เจิ้งฉุนเจี้ยนไม่เข้าใจ แต่ก็ตามหลี่มู่มาที่หน้าประตูห้องหนังสือ
พื้นที่บริเวณที่ว่าการเก่า หลังจากผ่านการขยายพื้นที่ของหลี่มู่แล้ว อาณาเขตก็กว้างขวางมาก อีกทั้งทัศนวิสัยกว้างโล่ง ภายในไม่มีกำแพงสูง ส่วนมากมีต้นไม้ ลำธารและภูเขาจำลองเป็นหลัก ยามยืนหน้าประตูห้องหนังสือของหลี่มู่ แค่มองออกไปก็เห็นพื้นที่บริเวณด้านหน้ากว่าครึ่งได้หมด
ลมอ่อนๆ พัดโชย ต้นไม้ต้องลมไหวเอน
ทิวทัศน์ในอาณาเขตที่ว่าการอำเภองดงามเป็นอย่างมาก
สายตาของเจิ้งฉุนเจี้ยนกวาดไปในลานที่พักอาศัย ก็ไม่พบความเคลื่อนไหวอะไรแม้แต่น้อย
เพียงแต่จู่ๆ ในเขตที่พักอาศัยก็เงียบเกินเหตุ
มุมปากหลี่มุมยกยิ้มเยาะหยัน งอนิ้วดีดออกไป
พลังดัชนีสายหนึ่งดีดเข้าไปในลานที่พักอาศัย
เรื่องประหลาดบังเกิดขึ้นแล้ว
เจิ้งฉุนเจี้ยนมองอย่างตื่นตะลึง ภายในเขตพักอาศัยที่แต่เดิมเงียบสงบไม่มีเหตุการณ์ผิดปกติ พลันแผ่ระลอกคลื่นหลายชั้นราวภาพม้วนคลื่นน้ำ จากนั้นภาพทิวทัศน์ใหม่ก็ปรากฏขึ้น เห็นร่างเงาสี่ร่างอยู่ท่ามกลางสวนเหมือนคนตาบอดหลงทาง เดินวนสะเปะสะปะไปมา ทำหน้าตาฉุนเฉียว ตะโกนอะไรเสียงดัง แต่ไม่มีเสียงออกมาแม้แต่น้อย…
ค่ายกลมายา?
มีคนแฝงตัวเข้ามาในเขตที่ว่าการ?
คราวนี้เขาเข้าใจความหมายของหนูที่หลี่มู่พูดถึงแล้ว
ทุกสิ่งก่อนหน้านี้ถูกค่ายกลบดบังเอาไว้
คนพวกนี้ตกอยู่ในค่ายกล เดินออกมาไม่ได้
พวกเขามาบุกเขตที่ว่าการเก่าเพื่ออะไร?
ไม่ต้องเดาก็รู้ว่าพุ่งเป้ามาที่หลี่มู่
เจิ้งฉุนเจี้ยนมองเห็นร่างเงาหนึ่งในนั้นยกมือซัดพลัง พลังมหาศาลทางหนึ่งทะลักออกมา กลิ่นอายแข็งแกร่ง ไม่นึกว่าจะเป็นพลังฝึกขั้นฟ้าประทานสูงสุด แต่เมื่อฝ่ามือนั้นซัดไปยังหินผาภูเขาจำลองเบื้องหน้าก็ราวโคลนจมทะเล ไม่มีผลอะไรเลย
อีกสามคนที่เหลือก็ร้อนรนอย่างยิ่ง เที่ยวฟันโจมตีสะเปะสะปะ แต่กลับไม่มีความหมายใด พลังโหมกระหน่ำราวคลื่นคลั่งถูกพลังลึกลับบางอย่างสลายไป ไม่อาจสะเทือนให้ใบไม้หลุดร่วงแม้แต่ใบเดียว แปลกประหลาดนัก
เจิ้งฉุนเจี้ยนมองหลี่มู่ด้วยใจที่ตกตะลึงยิ่งนัก
เขารู้ว่าหลี่มู่เชี่ยวชาญค่ายกล จุดนี้ ที่เรือนซอมซ่อมในเมืองฉางอันก็ได้พิสูจน์แล้ว ช่วงนั้นเขตเรือนซอมซ่อเป็นรองแค่เขตต้องห้ามที่ว่าการเจ้าเมืองเท่านั้น โดยพื้นฐานแล้วไม่มีใครฝ่าเข้าไปได้
ทว่าถึงจะเป็นแบบนี้ ตอนนั้นความล้ำลึกด้านค่ายกลของหลี่มู่ก็ไม่ได้น่ากลัวจนถึงระดับนี้
สี่คนที่ถูกกักขังอยู่เบื้องหน้าล้วนเป็นผู้แข็งแกร่งขั้นฟ้าประทานสูงสุด ตัวตนเช่นนี้อยู่ที่ไหนก็เป็นผู้ที่มีพลังน่าเกรงขาม แต่กลับติดอยู่ในค่ายกลที่ว่าการราวกับคนตาบอดตกบ่อ ไม่อาจสร้างระลอกคลื่นอะไรได้เลย แม้แต่เสียงก็ยังเปล่งออกมาไม่ได้
หากก่อนหน้านี้หลี่มู่ไม่ชี้ให้เห็น เจิ้งฉุนเจี้ยนเชื่อว่าต่อให้ตนเดินออกไปจากอาณาบริเวณก็ไม่มีทางสังเกตเห็นเด็ดขาด
จะน่ากลัวเกินไปแล้ว
นี่เป็นค่ายกลและความช่ำชองด้านค่ายกลที่น่ากลัวอะไรปานนี้
เจิ้งฉุนเจียนนึกหวาดกลัวขึ้นมา
อาณาเขตที่ว่าการที่ดูเหมือนสุขสงบแอบซ่อนกลไกเช่นนี้เอาไว้
ครั้นมองเด็กหนุ่มใบหน้าเปื้อนยิ้มข้างกายคนนี้ ความหวาดกลัวและยำเกรงในใจเจิ้งฉุนเจี้ยนมากขึ้นเรื่อยๆ มีบางคนก็เป็นเช่นนี้ ยิ่งเข้าใกล้ยิ่งคิดว่าตัวเองเข้าใจเขาดี กลับยิ่งพบว่าที่จริงแล้วห่างกันไกลเหลือเกิน ไม่อาจมองเขาได้ทะลุปรุโปร่ง ใจจึงยิ่งหวาดกลัวเขา และในใจเจิ้งฉุนเจี้ยน หลี่มู่เป็นคนประเภทนั้นอย่างไม่ต้องสงสัย
“จิ้วๆ…จิ้วๆๆๆ” เสียงใสกังวานของจิ้งจอกดังขึ้น
สายฟ้าสีขาวสายหนึ่งพุ่งจากด้านข้างมาอยู่ในอ้อมกอดหลี่มู่ เป็นจิ้งจอกขาวตัวน้อยนั่นเอง
“จิ้วๆ” จิ้งจอกขาวน้อยต๋าจี่เลียหลังมือเขาอย่างสนิทสนม
หลี่มู่ลูบเจ้าตัวน้อย จากนั้นจึงถามเจิ้งฉุนเจี้ยน “รู้จักสี่คนนี้หรือไม่?”
เขาตอบ “ไม่รู้จักขอรับ”
“ในเมื่อเป็นเช่นนี้” หลี่มู่หัวเราะ จากนั้นขยับความคิด
ในอากาศ ระลอกลวดลายค่ายกลเต๋ากระเพื่อมไหว ลายเส้นเต๋าสีทองถี่ยิบในอากาศกะพริบแล้วหายวับไป สี่คนที่วิ่งพล่านเหมือนแมลงวันไร้หัวต่างส่งเสียงร้องยินดี รู้สึกเหมือนหมอกคลุมเครือเบื้องหน้าทั้งหมดหายไปในชั่วพริบตา ชัดกระจ่างขึ้นทันที
ทั้งสี่คนแทบจะเห็นหลี่มู่ที่ยืนอยู่หน้าประตูห้องหนังสือในขณะเดียวกัน
“จัดการ!”
คนที่ตั้งตัวได้เป็นคนแรกคือยอดฝีมือร่างผอมเล็กคนหนึ่ง ท่าร่างรวดเร็วนัก พุ่งมาหาหลี่มู่ดั่งลำแสง ยกมือโยนห่วงเงินห่วงทองคู่หนึ่งออกไป เงาห่วงทับซ้อนเป็นร้อยเป็นพันเต็มท้องฟ้าทันใด และล้อมหลี่มู่เอาไว้เหมือนพายุฝนลมกรด
เป็นพายุโจมตีสังหารอันน่าหวาดกลัวที่ขั้นฟ้าประทานสูงสุดสำแดงขึ้นอย่างไม่ต้องสงสัย
ดวงตาของเจิ้งฉุนเจี้ยนกระตุกระรัว ถอยหลังไปโดยไม่รู้ตัว
เขามองออกว่าเงาห่วงทุกห่วงล้วนเป็นของจริง ไม่ใช่เพียงเงา นี่เป็นวิชาต่อสู้ที่เหี้ยมโหดถึงขีดสุด
ชื่อเหี้ยมโหดเป็นที่เลื่องลือชื่อหนึ่งผุดขึ้นมาในหัวเขาทันที
“เป็นเขา…” เจิ้งฉุนเจี้ยนอ้าปากร้องออกมา
เคร้ง เคร้ง เคร้ง!
แสงดาบหลายสายหมุนวนอยู่ข้างกายหลี่มู่ ดาบบินยี่สิบสี่เล่มถาโถมสอดประสานกันดั่งลำแสง ชั่วขณะที่แสงดาบกะพริบวูบ ก็ฟันเงาห่วงเงินทองที่อยู่ห่างจากหลี่มู่หนึ่งจั้งทั้งหมดจนกลายเป็นผุยผง ไม่อาจเข้าใกล้ได้เลย
ขณะเดียวกัน เงาร่างที่พุ่งมาหาหลี่มู่ปานสายอัสนีกลางท้องฟ้าก็กระเด็นตีลังกาออกไป เมื่อกระแทกกับพื้นเต็มแรงก็ไม่ขยับเขยื้อนอีก คอของเขามีดาบบินสีเงินวาววับปักอยู่
ป้องกัน โจมตีกลับ
แค่ชั่วพริบตา ผู้แข็งแกร่งขั้นฟ้าประทานสูงสุดคนหนึ่งถูกสังหารลงอย่างรวดเร็ว
“เขาคือ ‘ห่วงคู่ปลิดชีพ’ เลี่ยวจื้อ หนึ่งในสิบหกทหารเดนตายข้างกายเจิ้นซีอ๋อง…” เสียงตกใจของเจิ้งฉุนเจี้ยนเพิ่งจะตะโกนจบ การต่อสู้ก็เสร็จสิ้นแล้ว
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: จอมศาสตราพลิกดารา