อ่านสรุป บทที่ 413 ผู้แข็งแกร่งลำดับที่หนึ่ง จาก จอมศาสตราพลิกดารา โดย Internet
บทที่ บทที่ 413 ผู้แข็งแกร่งลำดับที่หนึ่ง คืออีกหนึ่งตอนเด่นในนิยายกำลังภายใน จอมศาสตราพลิกดารา ที่นักอ่านห้ามพลาด การดำเนินเรื่องในตอนนี้จะทำให้คุณเข้าใจตัวละครมากขึ้น พร้อมกับพลิกสถานการณ์ที่ไม่มีใครคาดคิด เขียนโดย Internet อย่างเฉียบคมและลึกซึ้ง
ทุกคนบนโลกขบขันแมลงเม่าที่บินเข้ากองไฟ พวกที่เดินหาความตายด้วยตัวเอง
แต่ใครจะรู้ ชั่วชีวิตของแมลงเม่าไม่เคยได้เห็นแสงสว่าง ตอนที่มันพบความอบอุ่นแม้เพียงน้อยนิด ก็ทุ่มเทสุดกำลังโดยไม่สนใจตัวเอง พุ่งเข้าไปโอบกอดแสงสว่างนั้น ต่อให้แสงสว่างจะแผดเผาร่างกายพวกมันก็ตามที
พวกมันรู้ว่านั่นหมายถึงความตาย
ทว่า พวกมันยังรู้บางสิ่งที่คนบนโลกไม่รู้ นั่นคือเปลวไฟสามารถแผดเผาร่างกายตัวเองได้ แต่ก็ยังชำระล้างดวงวิญญาณของตนได้ด้วย
ตัวอยู่ในเงามืด มุ่งเข้าหาแสงสว่าง
แม้ต้องตายอีกกี่ครั้งก็ไม่เสียใจ
พวกที่ถูกจัดให้เป็นสิ่งมีชีวิตระดับล่าง กองทหารเดนตายโองการฟ้าของนักโทษและข้าทาส รวมถึงสำนักเก่าแก่ที่ยังมีชีวิตรอดและหลบซ่อนอยู่ในป่าเขาบางส่วน แม้แมลงเม่าเหล่านี้หลบซ่อนอยู่ในนรกมืดมิด แต่หลังจากที่ได้เห็นรัชทายาทต้าเยวี่ยชูธงขึ้นมา ก็มองเห็นแสงสว่างรำไร จึงไปพึ่งพิงและติดตามเขาอย่างไม่คิดเสียใจ แม้ว่าโชคชะตาสุดท้ายจะต้องพบกับความพินาศก็ตาม
อวี๋ฮว่าหลงพยายามสะกดอาการบาดเจ็บในร่างกาย สีหน้านิ่งเฉย
ฝ่ามือของเขากำตราหยกอันหนึ่งเอาไว้
นี่เป็นสิ่งที่หลี่มู่ทิ้งไว้ให้ตอนออกจากด่านเมืองมังกรไป หลี่มู่บอกไว้ว่าขอแค่กระตุ้นตราหยกนี้ ต่อให้อยู่สุดหล้าฟ้าเขียวก็จะมาช่วยเหลือในทันที
หลายวันนี้อวี๋ฮว่าหลงลังเลอยู่ตลอดว่าจะกระตุ้นตราหยกนี้ดีหรือไม่
ไม่ใช่กังวลว่าหลี่มู่จะไม่รักษาคำพูด
แต่กำลังชั่งน้ำหนักว่าหากหลี่มู่มาจริง จะสามารถพลิกสถานการณ์ศึกได้หรือไม่
เขาปะทะกับจักรพรรดิฉินหมิงมาแล้วหนึ่งครั้ง
พูดให้ถูกหน่อยก็คือ รับกระบวนท่าจักรพรรดิฉินหมิงมาแล้วหนึ่งกระบวน
กระบวนท่าเดียวแพ้ราบคาบ
พลังของจักรพรรดิฉินหมิงน่ากลัวมากเกินไปจริงๆ
ในอดีต อวี๋ฮว่าหลงติดตามพวกอาจารย์หลี่ไป๋ ผ่านเข้าสู่เส้นทางเซียน ด้วยเหตุนี้จึงเข้าใจขั้นพลังและพลังบางส่วนที่ผู้แข็งแกร่งสายยุทธ์ในโลกใบนี้ยังไม่เข้าใจ กระบวนท่านั้นของจักรพรรดิฉินหมิงมีกลิ่นอายที่ไม่ใช่ของโลกใบนี้แฝงอยู่รางๆ แล้ว
อวี๋ฮว่าหลงก็คิดไม่ถึงว่าจักรพรรดิฉินหมิงปิดด่านฝึกฝนหกสิบปี หลังออกมากลับน่ากลัวขึ้นถึงระดับนี้
ในความเห็นเขา พลังเช่นนี้ต่อให้หลี่มู่มาก็ยังไม่ใช่คู่มือ กลับจะลากหลี่มู่มาเดือดร้อนด้วยมากกว่า
ถ้าหากตนกระตุ้นตราหยกนี้จริง ไม่แน่ว่าอาจจะเป็นการทำร้ายหลี่มู่ ดึงเขามาติดร่างแหจนถึงแก่ความตาย
แต่ว่า ในใจอวี๋ฮว่าหลงยังมีความหวังเล็กๆ อยู่
ถึงอย่างไรนั่นก็เป็นหลี่มู่
นับตั้งแต่หลี่มู่เผยตัวในยุทธจักร มีศึกไหนบ้างที่ไม่เริงระบำอยู่บนปลายดาบ ไม่ใช้ไม้อ่อนเอาชนะไม้แข็ง สร้างปาฏิหาริย์มาหลายต่อหลายครั้ง หากเขาสามารถต่อกรกับจักรพรรดิฉินหมิงได้เล่า?
ทว่าอวี๋ฮว่าหลงไม่กล้าเสี่ยงเช่นกัน
อย่างไรเสียหลี่มู่ก็มาจากดาวโลก เป็นสายเลือดของเหล่าปรัชญาเมธีอย่างแท้จริง ไม่แน่ว่าอาจจะเป็นตัวแทนแห่งความหวัง ด้วยสติปัญญาของหลี่มู่ มหาเทวะอายุสิบห้า อนาคตเขาจะออกจากดาวดวงนี้และไล่ตามรอยเท้าปรัชญาเมธีจากดาวโลกไปก็ไม่ยากเย็น
ต้นกล้าแห่งความหวังจะมาขาดลงเวลานี้ไม่ได้
“ฝ่าบาท สู้ให้ตายไปข้างดีกว่า”
ข้างกายเขา ชายชราตาบอดคนหนึ่งพลันกดไม้เท้าเหล็กหลอมลง เอ่ยขึ้นด้วยเสียงกังวานทรงพลัง
“ถูกต้อง ชีวิตนี้ของข้ายืดลมหายใจเฮือกสุดท้ายมานานเพียงนี้แล้ว ไม่อยากหลบๆ ซ่อนๆ อีกต่อไป เราสู้สุดชีวิตกับพวกสารเลวที่ใช้ความแค้นตอบแทนบุญคุณเหล่านี้กันเถิด” ชายอ้วนเปลือยท่อนบนคนหนึ่งกัดฟันพูด ที่เอวคาดดาบหูวัวไว้
ทั้งสองเป็นคนสนิทข้างกายอวี๋ฮว่าหลง ชายชรานาม ‘ไม้เท้ามารคลั่งมืดบอด’ มู่ชิง ส่วนชายอ้วนรูปลักษณ์เหมือนคนเชือดสัตว์นามว่า ‘ดาบพลั้งครึ่งก้าว’ จางซาน อดีตซ่อนตัวอยู่ในตลาด แท้จริงเป็นผู้แข็งแกร่งคนหนึ่ง ทั้งคู่อยู่ขั้นครึ่งเทวะ
ปัจจุบันเป็นผู้แข็งแกร่งในต้าเยวี่ยรองจากอวี๋ฮว่าหลงเท่านั้น
พวกเขาเป็นเพียงสองคนที่รู้ที่มาและบทบาทของตราหยกในมืออวี๋ฮว่าหลง เวลานี้กลับแสดงท่าทีเช่นนี้ และไม่คิดที่จะลากหลี่มู่เข้ามา
อวี๋ฮว่าหลงมองพวกเขาทั้งสอง จากนั้นมองไปยังเหล่าทหารที่ได้รับบาดเจ็บบนกำแพงเมืองด่านเมืองมังกร ไม่รู้ว่าจะพูดอะไรดี
ขุนพลสู้ร้อยศึกสิ้นชีพ วีรชนสิบปีจึงหวนคืน
ก่อนหน้านี้ ทุกครั้งที่ทหารฉินตะวันตกตีเมืองหนึ่งแตก ที่นั่นจะอาบด้วยเลือด ฆ่าบางล้างเมือง ไก่สุนัขก็ไม่เว้น ไม่ว่าจะเป็นทหารหรือประชาชน ในสิบเมืองเก้าพื้นที่นอกจากด่านเมืองมังกรซึ่งยังไม่ถูกตีแตก อีกสิบแปดเมืองที่เหลือถูกทำลายพินาศไปหมดแล้ว…
เสียสละไปมากมายแล้ว
ในใจของอวี๋ฮว่าหลงค่อยๆ มีแผนการ
ฝ่ามือของเขาส่งพลัง ทำลายตราหยกนี้ป่นเป็นผุยผง
หลี่มู่จะมาที่นี่ไม่ได้
ในวันนี้ ล่วงเลยมาพันปี หากความรุ่งโรจน์ของจักรวรรดิต้าเยวี่ยซึ่งลุกโชนบนแผ่นดินถูกกำหนดให้ต้องมอดดับลงอีกครั้ง อย่างน้อยก็ยังรักษาหลี่มู่ซึ่งเป็นเปลวไฟที่มีความหวังที่สุดเอาไว้ได้
นี่คือการตัดสินใจครั้งสุดท้ายของอวี๋ฮว่าหลง
“ถ่ายทอดคำสั่ง ให้ประชาชนทั้งหมดในเมืองออกจากเมืองแล้วยกธงยอมแพ้เสีย ตอนแรกด่านเมืองมังกรยืนหยัดจนถึงที่สุดได้ ก็เพราะฉินตะวันตกไม่โจมตีกลับหรือช่วยเหลือพวกเขา หากปล่อยพวกเขาออกไปวันนี้ ก็หวังว่าฉินตะวันตกจะละเว้นประชาชนพวกนี้ไว้”
อวี๋ฮว่าหลงสั่งการ
“เรื่องนี้…ทหารฉินตะวันตกโหดร้ายทารุณ น่ากลัวว่าจะไม่ยอมรับ” จางซานเอ่ยขึ้นด้วยสีหน้ากังวล
มู่ชิงกล่าว “นี่ก็เป็นวิธีแบบที่หมดหนทางแล้วเช่นกัน หากไม่ปล่อยชาวบ้านออกไป พอเมืองแตกประชาชนในเมืองก็มีแต่ต้องเจอกับการเข่นฆ่าสังหาร”
คำสั่งถูกถ่ายทอดลงไป
ในเมืองเริ่มมีการระดมกำลังเกิดขึ้น
……
บนเรือวาฬทะยานฟ้า
ข้างใต้ธงหลัก ร่างสูงใหญ่กำยำในชุดจักรพรรดิสีดำร่างหนึ่งยืนตระหง่าน สีหน้าเคร่งขรึม ไม่ยินดียินร้าย แววตาสงบและสุขุม มีอำนาจคุกคามที่ทำให้คนสวามิภักดิ์และสั่นกลัวท่ามกลางความเงียบงัน ร่างเหยียดตรงราวกับกระบี่แหลมคมเล่มหนึ่งปักอยู่กลางหัวเรือ
หากอยู่ในเมือง พอเมืองแตกก็ต้องตายแน่ ส่งพวกเขาออกนอกเมืองเป็นหนทางสุดท้าย หวังว่าจะยังรักษาชีวิตเอาไว้ได้ แต่ว่า…เขาทำผิดต่อหลี่มู่เสียแล้ว
ความรู้สึกที่หลี่มู่มีต่อย่าหลานไช่ไช่ อวี๋ฮว่าหลงรู้ดี
ตอนแรก เขามารออยู่ที่บ้านของแม่เฒ่าไช่หลายเดือนจึงจะได้พบกับหลี่มู่ ยามหลี่มู่จากไปตอนนั้นก็ฝากฝังสองคนนี้ให้ตนดูแล แต่ว่า…เรื่องต่างๆ มาดั่งกระแสน้ำ จะทำอย่างไรได้?
“เตรียมฝ่าวงล้อมออกไปเถิด” อวี๋ฮว่าหลงเอ่ยพลางค่อยๆ หลับตาลง
“ไปที่ใดกัน?” จางซานถามขึ้น
อวี๋ฮว่าหลงตอบ “ไปสำนักขุนคีรี”
หนึ่งชั่วยามต่อมา กองทหารต้าเยวี่ยในด่านเมืองมังกรที่เหลือไม่ถึงหนึ่งหมื่นฝ่าวงล้อมออกไปทางประตูทิศตะวันตก ตีฝ่ากองทัพฉินตะวันตกที่ล้อมอยู่ออกไปอย่างไม่กลัวตาย และหนีไปทางทิศตะวันตกเฉียงเหนือ
ทหารที่เศร้าโศกระเบิดพลังต่อสู้อันน่าสะพรึงออกมา
บนเรือวาฬทะยานฟ้า จักรพรรดิฉินหมิงมองลงมา ใบหน้าเผยรอยยิ้มเย้ยหยัน
“ฉินยี่สิบเอ็ด เจ้าพาทหารกองที่สามตามไปสังหาร ห้ามเหลือแม้แต่คนเดียว นำศพกลับมาให้ข้า” เขาเอ่ยอย่างราบเรียบ
“น้อมรับบัญชา” ราชองครักษ์สวมเกราะเหล็กดำทั้งตัวที่ยืนอยู่ข้างหลังเขามาตลอดรับคำ เสียงราวเหล็กขึ้นสนิมเสียดสีกัน ทำเอาคนใจผวา
ก่อนหน้านี้เขาและองครักษ์เกราะดำอีกเก้าคนยืนอยู่ด้านหลังจักรพรรดิฉินหมิงด้วยกัน ไม่ขยับเขยื้อน ประหนึ่งรูปปั้นเหล็กอย่างไรอย่างนั้น กลิ่นอายเย็นเยียบน่าขนลุกเป็นที่สุด
ไอหมอกสีดำหลายกลุ่มม้วนตัวขึ้นมา จากนั้นสิบคนนี้ก็หายตัวไป
เหล่าขุนนางไม่เข้าใจ
จะใช้สิบคนนี้ไปไล่สังหารรัชทายาทต้าเยวี่ยหรือ?
เรือวาฬทะยานฟ้าแหวกผ่านอากาศ ค่อยๆ ไล่ตามทัพหนีตายของต้าเยวี่ยอยู่ด้านหลัง ดุจฉลามกระหายเลือดที่ไล่ล่า แอบจ้องเหยื่อ ในระยะหลายร้อยลี้ ด้านล่างมีเลือดไหลนองเป็นทาง
ไม่นานนัก ทิวเขาปรากฏขึ้นเบื้องหน้า
ทัพหนีตายต้าเยวี่ยที่ล้มตายไปแล้วสามพันกว่าคนเข้าสู่เขตภูเขา
ทว่า อันตรายที่แท้จริงเพิ่งมาถึง
เสาเมฆดำสิบต้นพุ่งดิ่งลงมาจากฟากฟ้าในฉับพลัน แหวกเสาค้ำสวรรค์มาพร้อมกลิ่นอายดุจการทำลายล้าง ราวกับเทพมารลงมาเยือนเพื่อทำลายโลก กองทัพต้าเยวี่ยที่หนีเข้าไปในภูเขาเผชิญกับวิกฤติระดับแพ้ย่อยยับทันที
เสมือนว่าการไล่ล่าก่อนหน้านี้เป็นเพียงการละเล่นแมวจับหนูเท่านั้น
รัชทายาทต้าเยวี่ยอวี๋ฮว่าหลงหันหลังกลับ
“พวกเจ้าพาคนแยกไปก่อน ข้าจะต้านเขาไว้เอง”
เขาค่อยๆ ดึงกระบี่ยาวตรงข้างเอวออกมา
‘เขา’ ที่ออกจากปาก แน่นอนว่าหมายถึงจักรพรรดิฉินหมิง
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: จอมศาสตราพลิกดารา