ตอน บทที่ 3 แอบอ้างเป็นขุนนางเมือง จาก จอมศาสตราพลิกดารา – ความลับ ความรัก และการเปลี่ยนแปลง
บทที่ 3 แอบอ้างเป็นขุนนางเมือง คือตอนที่เปี่ยมด้วยอารมณ์และสาระในนิยายกำลังภายใน จอมศาสตราพลิกดารา ที่เขียนโดย Internet เรื่องราวดำเนินสู่จุดสำคัญ ไม่ว่าจะเป็นการเปิดเผยใจตัวละคร การตัดสินใจที่ส่งผลต่ออนาคต หรือความลับที่ซ่อนมานาน เรียกได้ว่าเป็นตอนที่นักอ่านรอคอย
ทางนั้นมีคู่สามีภรรยาวัยหนุ่มสาวอยู่คู่หนึ่ง
ชายหนุ่มวัยสามสิบต้นๆ รูปร่างสูงใหญ่ ใบหน้าเหลี่ยมไว้หนวดเครา ดูเป็นคนห้าวหาญตรงไปตรงมา ในมือถือสามง่ามสำหรับล่าสัตว์ แบกหนังสัตว์เปื้อนเลือดที่เพิ่งโดนถลกออกมาหมาดๆ อยู่หลายผืน เขาสวมชุดนายพราน แต่ทางหญิงสาวอ่อนเยาว์กว่าหน่อย วัยประมาณยี่สิบสามยี่สิบสี่ ผิวขาวผ่องหน้าตางดงาม ในอ้อมกอดอุ้มเด็กอ่อนยังไม่หย่านม ผู้หญิงคนนี้ถึงจะสวมเสื้อผ้าเรียบๆ แต่ก็ยากจะซ่อนความสง่างาม เมื่อมองแวบแรกก็ตกตะลึง เพราะดูมีชาติตระกูล ไม่เหมือนมาจากครอบครัวที่ยากไร้
ด้านข้างนางมีตะกร้าไม้ไผ่สองใบวางอยู่
ในตะกร้ามีผลซิ่งส่งกลิ่นหอม น่าจะเก็บจากภูเขาเพื่อเอามาขายแลกเงินที่ตลาดในเมือง
เมื่อเห็นสายตาของหลี่มู่ สามีภรรยาคู่นี้เผยรอยยิ้มอ่อนโยน
“ขอบคุณมาก” หลี่มู่ทำมือคำนับแบบคนสมัยก่อน จากนั้นก็รับผลซิ่งจากเด็กหญิงมา ลูบๆ หัวนางก่อนยิ้มพูด “ขอบคุณนะสาวน้อย หนูชื่ออะไร?”
“ข้าชื่อยายา”
เด็กหญิงตัวน้อยหัวเราะอย่างมีความสุขพลางกระโดดโลดเต้นกลับไปหาบิดามารดา
คนต่างโลกที่นี่เป็นมิตรและจริงใจดีจัง
หลี่มู่ขอบตาร้อนผ่าวด้วยความซาบซึ้งใจ
น้ำใจจากผลซิ่งสองผล ทำให้เขารู้สึกดีต่อต่างโลกแห่งนี้
ผลซิ่งจากเขาจินฮวงทั้งผลใหญ่ทั้งหอมหวาน พอจะประทังความหิวได้ หลี่มู่กินเองหนึ่งผล อีกหนึ่งผลชิงเฟิงและหมิงเยวี่ยเด็กรับใช้บัณฑิตทั้งสองแบ่งกันคนละครึ่ง
แถวตรวจคนเข้าเมืองดำเนินต่อไปตามขั้นตอน
ไม่ช้าคู่สามีภรรยาและยายาก็ใกล้ถึงประตูเมืองแล้ว
มองแวบแรกก็รู้ว่าทหารที่ตรวจสอบเป็นทหาร สวมชุดเกราะอย่างลวกๆ ใบหน้าแสดงถึงความโลภโกงกินไม่อายฟ้าดิน ผู้คนที่เข้าเมืองล้วนต้องโดนยึดของไป เรียกได้ว่าเอาเปรียบกันทุกทาง
สามีภรรยาคู่นั้นโดนริบหนังสัตว์สองผืนและผลซิ่งไปกว่าครึ่ง แม้ว่าจะโกรธแต่ก็ไม่กล้าพูดอะไร ได้แต่พาลูกเดินเข้าเมืองไป
ในที่สุดก็ถึงตาพวกเขาสามคน
ชิงเฟิงเด็กชายผู้รับใช้บัณฑิตก้าวไปหมายจะแสดงตัวตน คนที่เป็นหัวหน้ารีบปิดจมูกมองทั้งสามตั้งแต่หัวจรดเท้า “มารดามันเถอะ ขอทานสามคนนี้มาจากที่ไหนกัน ทั้งเหม็นทั้งสกปรก ซวยจริง รีบๆ ไปให้พ้น เข้าไปก็อย่าก่อเรื่องแล้วกัน ไม่เช่นนั้นพวกเจ้าโดนตัดขาทิ้งแน่…” จากนั้นเขาก็สั่งให้คนพาพวกหลี่มู่ทั้งสามเข้าเมืองไป
เมื่อหลี่มู่เข้ามาในเมือง เขาเหลียวหลังไปมองที่ประตูเมืองอย่างอาลัยอาวรณ์ ไม่รู้ว่าจะร้องไห้หรือหัวเราะดี
แม้ว่าจะเข้าเมืองมาได้อย่างราบรื่น แต่ความรู้สึกเวลาโดนเหยียดหยามช่างชวนให้รู้สึกไม่ดีเท่าใดนัก
อีกทั้งเพียงเรื่องเล็กๆ นี้ก็ทำให้รู้ว่าการปกครองท้องถิ่นของจักรวรรดิฉินตะวันตกดูไม่ค่อยจะดีสักเท่าไหร่
อำเภอเมืองขาวพิสุทธิ์เป็นเมืองภูเขา
มีเพียงเข้ามาถึงจะเข้าใจเสน่ห์ของเมืองเก่านี้มากขึ้น
ถนนสายหลักหลายสายถูกปูด้วยหินเขียวซึ่งเป็นเอกลักษณ์ของเขาขาวพิสุทธิ์ ราบเรียบมันวาว เปรียบได้กับยางมะตอยบนโลกมนุษย์ ส่วนถนนเส้นอื่นส่วนใหญ่จะเป็นขั้นบันไดหรือทางโค้งคดเคี้ยว แทรกตัวไปมาระหว่างภูเขาและแม่น้ำ เหมือนกับเป็นสวนธรรมชาติ แม่น้ำหลายสายไหลรอบเมืองโบราณ ไหลจากที่สูงลงต่ำ ทำให้มีน้ำตกอยู่ในเมืองหลายแห่ง แต่กระแสน้ำไม่แรงมาก และใสจนเห็นพื้น
ต้นไม้เก่าแก่ยึดครองพื้นที่ในเมือง เรือนยอดไม้ดุจหลังคาปกคลุม มีอายุหลายร้อยปี
ทิวทัศน์ที่งดงามทำให้ง่ายต่อการเดินหลงทางมาก
หลังจากผ่านไปราวหนึ่งชั่วยาม (สองชั่วโมง)
หลี่มู่พาเด็กรับใช้บัณฑิตทั้งสองถามทางไปพลาง เดินขึ้นเขาไปพลาง ใช้เวลาไปครึ่งค่อนวันกว่าจะมาถึงที่ว่าราชการซึ่งอยู่ในจุดสูงสุดของอำเภอเมือง
ใช่แล้ว หลังจากหลี่มู่ผ่านการต่อสู้บากบั่นในจิตใจ เขาตัดสินใจที่จะผลักเรือไปตามน้ำ สวมรอยเป็นขุนนางเมืองแห่งอำเภอเมืองขาวพิสุทธิ์ไปสักพัก
เหตุผลนั้นมีสามข้อ
ข้อแรก เพราะเขาทำให้พรรคจันทราโลหิตขุ่นเคือง จะต้องถูกตามล่าอย่างแน่นอน และเขาในตอนนี้ก็ไร้ซึ่งกำลังจะปกป้องตัวเอง
ข้อสอง หลังจากที่พูดคุยกับชิงเฟิง ทำให้รู้ว่าในจักรวรรดิฉินตะวันตก ผู้ที่ไม่ได้ลงทะเบียนพลเรือนว่าบ้านอยู่ที่ใดจะถูกทางการจับลงทะเบียนทาส
ข้อสาม เหตุผลนั้นยิ่งเรียบง่าย หลี่มู่สำเร็จการศึกษาเพียงชั้นมัธยมต้นบนโลกมนุษย์ ไม่มีทักษะการเอาตัวรอดหากเร่ร่อนไปทั่วเกรงว่าไม่กี่วันก็อดตายแล้ว
แน่นอนว่าการข้ามมาต่างโลกแล้วจับผลัดจับผลูมาเป็นขุนนางเมืองก็เป็นเรื่องที่ดีทีเดียว
ประตูของที่ว่าการมีทหารยามเฝ้าประตูอยู่สองนาย
ทันทีที่ทั้งสามมาถึงหน้าประตู ก็มีคนเดินมาสบถด่า “เจ้าขอทานเหม็นเน่า ที่นี่เป็นที่ว่าราชการ คนที่ไม่เกี่ยวข้องห้ามเข้า หากไม่อยากตายก็ถอยไป” การแสดงออกของพวกเขาดูดุดันมาก
“พวกเจ้ามีตาหามีแววไม่ กล้ามาด่าคุณชายของข้า เชื่อหรือไม่ คุณชายของข้าสามารถฆ่าเจ้าด้วยหมัดเดียว” หมิงเยวี่ยผู้โง่งมและอารมณ์ร้ายเอาสองมือเท้าเอว ด่ากลับโดยไม่มีความเกรงกลัวใดๆ “เจ้าพวกหัวสูงชอบดูถูกคน คุณชายของข้าเป็นถึงขุนนางเมืองคนใหม่แห่งอำเภอเมืองขาวพิสุทธิ์ พวกเจ้าไม่รู้จักกลัวตายซะแล้ว ยังไม่รีบไสหัวมาต้อนรับขุนนางเมืองคนใหม่อีก!”
…
สองเค่อ[1]หลังจากนั้น
“ยินดีต้อนรับท่านขุนนางเมือง”
ณ ห้องโถงใหญ่ในที่ว่าการ
หลังจากตรวจสอบหมายแต่งตั้งและตราประทับจากทางการ กลุ่มขุนนางน้อยใหญ่ทั้งฝ่ายบุ๋นฝ่ายบู๊โค้งศีรษะและส่งเสียงคำนับอย่างพร้อมเพรียง
หลี่มู่นั่งอยู่บนเก้าอี้ขุนนางเมือง สีหน้าไร้อารมณ์
แม้ว่าเขาจะเป็นมือใหม่ ก็เห็นได้ว่าขุนนางเหล่านี้ไม่ได้เคารพหรือหวั่นเกรงอะไรในตัวขุนนางเมืองคนใหม่ มีแต่เจ้าคนไร้มารยาทเมื่อสักครู่ที่ตกใจกลัว ยามนี้คุกเข่าอยู่วงนอกสุดด้วยเนื้อตัวสั่นเทา
“ไม่ต้องมากพิธี ทุกคนออกไปได้…”
เขาไม่อยากมานั่งสนใจกับท่าทีของคนเหล่านี้
หลี่มู่นั่งไขว่ห้างอยู่บนเก้าอี้ประจำตำแหน่ง ทำหน้าไม่รู้ร้อนรู้หนาว อีกทั้งยังหัวเราะแหะๆ ออกมา
มาเป็นขุนนางเมืองก็เพื่อความอยู่รอดหรอก เขาไม่ได้สนใจสิ่งที่เรียกว่าอำนาจเลยสักนิด
อย่างไรเขาก็เป็นเพียงแค่มนุษย์ต่างโลกคนหนึ่ง
เขามายังดาวดวงนี้เพื่อฝึกวิชายุทธ์ เรื่องทั้งหมดก่อนหน้านี้พิสูจน์ได้ว่าคำพูดของซินแสเฒ่าเป็นความจริง เป็นไปได้ที่พลังก่อนกำเนิดกับหมัดยุทธ์แท้จะมีพลังดุจเซียน อีกทั้งยังฝึกฝนได้บนดาวนี้
ขอเพียงฝึกยอดวิชาทั้งสองสำเร็จมากพอ…ไม่สิ แม้จะถึงเพียงขั้นเบื้องต้นของพลัง อานุภาพก็สามารถจัดการกับดาววิถียุทธ์ระดับต่ำนี้ได้ กระทั่งจักรวรรดิใหญ่ทั้งสามและสำนักเทพทั้งเก้ายังต้องสั่นงันงกอยู่แทบเท้าหลี่มู่ นับประสาอะไรกับขุนนางอำเภอตำแหน่งเล็กๆ เมื่อถึงเวลานั้น เงินทอง สาวงาม ตำแหน่งขุนนางระดับสูง และเบี้ยเลี้ยงสูงๆ ก็ครอบครองไม่ยากอีกต่อไป?
“ฮ่าๆๆๆ”
เมื่อหลี่มู่ฝันไปถึงอนาคตอันสดใส ก็อดไม่ได้ที่จะหัวเราะอย่างบ้าคลั่งอยู่ตรงนั้น
ด้านชิงเฟิงและหมิงเยวี่ยพูดอะไรไม่ออก
คุณชายทำแบบนี้ก็มากเกินไป ดีใจจนบ้าไปแล้ว
……
ประมาณครึ่งชั่วยามให้หลัง อาหารที่ผู้ช่วยขุนนางเมืองโจวส่งมาให้ก็มาถึง แน่นอนว่าในนั้นมีสุราและเนื้อ อาหารเลิศรสมีพร้อมสรรพ
หลี่มู่และเด็กรับใช้บัณฑิตทั้งสองไม่สามารถควบคุมตัวเองได้อีกต่อไป พวกเขากินกันอย่างอิ่มหนำสำราญจนหมดเกลี้ยงที่ห้องโถงนั้น กระเพาะแทบปริ เหมือนผีที่หิวตายได้กลับมาเกิดใหม่ ทำเอาเจ้าพนักงานที่ยืนข้างๆ เป็นบื้อใบ้ไป
หลังมื้ออาหาร หม่าจวินอู่หัวหน้าองครักษ์ประจำที่ว่าการขอเข้าพบด้วยต้องการขอความเห็นเรื่องการจัดแนวป้องกัน
ลำดับขั้นระดับอำเภอของจักรวรรดิฉินตะวันตกนั้นเรียบง่ายและชัดเจนมาก ภายใต้การดูแลของขุนนางเมืองจะแบ่งออกเป็นสามขั้นขุนนาง ได้แก่ ผู้ช่วยขุนนางเมืองผู้ดูแลบริหาร นายทะเบียนผู้ดูแลเรื่องภาษีที่ดิน และนายตรวจการฝ่ายดูแลกำลังทหาร
นายตรวจการเทียบเท่าผู้กำกับของกองกำลังรักษาความมั่นคงบนโลกมนุษย์
ภายใต้อำนาจของนายตรวจการจะมีสามหัวหน้าใหญ่ แบ่งเป็นหัวหน้าองครักษ์ฝ่ายดูแลป้องกัน หัวหน้ามือปราบรับผิดชอบเรื่องการจับผู้ร้าย และหัวหน้าทหารพลเรือนที่ดูแลทหารอาสากับชาวเมือง หากเทียบกับโลกมนุษย์ก็เหมือนแบ่งระหว่างทหาร ตำรวจและกลุ่มชาวบ้านอาสา
หัวหน้าองครักษ์หม่าจวินอู่รับหน้าที่ป้องกันอำเภอเมือง ตามหลักต้องมาข้อคำแนะนำจากขุนนางเมือง
“ไม่พบ”
หลี่มู่ปฏิเสธไม่ให้เข้าพบโดยไม่ลังเล ปล่อยให้ชิงเฟิงออกไปรับหน้า
ส่วนตัวเขารีบไปแอบอยู่ที่ว่าการด้านหลังทันที
…………………………..
[1] 1 เค่อ เท่ากับ 15 นาที
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: จอมศาสตราพลิกดารา