เดือนหนึ่งวันที่ยี่สิบแปด
ห่างจากวันที่กําหนดให้ท่านหญิงหวนจูต้องออกเรือนสู่ตระกูล หนานกงอีกสามวัน
ในเมืองใหม่ซ่งเหนือที่สร้างขึ้นห่างลงไปด้านใต้หนึ่งร้อยลี้ของเมือง หลินอันในอดีต เกิดสถานการณ์ความวุ่นวายขึ้น ซ่งเหนือที่เพิ่งจะสงบ ลงได้ไม่ถึงสองปีกลายเป็นเหมือนถูกน�าร้อนราดขึ้นมาจากการมาเยือน เมืองใหม่ของหนานกงฉุนเหลียงผู้นําตระกูลหนางกง ขั้วอํานาจทุกฝ่าย ขุนนางน้อยใหญ่ ล้วนคิดอยากจะสัมผัสกับเจ้าผู้ครองคนใหม่คนนี้และ เข้าหาด้วยเจตนาดี
ยอดฝีมือของตระกูลหนานกง ได้ตั้งหลักปักฐานที่พระราชวัง โดยตรง
ผู้นําตระกูลหนานกงฉุนเหลียงขึ้นนั่งเสมอภาคกับจักรพรรดิซ่ง เหนือด้วยท่าทีโอ้อวด
คนในราชสํานักซ่งเหนือทุกคนล้วนโมโหแต่ไม่มีใครกล้าพูดอะไร
ตระกูลหนานกงในปัจจุบันพิชิตอยู่เหนืออํานาจราชวงศ์ไปแล้ว
ส่วนยอดคนอันดับหนึ่งหนานกงอวี่กลับไม่ปรากฏกายออกมา
“เทพสงครามของตระกูลหนานกงเรา กําลังเพาะบ่มจิตกระบี่เพื่อ เตรียมตัวออกสู่ทางช้างเผือก แน่นอนว่าก่อนที่จะออกจากโลกใบนี้ เขา ต้องจัดการอุปสรรคบางอย่างเสียก่อน”
คนของตระกูลหนานกงประกาศต่อภายนอกอย่างหยิ่งยโส
คนทุกคนล้วนเข้าใจ ว่า ‘อุปสรรค’ ที่พูดมานั่นหมายถึงใคร
เวลาผ่านไปอย่างรวดเร็ว
คนทุกคนล้วนรุ้สึกว่าในอากาศเต็มไปด้วยบรรยากาศแห่งความตึง เครียด
…
จวนปาเสียนอ๋อง
“อวี่เอ๋อร์ เจ้าหนีไปเถอะ” ปาเสียนอ๋องกําลังเตือนหวางซืออวี่
ก่อนหน้านี้เขาได้หน้ามืดตามัวไปช่วงหนึ่งเพราะเรื่องของหลี่มู่ ใช้ ลูกสาวของตนเองให้เป็นประโยชน์ ในใจรู้สึกละอาย ตอนนี้จึงคิดอยาก ให้ลูกสาวบุญธรรมได้ออกไปอย่างปลอดภัย ต่อให้ต้องงัดกับทั้งราชวงศ์
ซ่งเหนือเขาก็ไม่ยี่หระ ซ่งเหนือในปัจจุบันนี้มีเพียงแต่ชื่อเท่านั้น เขาหู ตาสว่างแล้ว
หวางซืออวี่อยู่ในชุดราชวังสีขาว นั่งอยู่หน้าโต๊ะแต่งหน้า สางผม ตัวเองด้วยท่าทีอ่อนช้อย
เวลาสองปีผ่านไปอย่างรวดเร็ว แต่ไม่ได้ทิ้งร่องรอยใดๆ เอาไว้บน ตัวของสาวงามอันดับหนึ่งแห่งซ่งเหนือเลย ซ�ายังยิ่งเปล่งประกายแพรว พราวมากกว่าเดิมเสียอีก สาวงามอายุสิบแปดปี นับเป็นจุดสูงสุดของ ช่วงเวลาความงามในชีวิต โดยเฉพาะหลังจากกลับมาจากสุสานเทพ เมื่อสองปีก่อนหน้า บนตัวหวางซืออวี่กลับมีเสน่ห์บางอย่างที่อธิบาย ออกมาไม่ได้
“ท่านพ่อบุญธรรม วางใจเถิด” หวางซืออวี่หันหน้ากลับมายิ้ม เอ่ย ต่อว่า “เรื่องนี้ ท่านไม่ต้องกังวลอีกแล้ว ข้ามีความคิดเป็นของตนเอง แล้ว”
ระหว่างที่พูด ด้านนอกมีเสียงฝีเท้าลอยเข้ามา
คนใช้ในบ้านรีบร้อนเข้ามาส่งข่าว ว่าหนานกงฉุนเหลียงผู้นํา ตระกูลหนานกงเข้ามาเยี่ยมเยือนด้วยตนเอง โดยไม่รอการแจ้งทราบ แต่บุกเข้ามาด้านในจวนอ๋อง ตรงมายังสวนดอกไม้ด้านหลังที่หวางซื ออวี่กําลังบําเพ็ญเข้าฌาน
“อา เป็นยอดสาวงามจริงๆ เสียด้วย” หนานกงฉุนเหลียงดูแล้ว เป็นชายวัยกลางคนอายุสี่สิบกว่า ใบหน้าถือว่าหล่อเหลาอยู่ เมื่อเห็น หวางซืออวี่เป็นครั้งแรก ใบหน้าก็เผยให้เห็นถึงตัณหาราคะ “สวยงาม กว่ารูปวาดเสียหนึ่งพันเท่า ไม่สิ หนึ่งหมื่นเท่า”
หวางซืออวี่มองผู้นําตระกูลโบราณที่เย่อหยิ่งไม่เห็นใครในสายตา คนนี้ ถอนใจยาวออกมา เอ่ยขึ้นว่า “มีชีวิตอยู่มันไม่ดีหรือ?”
หนานกงฉุนเหลียงตะลึงเล็กน้อย หัวเราะร่าขึ้นมาทันที
“เจ้าจะบอกว่า หลี่มู่คนนั้นจะมาช่วยเหลือเจ้าหรือ? ฮ่ะๆ สาวน้อย คนงาม วันนี้ไม่เหมือนเมื่อวานอีกแล้ว หลี่มู่ตอนนี้เป็นเพียงนกที่ หวาดกลัวลูกธนู พึ่งพาไม่ได้อีกต่อไป ในของเจ้ายังมีเขาอยู่เช่นนั้น หรือ? เหอๆ ไม่เป็นไร ถึงอย่างไรสิ่งที่ข้าอยากได้ก็เป็นเพียงร่างกายของ เจ้าเท่านั้น ไม่ใช่ใจของเจ้า การครอบครองหญิงสาวที่มีเจ้าของอยู่แล้ว สิ ถึงจะเป็นเรื่องที่น่ายินดีที่สุดของผู้ชายบนโลกใบนี้”
เขามีท่าทีที่ไม่ปิดบังการใช้อํานาจระรานแต่อย่างใด
หวางซืออวี่เอ่ยขึ้นเสียงเรียบ “ผู้นําตระกูลหนานกง ที่แต่ก็เป็น พวกเศรษฐีใหม่ไร้มารยาทเท่านั้น สองปีก่อนหน้า ตระกูลหนานกงของ ท่านตัวสั่นงันงกอยู่ต่อหน้าหลี่มู่ แค่สบตาก็ยังไม่กล้าจะมองเขา มา
ตอนนี้กลับกําเริบเสิบสานเกะกะระราน จงรู้เอาไว้ ก่อกรรมมากกรรม จะทําจนตัวตาย ฉลาดมากมักจะถูกความฉลาดทําให้หลงผิด”
ท่าทีจิตใจการพูดของนาง ราวกับเทพธิดาเก้าชั้นฟ้าจ้องมองลงมา ที่คนบ้านนอกคอกนาไร้มารยาทอย่างเหยียดหยามก็มิปาน
หนานกงฉุนเหลียงดูแลตระกูลหนานกงมาเกือบร้อยปี ถือเป็นคนที่ มีฐานะใหญ่โต ทว่าไม่รู้เพราะอะไร เพียงแค่ถูกหญิงสาววัยรุ่นที่ไม่มีวร ยุทธ์ใดๆ แม้แต่น้อยจ้องมอง ในใจกลับเกิดความรู้สึกหวาดหวั่นอย่างไม่ รู้ที่มาได้
“เหอๆ ดี ดีมาก หวังว่าในคืนส่งตัว เจ้าจะยังพูดกับข้าด้วยท่าที เช่นนี้ได้อยู่”
หนานกงฉุนเหลียงหรี่ตามอง หัวเราะเย็นชาขึ้นมา
ก็แค่หญิงสาวคนหนึ่งเท่านั้น ต่อให้งามอีกสักเพียงไหน ก็เป็นเพียง แค่สิ่งที่ต้องคล้อยตามผู้ชายอยู่ดี
……
สองวันต่อมา
บนยอดเมฆ แสงจันทร์สว่าง
เรือเหาะอันสวยหรู ลอยอยู่ท่ามกลางเมฆขาว
“พี่ ทําไมจึงต้องอ้อมค้อมเป็นเขาโค้งเช่นนี้ สู้เข้าไปสังหารเจ้าคน ขลาดหลี่มู่ในเมืองขาวพิสุทธิ์เลยไม่ดีกว่าหรือ?”
ชายหนุ่มในชุดหรูหราคนหนึ่ง หน้าตาละม้ายคล้ายกับหนานกงอวี่ ยืนอยู่บนดาดฟ้าหัวเรือ ในดวงตาเปล่งประกายด้วยความเทิดทูนชื่นชม จ้องมองหนานกงอวี่ในชุดเขียวที่ยืนตระหง่านอยู่บนหัวเรือ
หนานกงอวี่ขมวดคิ้วเล็กน้อย มองน้องชายตนเองผาดหนึ่งจากนั้น เอ่ยขึ้นว่า “ในเมืองขาวพิสุทธิ์มีค่ายกลวิถีสวรรค์อยู่ ข้ายังมองไม่ออก จะบุกเข้าไปอย่างสะเพร่าไม่รัดกุมไม่ได้ หลี่มู่คนนี้จะดูถูกไม่ได้โดย เด็ดขาด”
“แต่ว่าพี่ชาย ท่านก็เป็นถึงขั้นทะลวงสวรรค์แล้ว เป็นคนไร้เทียม ทานแห่งใต้หล้าไปแล้ว…”
“ไร้เทียมทานในใต้หล้าไม่ใช่สิ่งที่พูดออกมาจากลมปาก แต่เป็น การใช้ดาบใช้กระบี่ฟาดฟันออกมา ขั้นทะลวงสวรรค์ก็ไม่ใช่เทพเจ้า” หนานกงอวี่สีหน้าเงียบสงบ เอ่ยต่อว่า “น้องอวิ๋น หากยังไม่ประมือด้วย ห้ามดูถูกอีกฝ่ายโดยเด็กขาด ข้ากับหลี่มู่ก็ไม่ได้มีความแค้นเคืองอะไร นัก ครั้งนี้ที่บีบเขาให้ออกมาจากเขาและรับมือกับเขา ก็แค่คิดอยากจะ จัดการปัจจัยที่ยังไม่มั่นคงให้กับตระกูลหนานกงของพวกเรา ก่อนที่ข้า
จะออกจากโลกนี้ไปสู่แดนเซียนเท่านั้น ขอแค่หลี่มู่ตายไป ตระกูลหนาน กงจึงจะสามารถรวมแผ่นดินให้เป็นหนึ่งได้”
หนานกงอวิ๋นจิ๊ปากอย่างไม่ศรัทธา
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: จอมศาสตราพลิกดารา