบคุมได้อย่างสมบูรณ์ จะติดตามทำการใหญ่อยู่ข้างกายองค์ชายสองได้อย่างไร?
“รอให้การแข่งขันคืนนี้เสร็จสิ้นลง ข้าจะไปรับนางด้วยตัวเอง” องค์ชายสองกล่าว “เอาละ เฉิงหลง เรื่องเล็กเรื่องนี้เจ้าไม่ต้องใส่ใจ…เจ้าไปเตรียมการเรื่องนั้นเถอะ ล่อเสือออกจากถ้ำดีที่สุด จะได้จัดการฝ่ายตรงข้ามเสียให้หมด จับคนคนนั้นให้ได้ถึงจะเป็นเป้าหมายสูงสุดในการมาเมืองฉางอันของข้า”
หลิวเฉิงหลงสีหน้าเคร่งเครียด “กระหม่อมทราบแล้ว องค์ชายโปรดวางใจ”
พูดจบเขาก็หมุนกายจากไป
ครั้นเดินออกไปจากห้อง หลิวเฉิงหลงถึงได้โล่งอก
เขารีบเดินออกไปจากหอโอบจันทร์ แต่เมื่อเดินผ่านห้องส่วนตัวชั้นยอดอีกห้องบนชั้นสอง ก็พลันได้ยินเสียงแปลกๆ ดังออกมา สำเนียงประหลาด เป็นภาษาที่ไม่คุ้นหู ไม่ใช่ภาษาของคนฉิน แต่เป็นภาษาหมานของเผ่าหมานจากที่ราบทุ่งหญ้า
ที่นี่ทำไมถึงมีพวกเผ่าหมานได้?
พอเขาคิดจะเดินไปสำรวจ
ในตอนนี้เอง ประตูห้องพลันเปิดออก ชายหนุ่มท่าทางเหมือนคุณชายตระกูลร่ำรวยในชุดแพรเดินออกมา
พริบตานี้ หลิวเฉิงหลงเห็นว่าในห้องยังมีชายหนุ่มอีกสามสี่คน สวมชุดผ้าไหมชั้นดี ประดับร่างกายด้วยของล้ำค่า ท่าทางเหมือนพวกเศรษฐีใหม่ป่าวประกาศว่าบ้านข้ารวย กำลังพูดอะไรบางอย่างด้วยใบหน้าตื่นเต้น ส่วนข้างชายหนุ่มเหล่านี้มีชายชาวที่ราบทุ่งหญ้าตัวล่ำกำยำอยู่สองคน แต่งตัวเหมือนทาสในบ้านของคนฉิน ก้มตัวคุกเข่า ดูท่าทางเหมือนทาส
เมื่อเห็นภาพนี้ หลิวเฉิงหลงก็วางใจทันที
ลูกหลานตระกูลร่ำรวยกำราบพวกเผ่าหมานที่ราบทุ่งหญ้ามาเป็นทาสหรือองครักษ์ เรื่องแบบนี้ไม่แปลก อีกทั้งวันนี้หลังจบการประกวดนางคณิกาอันดับหนึ่งก็จะมีประมูลทาสสาวที่ราบทุ่งหญ้า ลูกหลานตระกูลร่ำรวยมากมายต่างจ้องจะตะครุบประมูลกลับไปลิ้มรสสักสามสี่คน ดังนั้นจึงนำทาสที่ราบทุ่งหญ้ามาไว้ข้างกาย สามารถทำหน้าที่ล่ามได้
ที่แท้ก็เป็นพวกคุณชายไร้การศึกษานี่เอง
หลิวเฉิงหลงยิ้มเดินผ่านไป หันหลังเดินออกจากหอโอบจันทร์
และในเสี้ยวขณะที่เขาจากไป บรรยากาศในห้องส่วนตัวนั้นก็เปลี่ยนไปโดยพลัน
หนึ่งในคนทั้งสี่พลันหุบยิ้มบนใบหน้า ส่วนอีกสามคนก็ถอนหายใจโล่งอก ชายที่ราบทุ่งหญ้าทั้งสองเหยียดตัวตรง กลายเป็นนักรบที่ราบทุ่งหญ้าที่กล้าหาญองอาจ ยังเหลือท่าทางต่ำต้อยที่แกล้งแสดงเหมือนก่อนหน้านี้เสียที่ไหน
“ฟู่ น่าจะปิดได้แล้ว คนที่เดินผ่านไปเมื่อครู่คือหลิวเฉิงหลงหัวหน้าหน่วยเลี้ยงรับรอง หมารับใช้ตัวนั้นเจ้าเล่ห์เพทุบาย จะประมาทไม่ได้เลย” นัยน์ตาของชายหนุ่มที่ใบหน้าขาวสะอาดเครื่องหน้าอ่อนโยนฉายแววระมัดระวัง
“น่าจะปิดได้แล้ว” ชายหนุ่มอีกคนหนึ่งที่ทั่วร่างประดับประดาด้วยหยก ทอง และของมีค่ายิ้มบางๆ พลางเอ่ย “ไม่เป็นไร พวกเรามาซื้อคน ไม่ได้ลงมือช่วงชิงสักหน่อย ไม่ต้องไปกังวลคนของหน่วยเลี้ยงรับรองให้มากนัก แต่ว่าต้องคิดให้ดีๆ หากล้มเหลวจะรับมือกับกองทหารรักษาการณ์ในเมืองอย่างไร”
“ครั้งนี้ต้องขอบคุณความช่วยเหลืออย่างเต็มที่ของนายน้อยกัวมาก” ชายหนุ่มเครื่องหน้าอ่อนโยนเอ่ย
เขาย่อมเป็นกุนซือของเหล่าชายที่ราบทุ่งหญ้าที่แฝงตัวเข้ามาในเมืองฉางอันเพื่อช่วยธิดาเทพและคนอื่นๆ
ส่วนชายหนุ่มที่ใส่หยกทองของมีค่าเต็มตัว ก็คือนายน้อยของสมาพันธ์การค้าอันดับหนึ่งของแผ่นดินใหญ่เสินโจว สาขาย่อยฉินตะวันตก ชื่อว่ากัวจื้อฮุย แต่งตัวเหมือนพวกเศรษฐีใหม่ คล้ายกลัวว่าคนอื่นจะไม่รู้ว่าเขามีเงิน หน้าตาธรรมดา ใบหน้ากลมป้อมชวนให้คนรู้สึกเป็นมิตรและอ่อนโยน รูปลักษณ์ทั้งตัวเป็นประเภทที่โยนเข้าไปในฝูงชนก็หาไม่เจอ มีเพียงดวงตาคู่นั้นที่ใหญ่และสุกสว่างราวกับบ่อน้ำลึกมืดดำ
คนที่ให้รางวัลฮวาเสี่ยงหรงทีเดียวหนึ่งแสนตะกร้าเมื่อครู่ก็คือเขา
“เกรงใจอะไร ข้าคือเซียนแห่งหมู่มาลี จะทนเห็นสาวสวยพวกนั้นตกเป็นของเล่นของผู้อื่นได้อย่างไร?” กัวจื้อฮุยพโบกพัดจีบเก้าโครงลงทองในมือ พูดพลางโคลงหัวไปด้วย “ข้าตั้งมั่นเอาไว้ว่าจะปกป้องหมู่มวลมาลีชั่วชีวิต ไม่ให้เซียนหญิงตัวน้อยแปดเปื้อนธุลี ฮ่าๆๆ!”
กุนซือชาวที่ราบทุ่งหญ้าหัวเราะเฝื่อนๆ อับจนคำพูด
นายน้อยคนนี้ใจกว้าง ใช้เงินเหมือนเบี้ย มีคุณธรรม แต่สมองไม่ค่อยจะปกตินัก พูดจาทุกครั้งล้วนมีคำพูดให้ตกใจ ชอบไล่ตามสาวงามโดยเฉพาะ ถูกขนานนามว่าเจ้าชู้แต่ไม่บ้ากาม เขาเป็นเซียนท่ามกลางหมู่มาลี เป็นอัจฉริยะประหลาด พอเห็นสาวงามก็ก้าวขาไม่ออก
“อีกเดี๋ยวงานประมูลเริ่มขึ้นก็ต้องพึ่งนายน้อยแล้ว ค่าใช้จ่ายทั้งหมดเมื่อแม่ทัพของข้ากลับไปที่ราบทุ่งหญ้าแล้วจะหาวิธีชดใช้แน่นอน” กุนซือจากที่ราบทุ่งหญ้าประสานมือพลางเอ่ย
กัวจื้อฮุยหัวเราะลั่น “สหายฟางโปรดวางใจ จะพยายามสุดกำลังแน่นอน”
……
ห้องส่วนตัว หอเซียนโบยบิน
หลี่มู่ลืมตาขึ้นช้าๆ
ก่อนหน้านี้ยามดูการร่ายรำ หลี่มู่ก็ไม่ปล่อยให้โอกาสฝึกฝนครั้งนี้ผ่านไป ฮวาเสี่ยงหรงร่ายรำอย่างเข้าถึงอารมณ์ ใต้แสงจันทร์ ท่วงทำนองแห่งเต๋าของกายเต๋าแห่งแสงแผ่ระลอก ทำให้ ‘วิชาก่อนกำเนิด’ ในร่างหลี่มู่กระตุ้นและโคจรขึ้นเอง ก่อนเข้าสู่สภาวะที่ลึกลับมหัศจรรย์ ได้ผลมีประสิทธิภาพสูงสุดเหมือนยามที่เขาได้ดูการร่ายรำของฮวาเสี่ยงหรงครั้งแรก
พลังจิตวิญญาณยกระดับขึ้นอีกครั้ง
ตอนนี้ขาดแค่จุดหักเหสุดท้ายเท่านั้น ขาดอีกแค่นิดเดียววิชาก่อนกำเนิดขั้นที่หนึ่งก็จะสมบูรณ์แล้ว
หลี่มู่รู้สึกว่าเนตรสวรรค์ของตัวเองเกิดการเปลี่ยนแปลงเล็กน้อย
เมื่อใจเกิดความคิด เขาก็แอบเปิดเนตรสวรรค์มองไปข้างนอก แค่กวาดมองไป คนทั้งหมดทั้งในและนอกหน่วยเลี้ยงรับรองก็คล้ายกลายเป็นกลุ่มพลังงานยิบย่อยปรากฏขึ้นในสายตาของหลี่มู่ พลังแข็งแกร่งอ่อนแอ อายุขัยสั้นยาว พลังชีวิตแข็งแกร่งหรืออ่อนแรง เขามองเห็นทั้งหมด
เนตรสวรรค์สามารถมองทะลุผ่านความแข็งแกร่งหรืออ่อนแอของชีวิตได้หมด นั่นคือหนึ่งในอภินิหารของมัน
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: จอมศาสตราพลิกดารา