จอมศาสตราพลิกดารา นิยาย บท 249

หลังจากนั้นสองชั่วยาม

“ได้ยินแล้วหรือยัง ท่านหลี่เซียนกวีวิถียุทธ์แห่งอำเภอขาวพิสุทธิ์เอาชนะยอดผีดิบทั้งสี่แห่งสำนักยมบาลได้”

“ได้ยินแล้ว สำนักยมบาลคราวนี้อายแทบแทรกแผ่นดินทีเดียว”

“หลี่มู่ไม่ได้ฝึกฝนวิชาดาบหรอกหรือ?”

“ได้ยินว่าในตรอกไล่หมูมีปราณกระบี่ถาโถม ราวกับเซียนกระบี่มาเยือน ยอดผีดิบทั้งสี่จากสำนักยมบาลรวมพลังสู้กับท่านหลี่แห่งอำเภอขาวพิสุทธิ์ แต่ยืนหยัดได้ไม่ถึงชั่วยามก็แพ้แล้ว หากไม่ใช่ว่าท่านหลี่แห่งอำเภอขาวพิสุทธิ์เมตตา เกรงว่าผีดิบทั้งสี่คงตายอยู่ที่ตรอกไล่หมูแน่ๆ”

ในภัตตาคาร คนที่แต่งตัวเหมือนคนในยุทธจักรกลุ่มหนึ่งวิพากษ์วิจารณ์กันอย่างสนุกปาก

วันนี้ข่าวที่น่าตื่นตะลึงที่สุด ไม่มีอะไรเกินศึกที่ตรอกไล่หมู

สี่ยอดผีดิบแห่งสำนักยมบาลล้วนเป็นผู้แข็งแกร่งขั้นฟ้าประทานรุ่นอาวุโส หลายปีมานี้กำเริบเสิบสานไปตามเมืองใหญ่ พูดได้ว่าชื่อเสียงเหี้ยมโหด ความน่ากลัวอยู่เหนือสองภูตยมบาล เป็นรองแค่เจ้าสำนักยมบาลขั้นเหนือมนุษย์เท่านั้น ยอดฝีมือในยุทธจักรที่ตายอยู่ในมือของผีดิบทั้งสี่ ก็มีไม่รู้ตั้งเท่าไหร่ กล่าวได้ว่าเป็นชื่อเสียงบารมีที่ได้จากการเข่นฆ่า

แต่ทว่า เพียงแค่ชั่วข้ามคืน จตุรเทพผีดิบที่ชื่อเสียงบารมีเกรียงไกรเช่นนี้ก็พ่ายแพ้ด้วยน้ำมือของหลี่มู่

ถูกต้อง ก่อนหน้านี้หลี่มู่ก็สำแดงพลังอันแข็งแกร่งออกมาจริงๆ ผู้แข็งแกร่งขั้นฟ้าประทานอายุสิบห้า ผู้คนล้วนจับตามอง แต่เมื่อเทียบกับผู้แข็งแกร่งขั้นฟ้าประทานรุ่นเก่า ผู้คนส่วนมากก็เลือกเชื่อคนเก่าแก่ที่พิสูจน์ชื่อเสียงของตนผ่านการต่อสู้นับครั้งไม่ถ้วนมากกว่า ถึงอย่างไร ความแข็งแกร่งของหลี่มู่ก็เหมือนกับอาทิตย์ยามรุ่งอรุณ ขึ้นอยู่กับศักยภาพ แต่ความแข็งแกร่งของสี่ผีดิบราวอาทิตย์กล้ากลางท้องฟ้า กำลังอยู่ในช่วงโชติช่วง

อีกทั้งยังสู้กันสี่ต่อหนึ่ง

แต่สี่ผีดิบก็ยังแพ้เสียได้

ยามสี่ผีดิบรุ่นอาวุโสขั้นฟ้าประทานทั้งสี่หนีออกมาจากตรอกไล่หมูราวสุนัขจรจัด โลกวิถียุทธ์ของเมืองฉางอันก็มีหัวข้อเกี่ยวกับหลี่มู่โหมกระพืออีกครั้ง

หลังจากศึกครั้งนี้ ชื่อเสียงของหลี่มู่ในยุทธจักรเมืองฉางอันจะพุ่งสู่จุดสูงสุดอีกครั้งอย่างไม่ต้องสงสัย

“ในสี่ผีดิบ ผีดิบเขียวที่พลังต่ำที่สุด ว่ากันว่าเป็นผู้แข็งแกร่งฟ้าประทานขั้นกลาง แปรกำลังภายในห้าส่วนเป็นปราณแท้ฟ้าประทานแล้ว ผีดิบดำพลังแข็งแกร่งที่สุด ข่าวลือบอกว่าเป็นผู้แข็งแกร่งฟ้าประทานขั้นสูง แปรกำลังภายในแปดส่วนเป็นปราณแท้ฟ้าประทานได้ สี่คนร่วมมือกันน่ากลัวเพียงใด สู้ได้กระทั่งผู้แข็งแกร่งขั้นเหนือมนุษย์เลยกระมัง? หลี่มู่เอาชนะพวกเขาได้ มิได้หมายความว่าเขาเป็นผู้แข็งแกร่งชั้นยอดขั้นเหนือมนุษย์แล้วหรือ?”

มีคนเอ่ยข้อสงสัยเช่นนี้ขึ้นมาอย่างยากจะเชื่อ

“พูดแบบนี้ไม่ได้…ขั้นฟ้าประทานกับขั้นเหนือมนุษย์ ฟังดูแล้วคล้ายกัน แต่แท้ที่จริงเป็นความแตกต่างอย่างมหาศาล ผู้แข็งแกร่งฟ้าประทานหลายร้อยคนร่วมมือกัน ก็ไม่มีทางเป็นคู่มือของผู้แข็งแกร่งขั้นเหนือมนุษย์ได้ ดังนั้นหลี่มู่เอาชนะสี่ผีดิบได้ ก็แค่อธิบายว่าพลังฝึกขั้นฟ้าประทานของเขาแข็งแกร่งมาก แต่หากบอกว่าเป็นผู้แข็งแกร่งขั้นเหนือมนุษย์ที่ไร้เทียมทานแล้วละก็ นั่นเป็นเรื่องตลกชัดๆ”

มียอมฝีมือวิจารณ์ออกมาเช่นนี้

“สี่ผีดิบทำไมถึงไปท้าทายหลี่มู่? คิดไม่ตกถึงขนาดนั้นเลย?”

“ได้ยินมาว่าเพราะสองภูตยมบาลตายด้วยน้ำมือของหลี่มู่…”

“มีเรื่องแบบนี้ด้วย? หลี่มู่คนนี้ช่างเป็นตัวสร้างเรื่องเสียจริงๆ ถล่มโรงฝึกยุทธ์กระบี่สวรรค์ก่อน จากนั้นปฏิเสธองค์ชายสองทำให้พระองค์กริ้ว ตอนนี้ก็หาเรื่องสำนักยมบาลอีก…นี่กลัวว่าตัวเองจะตายช้าหรืออย่างไร?”

“ข้าว่าเขาตายแน่ เพราะเจ้าสำนักยมบาลมาถึงเมืองฉางอันแล้ว เป็นผู้แข็งแกร่งชั้นยอดขั้นเหนือมนุษย์ของแท้ ตัวเป็นๆ เชียวนะ”

“เฮ้อ ไม้โดดเด่นเกินไพร ลมพัดต้องล้มครืน หลี่มู่อ่อนเยาว์เกินไป โดดเด่นเกินไป”

คำวิพากษ์วิจารณ์ต่างๆ แพร่สะพัดไปทั่วเมืองฉางอัน

ตอนนี้ทางการค้นหาและไล่จับพรรคพวกของถังฉง บรรยากาศทั้งเมืองอึมครึม คนในยุทธจักรพากันม้วนหาง สงบเสงี่ยม แต่หลี่มู่กลับกล้าสวนทาง ก่อเรื่องใหญ่ถึงขนาดนี้ ทำเอาตะลึงไปทั่วทั้งเมือง ช่างแกว่งเท่าหาเสี้ยนจริงๆ ใครจะไปรู้ว่าองค์ชายสองจะฉวยโอกาสนี้เป็นข้ออ้างจัดการเขาหรือไม่

ในเมื่อเขาทำองค์ชายสองกริ้วนี่

บางคนสะใจในความเดือดร้อนของผู้อื่น บางคนแอบกังวล บางคนรู้สึกเสียดาย

สายตานับไม่ถ้วนล้วนจับจ้องไปยังตรอกไล่หมู

……

“พี่ใหญ่ หลี่มู่คนนี้ค่อนข้างโหดอยู่นา”

เทพพยากรณ์ย้ายเก้าอี้พับมานั่งอยู่หน้าประตูโถงหลักของโรงฝึกยุทธ์พลังพายุ พลางพลิกเหล็กเสียบเนื้อย่างในมือ น้ำมันหยดติ๋งๆ ควันโขมง พูดพลางน้ำลายไหล

หัวหน้าโรงฝึกยุทธ์พลังพายุถานเยี่ยนจือรูดเนื้อทั้งไม้เสียบเข้าปากไปคำโต “ข้าบอกแล้ว เจ้านี่มันโหด น่าเสียดายที่ดึงมาเป็นพวกไม่ได้ ไม่อย่างนั้นตอนนี้โรงฝึกยุทธ์พลังพายุก็คงถือโอกาสที่เขารุ่งเรืองยืมชื่อมาได้บ้าง!” น้ำเสียงเขาค่อนข้างเสียดาย

ทั้งสองย่างเนื้อ ดื่มเหล้า พูดคุยกันอยู่หน้าประตูโถงใหญ่

“พี่ใหญ่ ช่วงนี้ท่านกินจุจนน่าตกใจนะ คนเดียวกินปริมาณเท่าสิบคน พ่อครัวต่งให้ข้ามาบอกท่านว่าพวกเราใกล้จะไม่มีกินแล้ว” เทพพยากรณ์หาโอกาสพูด

“อะไร? ข้าไม่ได้ไปใช้จ่ายที่หน่วยเลี้ยงรับรองมาสิบกว่าวันแล้ว เงินที่อดออมเอาไว้เอาไปจ่ายอะไรหมด?” หัวหน้าโรงฝึกยุทธ์เอ่ยอย่างโมโห

“ท่านไม่ได้ไปหอนางโลมจริงๆ นั่นแหละ แต่ปัญหาคือหนี้ที่ท่านติดไว้กับหอนางโลม ลำพังแค่ดอกพวกเราก็แทบกระอักเลือดแล้ว…” เทพพยากรณ์งึมงำ ขณะเดียวกันเขาก็กล่าวอย่างสงสัย “จะว่าไปแล้ว พี่ใหญ่ ท่านไม่ไปหอนางโลมแล้วจริงๆ รึ? เปลี่ยนนิสัยแล้ว? เกิดอะไรขึ้น? ในโถงพิธีการมีใครอยู่กันแน่? ท่านคุ้มกันอยู่ข้างนอกมาสิบกว่าวัน แถมยังไม่ให้ใครเข้าไปอีก”

สิบกว่าวันมานี้หัวหน้าแปลกไปจริงๆ คนทั้งโรงฝึกต่างซุบซิบกัน

ถานเยี่ยนจือหาวขึ้นมาอย่างเบื่อหน่าย “ใครอยู่อะไรกัน? ก็แค่ห้องว่างเท่านั้น กองลาดตระเวนของทางการมาค้นหลายรอบแล้วไม่ใช่หรือ? ข้างในก็ไม่มีใครนี่”

เทพพยากรณ์เบ้ปาก

ครู่หนึ่ง ก็เห็นคนอ้วนที่ร่างกลิ้งเข้ามาดีกว่าเดิน หรือเหล่าต่งพ่อครัวของโรงฝึกยุทธ์ถือถังหูลู่มาสองไม้ “หัวหน้า ถังหูลู่ของท่านทำเสร็จแล้ว ยี่สิบอีแปะ ยื่นหมูยื่นแมว”

“เอ้อ ไม่เลวนี่ พวกเราคนกันเอง เอาเงินอะไรเล่า…” หัวหน้าโรงฝึกยุทธ์กระโดดจะไปเอา

เหล่าต่งขาไม่ขยับเขยื้อน แต่ร่างกลับเคลื่อนไปข้างหลังสามจั้งราวเคลื่อนไหวชั่วพริบตา “ยี่สิบอีแปะ”

“ข้าเป็นหัวหน้า อย่างน้อยๆ ก็ไว้หน้าข้าบ้าง ติดไว้ก่อน”

“ท่านติดเยอะไปแล้ว เงินค่าวัตถุดิบทำถังหูลู่ ข้ายังต้องไปยืมจากยายผีเลย…”

“ในเมื่อเป็นเงินที่เจ้ายืมมาจากยายผี เช่นนั้นเดี๋ยวข้าคืนให้นางก็แล้วกัน…”

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: จอมศาสตราพลิกดารา