ทางนั้นมีคู่สามีภรรยาวัยหนุ่มสาวอยู่คู่หนึ่ง
ชายหนุ่มวัยสามสิบต้นๆ รูปร่างสูงใหญ่ ใบหน้าเหลี่ยมไว้หนวดเครา ดูเป็นคนห้าวหาญตรงไปตรงมา ในมือถือสามง่ามสำหรับล่าสัตว์ แบกหนังสัตว์เปื้อนเลือดที่เพิ่งโดนถลกออกมาหมาดๆ อยู่หลายผืน เขาสวมชุดนายพราน แต่ทางหญิงสาวอ่อนเยาว์กว่าหน่อย วัยประมาณยี่สิบสามยี่สิบสี่ ผิวขาวผ่องหน้าตางดงาม ในอ้อมกอดอุ้มเด็กอ่อนยังไม่หย่านม ผู้หญิงคนนี้ถึงจะสวมเสื้อผ้าเรียบๆ แต่ก็ยากจะซ่อนความสง่างาม เมื่อมองแวบแรกก็ตกตะลึง เพราะดูมีชาติตระกูล ไม่เหมือนมาจากครอบครัวที่ยากไร้
ด้านข้างนางมีตะกร้าไม้ไผ่สองใบวางอยู่
ในตะกร้ามีผลซิ่งส่งกลิ่นหอม น่าจะเก็บจากภูเขาเพื่อเอามาขายแลกเงินที่ตลาดในเมือง
เมื่อเห็นสายตาของหลี่มู่ สามีภรรยาคู่นี้เผยรอยยิ้มอ่อนโยน
“ขอบคุณมาก” หลี่มู่ทำมือคำนับแบบคนสมัยก่อน จากนั้นก็รับผลซิ่งจากเด็กหญิงมา ลูบๆ หัวนางก่อนยิ้มพูด “ขอบคุณนะสาวน้อย หนูชื่ออะไร?”
“ข้าชื่อยายา”
เด็กหญิงตัวน้อยหัวเราะอย่างมีความสุขพลางกระโดดโลดเต้นกลับไปหาบิดามารดา
คนต่างโลกที่นี่เป็นมิตรและจริงใจดีจัง
หลี่มู่ขอบตาร้อนผ่าวด้วยความซาบซึ้งใจ
น้ำใจจากผลซิ่งสองผล ทำให้เขารู้สึกดีต่อต่างโลกแห่งนี้
ผลซิ่งจากเขาจินฮวงทั้งผลใหญ่ทั้งหอมหวาน พอจะประทังความหิวได้ หลี่มู่กินเองหนึ่งผล อีกหนึ่งผลชิงเฟิงและหมิงเยวี่ยเด็กรับใช้บัณฑิตทั้งสองแบ่งกันคนละครึ่ง
แถวตรวจคนเข้าเมืองดำเนินต่อไปตามขั้นตอน
ไม่ช้าคู่สามีภรรยาและยายาก็ใกล้ถึงประตูเมืองแล้ว
มองแวบแรกก็รู้ว่าทหารที่ตรวจสอบเป็นทหาร สวมชุดเกราะอย่างลวกๆ ใบหน้าแสดงถึงความโลภโกงกินไม่อายฟ้าดิน ผู้คนที่เข้าเมืองล้วนต้องโดนยึดของไป เรียกได้ว่าเอาเปรียบกันทุกทาง
สามีภรรยาคู่นั้นโดนริบหนังสัตว์สองผืนและผลซิ่งไปกว่าครึ่ง แม้ว่าจะโกรธแต่ก็ไม่กล้าพูดอะไร ได้แต่พาลูกเดินเข้าเมืองไป
ในที่สุดก็ถึงตาพวกเขาสามคน
ชิงเฟิงเด็กชายผู้รับใช้บัณฑิตก้าวไปหมายจะแสดงตัวตน คนที่เป็นหัวหน้ารีบปิดจมูกมองทั้งสามตั้งแต่หัวจรดเท้า “มารดามันเถอะ ขอทานสามคนนี้มาจากที่ไหนกัน ทั้งเหม็นทั้งสกปรก ซวยจริง รีบๆ ไปให้พ้น เข้าไปก็อย่าก่อเรื่องแล้วกัน ไม่เช่นนั้นพวกเจ้าโดนตัดขาทิ้งแน่…” จากนั้นเขาก็สั่งให้คนพาพวกหลี่มู่ทั้งสามเข้าเมืองไป
เมื่อหลี่มู่เข้ามาในเมือง เขาเหลียวหลังไปมองที่ประตูเมืองอย่างอาลัยอาวรณ์ ไม่รู้ว่าจะร้องไห้หรือหัวเราะดี
แม้ว่าจะเข้าเมืองมาได้อย่างราบรื่น แต่ความรู้สึกเวลาโดนเหยียดหยามช่างชวนให้รู้สึกไม่ดีเท่าใดนัก
อีกทั้งเพียงเรื่องเล็กๆ นี้ก็ทำให้รู้ว่าการปกครองท้องถิ่นของจักรวรรดิฉินตะวันตกดูไม่ค่อยจะดีสักเท่าไหร่
อำเภอเมืองขาวพิสุทธิ์เป็นเมืองภูเขา
มีเพียงเข้ามาถึงจะเข้าใจเสน่ห์ของเมืองเก่านี้มากขึ้น
ถนนสายหลักหลายสายถูกปูด้วยหินเขียวซึ่งเป็นเอกลักษณ์ของเขาขาวพิสุทธิ์ ราบเรียบมันวาว เปรียบได้กับยางมะตอยบนโลกมนุษย์ ส่วนถนนเส้นอื่นส่วนใหญ่จะเป็นขั้นบันไดหรือทางโค้งคดเคี้ยว แทรกตัวไปมาระหว่างภูเขาและแม่น้ำ เหมือนกับเป็นสวนธรรมชาติ แม่น้ำหลายสายไหลรอบเมืองโบราณ ไหลจากที่สูงลงต่ำ ทำให้มีน้ำตกอยู่ในเมืองหลายแห่ง แต่กระแสน้ำไม่แรงมาก และใสจนเห็นพื้น
ต้นไม้เก่าแก่ยึดครองพื้นที่ในเมือง เรือนยอดไม้ดุจหลังคาปกคลุม มีอายุหลายร้อยปี
ทิวทัศน์ที่งดงามทำให้ง่ายต่อการเดินหลงทางมาก
หลังจากผ่านไปราวหนึ่งชั่วยาม (สองชั่วโมง)
หลี่มู่พาเด็กรับใช้บัณฑิตทั้งสองถามทางไปพลาง เดินขึ้นเขาไปพลาง ใช้เวลาไปครึ่งค่อนวันกว่าจะมาถึงที่ว่าราชการซึ่งอยู่ในจุดสูงสุดของอำเภอเมือง
ใช่แล้ว หลังจากหลี่มู่ผ่านการต่อสู้บากบั่นในจิตใจ เขาตัดสินใจที่จะผลักเรือไปตามน้ำ สวมรอยเป็นขุนนางเมืองแห่งอำเภอเมืองขาวพิสุทธิ์ไปสักพัก
เหตุผลนั้นมีสามข้อ
ข้อแรก เพราะเขาทำให้พรรคจันทราโลหิตขุ่นเคือง จะต้องถูกตามล่าอย่างแน่นอน และเขาในตอนนี้ก็ไร้ซึ่งกำลังจะปกป้องตัวเอง
ข้อสอง หลังจากที่พูดคุยกับชิงเฟิง ทำให้รู้ว่าในจักรวรรดิฉินตะวันตก ผู้ที่ไม่ได้ลงทะเบียนพลเรือนว่าบ้านอยู่ที่ใดจะถูกทางการจับลงทะเบียนทาส
ข้อสาม เหตุผลนั้นยิ่งเรียบง่าย หลี่มู่สำเร็จการศึกษาเพียงชั้นมัธยมต้นบนโลกมนุษย์ ไม่มีทักษะการเอาตัวรอดหากเร่ร่อนไปทั่วเกรงว่าไม่กี่วันก็อดตายแล้ว
แน่นอนว่าการข้ามมาต่างโลกแล้วจับผลัดจับผลูมาเป็นขุนนางเมืองก็เป็นเรื่องที่ดีทีเดียว
ประตูของที่ว่าการมีทหารยามเฝ้าประตูอยู่สองนาย
ทันทีที่ทั้งสามมาถึงหน้าประตู ก็มีคนเดินมาสบถด่า “เจ้าขอทานเหม็นเน่า ที่นี่เป็นที่ว่าราชการ คนที่ไม่เกี่ยวข้องห้ามเข้า หากไม่อยากตายก็ถอยไป” การแสดงออกของพวกเขาดูดุดันมาก
“พวกเจ้ามีตาหามีแววไม่ กล้ามาด่าคุณชายของข้า เชื่อหรือไม่ คุณชายของข้าสามารถฆ่าเจ้าด้วยหมัดเดียว” หมิงเยวี่ยผู้โง่งมและอารมณ์ร้ายเอาสองมือเท้าเอว ด่ากลับโดยไม่มีความเกรงกลัวใดๆ “เจ้าพวกหัวสูงชอบดูถูกคน คุณชายของข้าเป็นถึงขุนนางเมืองคนใหม่แห่งอำเภอเมืองขาวพิสุทธิ์ พวกเจ้าไม่รู้จักกลัวตายซะแล้ว ยังไม่รีบไสหัวมาต้อนรับขุนนางเมืองคนใหม่อีก!”
…
สองเค่อ[1]หลังจากนั้น
“ยินดีต้อนรับท่านขุนนางเมือง”
ณ ห้องโถงใหญ่ในที่ว่าการ
หลังจากตรวจสอบหมายแต่งตั้งและตราประทับจากทางการ กลุ่มขุนนางน้อยใหญ่ทั้งฝ่ายบุ๋นฝ่ายบู๊โค้งศีรษะและส่งเสียงคำนับอย่างพร้อมเพรียง
หลี่มู่นั่งอยู่บนเก้าอี้ขุนนางเมือง สีหน้าไร้อารมณ์
แม้ว่าเขาจะเป็นมือใหม่ ก็เห็นได้ว่าขุนนางเหล่านี้ไม่ได้เคารพหรือหวั่นเกรงอะไรในตัวขุนนางเมืองคนใหม่ มีแต่เจ้าคนไร้มารยาทเมื่อสักครู่ที่ตกใจกลัว ยามนี้คุกเข่าอยู่วงนอกสุดด้วยเนื้อตัวสั่นเทา
“ไม่ต้องมากพิธี ทุกคนออกไปได้…”
เขาไม่อยากมานั่งสนใจกับท่าทีของคนเหล่านี้
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: จอมศาสตราพลิกดารา