“เวลาสามวัน?”
หลี่มู่ได้ข่าวนี้แล้ว สิ่งแรกที่รู้สึกคือประหลาดใจเล็กน้อย
ในเมื่อประกาศออกมาแล้วว่าโรงฝึกยุทธ์พลังพายุเกี่ยวข้องกับพวกตระกูลถัง แล้วเหตุใดไม่ทำลายประตูบุกเข้าไปจับตัวคนเลย แต่กลับล้อมอยู่ด้านนอก ซ้ำยังประกาศกร้าวอีกว่าหลังจากนี้สามวันจะบุกโจมตี?
ทว่าเมื่อคิดอย่างละเอียดแล้ว กลับรู้สึกทันทีว่าองค์ชายสองที่ควบคุมเรื่องนี้ทั้งหมดเลวทรามต่ำช้า จนเรียกได้ว่าโหดเหี้ยม
ประกาศว่าจะเข้าโจมตีสามวันให้หลัง วางกำลังพลไว้ด้านนอก น่าจะมีเป้าหมายเพียงสองข้อ
หนึ่งคือทำลายขวัญและกำลังใจของคนที่อยู่ด้านในโรงฝึก
สองคือต้องการเข้าล้อมเพื่อโจมตี ล่อพวกคนหน้าเก่าที่เกี่ยวข้องกับขุนพลเจิ้นกั๋วตระกูลถังให้ออกมา จากนั้นหว่านแหจับเพื่อถอนรากถอนโคนทิ้ง
หลี่มู่ครุ่นคิด ก็ยิ่งรู้สึกว่าระหว่างโรงฝึกยุทธ์พลังพายุและขุนพลเจิ้นกั๋วตระกูลถังต้องมีความสัมพันธ์อะไรบางอย่างจริง ส่วนเรื่องที่ถังฮูหยินกับลูกสาวสองคนซ่อนตัวอยู่ในโรงฝึกยุทธ์พลังพายุ ก็มีความเป็นไปได้เช่นกัน
ตามข่าวสารที่เจิ้งฉุนเจี้ยนเคยรายงาน คืนนั้นที่หน่วยเลี้ยงรับรอง สุภาพบุรุษวาโยหวางเฉินกับฝ่าบาทคนนั้นที่อยู่เบื้องหลัง ท้ายที่สุดก็ไม่สามารถพาถังฮูหยินหนีออกนอกเมืองไปตามที่ตั้งใจ ต่อมายิ่งไม่มีโอกาสอีก ภายใต้คำสั่งขององค์ชายสอง ไม่กี่วันนี้มีการปิดเมืองเพื่อไล่ล่า หาตัวเหล่าปีศาจที่หลบซ่อนอยู่ในเมืองออกมาจนสิ้น แต่ก็ยังหาตัวพวกนางไม่เจอ เช่นนั้นต้องยังซ่อนตัวอยู่ในเมืองเป็นแน่ โรงฝึกยุทธ์พลังพายุก็มีความเป็นไปได้
ถ้าเป็นเช่นนั้นจริง ชะตาของถังฮูหยินกับสองบุตรสาวก็น่ากังวลจริงๆ
หากต้องตกอยู่ในมือขององค์ชายสองอีกครั้ง เกรงว่าจะน่ากลัวเสียยิ่งกว่าความตาย
ส่วนพวกที่เป็นห่วงเป็นใยรุ่นหลังของขุนพลถัง หากทนไม่ไหวแล้วเลือกเข้าไปช่วยเหลือละก็ มีแต่จะต้องตายกันหมดเหมือนแมงเม่าบินเข้ากองไฟ
องค์ชายสองมีความแค้นอะไรกับขุนพลถังกันแน่?
หลี่มู่ไม่รู้จริงๆ
แต่คนที่เป็นถึงองค์ชายของราชวงศ์ กลับมาไล่ล่าแม่หม้ายกับลูกกำพร้าแบบนี้ ถึงแม้กำลังหย่อนเบ็ดล่อปลา วิธีการเช่นนี้หลี่มู่ก็คิดว่าเกินเลยไปหน่อย
“คุณชายจะลงมือเองขอรับ?” เจิ้งฉุนเจี้ยนถาม
หลี่มู่ลังเลอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนส่ายศีรษะ “ตอนนี้ยังไม่มีความคิดนั้น ข้ายังมีเรื่องอื่นที่ต้องทำ”
เจิ้งฉุนเจี้ยนถอนหายใจโล่งอก
เขากังวลจริงๆ ว่าหลี่มู่จะเลือดร้อนเข้าไปยุ่งกับเรื่องนี้
เพราะดูจากข่าวที่ได้รับมาจากหลายฝ่าย ครั้งนี้องค์ชายสองนำกำลังพลมาล้อมโจมตี มีคนระดับสูงที่คอยรับใช้ราชวงศ์เคลื่อนไหวไม่น้อย ขั้นเหนือมนุษย์อย่างเจ้าสำนักยมบาล ก็ไม่ใช่คนที่แข็งแกร่งที่สุด เห็นได้ชัดว่ามีเป้าหมายใหญ่บางอย่าง ต่อให้หลี่มู่มีชื่อเสียงจากการสังหารยอดยุทธ์ขั้นเหนือมนุษย์ แต่หากต้องเข้าไปพัวพันกับเรื่องนี้ ก็ตกอยู่ในอันตรายได้เช่นกัน
วังวนการเมืองนี้ เบื้องหลังช่างน่ากลัวเป็นที่สุด
ต่อให้เป็นขั้นเหนือมนุษย์ หากเข้ามาในวังวนเช่นนี้ อาจจะไม่เหลือไว้แม้แต่กระดูกสักชิ้นก็เป็นได้
ตัวอย่างก่อนหน้านี้ ความจริงก็มีให้เห็นมากมาย
“จริงสิ แล้วเรื่องนั้นล่ะ ช่วยถามให้ข้าแล้วหรือยัง” หลี่มู่ถามขึ้น
เจิ้งฉุนเจี้ยนลดคิ้วต่ำลง สีหน้ารู้สึกผิด ตอบกลับว่า “ท่านเจ้าเมืองบอกว่าหากท่านอยากรู้ ต้องไปถามเอาเองขอรับ” ก่อนหน้านี้ หลี่มู่ให้ฉุนเจิ้งเจี้ยนไปถามเจ้าเมืองชั่วคนนั้น อยากจะค้นหาตัวตนของขั้นเหนือมนุษย์ที่ใช้พลังดัชนีทองผ่าน ‘กระจกสยบฟ้า’ เจิ้งฉุนเจี้ยนจึงเข้าไปถามอ้อมๆ กับหลี่กัง
แต่คำตอบของหลี่กังนั้นตรงไปตรงมาและเรียบง่าย
หลี่มู่ต้องไปเยี่ยมเขาด้วยตนเอง ถึงจะพอมีความเป็นไปได้
ไปถามเขาด้วยตัวเอง?
หลี่มู่ยกมือขึ้นนวดขมับ
เจ้าเมืองขยะนั่นต้องการอะไรกันแน่?
จะให้ตนเองไปก้มหัวขอร้อง?
หรือว่าในที่สุดก็อยากเจอหน้าลูกชายแล้ว แต่เลือกใช้วิธีการที่เย่อหยิ่งเช่นนี้?
“เหอะๆ…ไปก็ไป”
หลี่มู่เหยียดยิ้มออกมา
ตอนแรกคนที่ลั่นวาจาตัดสัมพันธ์พ่อลูกอย่างเด็ดขาดไม่ใช่ตัวเขา แต่เป็นหลี่มู่จากโลกนั้นต่างหาก ดังนั้นหลี่มู่เองจึงไม่ตะขิดตะขวงใจอะไร ก็ดีเหมือนกัน จะได้ไปดูเจ้าเมืองขยะคนนี้เสียหน่อย นับตั้งแต่วันนั้น ตอนที่เขาเอ่ยปากห้าม ‘เทพสังหารผมสีชาด’ จางปู้เหล่า และแสดงพลังที่แท้จริงออกมา…อืม ไปดูชายสารเลวที่เก็บตัวแต่มีพลังน่าตะลึงคนนี้หน่อยก็ดีเหมือนกัน
ความจริงแล้วหลี่มู่ก็รู้สึกสนใจเจ้าเมืองขยะคนนี้พอควร
ระหว่างที่พูด จู่ๆ ด้านนอกเรือนซอมซ่อก็มีเสียงราวฟ้าผ่าดังมา
“ข้าเมิ่งอู่ ผู้บัญชาการแห่ง ‘กองกำลังคมโลหิต’ ขุนนางอำเภอขาวพิสุทธิ์หลี่มู่ ออกมาคุยกันเดี๋ยวนี้”
เสียงที่ลอดผ่านเรือนซอมซ่อเข้ามาได้ พลังน่าจะอยู่ในขั้นฟ้าประทาน
หลี่มู่เหลือบมองไปทางเจิ้งฉุนเจี้ยน
เจิ้งฉุนเจี้ยนตอบกลับอย่างรู้กัน “คมโลหิตเป็นหนึ่งในสามกองกำลังหลักนอกเมืองฉางอันขอรับ ถือเป็นกำลังรบที่แข็งแกร่งที่สุดของเมือง ส่วนขุนพลซ้ายเมิ่งอู่คนนี้ ตำแหน่งเดิมคือทหารรักษาวังเมืองฉิน หนึ่งปีก่อนมายังเมืองฉางอัน เข้าดูแลกองกำลังคมโลหิต เป็นคนหัวแข็งดื้อรั้น ว่ากันว่ามีเมืองหลวงฉินอยู่เบื้องหลัง ในช่วงนี้เขากับองค์ชายสองใกล้ชิดกันมาก หน่วยลาดตระเวนที่รับคำสั่งจากองค์ชายสองมาเพ่นพ่านในเมืองฉางอัน ต่างเป็นพวกยอดฝีมือหรือนักรบหัวกะทิของกองกำลังคมโลหิตรวมตัวกันขอรับ”
หลี่มู่ฟังแล้วเหมือนจะครุ่นคิดอะไร
คนขององค์ชายสองสินะ
น่าสนใจจริงๆ
“เจ้ากลับไปก่อนเถอะ” หลี่มู่ลุกขึ้น
เจิ้งฉุนเจี้ยนออกจากประตูด้านข้างไป
ส่วนหลี่มู่มาถึงด้านนอกของเรือนซอมซ่อ
หน้าประตูหลัก ในตรอกไล่หมู อาชาสวรรค์เขาเดียวในชุดเกราะสีเงินทั้งตัวยืนอย่างสงบ บนหลังมีขุนพลหอกเงินในชุดเกราะเงินนั่งอยู่ ใบหน้าได้สัดส่วน สายตาคมกริบ สวมเสื้อคลุมกันลมสีขาว หอกยาวแขวนอยู่บนเกราะขาหนักด้านซ้าย ทั้งตัวขาวผุดผ่องราวหิมะกองหนึ่ง โดดเด่นเป็นอย่างมาก
ไม่ต้องเดาเลย คนผู้นี้ก็คือผู้บัญชาการแห่ง ‘กองกำลังคมโลหิต’ เมิ่งอู่
ด้านหลังเมิ่งอู่เกราะเงินผ้าคลุมขาวผู้นี้ ยังมีองครักษ์อีกสิบสองนาย กลิ่นอายองอาจ ส่วนใหญ่อยู่ในระดับสูงสุดของขั้นปรมาจารย์ ทุกคนสวมชุดเกราะเพลิงแดงดำมันขลับ เสื้อคลุมสีดำ นั่งคร่อมอยู่บนม้าดี สะพายดาบหนักไว้ข้างเอว สายตาเย็นเยียบ รังสีฆ่าฟันคุกรุ่น
“ท่านคือหลี่มู่?” เมิ่งอู่ที่อยู่บนอาชาสวรรค์เขาเดียวสีขาว มองหลี่มู่จากตำแหน่งที่สูงกว่า
กองกำลังคมโลหิตเป็นกองทหารหลักของเมืองฉางอัน ระดับของผู้บังคับบัญชานี้เป็นถึงขั้นสอง ขุนนางเมืองขั้นเก้าอยู่ต่อหน้าเขาก็เป็นเพียงเม็ดงาเท่านั้น
หลี่มู่ไม่ใส่ใจน้ำเสียงเช่นนี้ของเขา พยักหน้าแล้วตอบกลับ “ข้าเอง ขุนพลเมิ่งมีอะไรหรือ?”
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: จอมศาสตราพลิกดารา