ในใจของหลิวกงกงก็ค่อนข้างสงสัย
องค์กรนักฆ่าดีๆองค์กรหนึ่งจู่ๆอยากจะทำโรงหมอ ไม่เคยพบเห็นมาก่อนเลย
"ข้าน้อยคิดว่า เซี่ยจินอานกำลังซื้อใจคน" หลิวกงกงใคร่ครวญครั้งแล้วครั้งเล่าถึงพูดตอบกลับ
หยุนเทียนยิ่นสีหน้าไม่เปลี่ยน "ทำไมถึงพูดเยี่ยงนี้?"
"สำนักซื่ออิ่งในฐานะองค์กรนักฆ่าได้โดยไม่กะพริบตาชื่อเสียงเน่าเสียในหมูประชาชนแล้ว ถึงขั้นทุกคนต่างเกลียดชังเรียกร้องจะโจมตี เพียงแค่ไม่กล้ากำเริบเสิบสานเพราะพละกำลังของสำนักซื่ออิ่งเท่านั้น"
"ตอนนี้สำนักซื่ออิ่งเปิดโรงหมอ ใช้ในนามของการรักษาช่วยเหลือคน ถ้าหากให้เขาช่วยเหลือคนสามสี่คนได้จริงๆ งั้นเสียงวิจารณ์ของประชาชนก็จะเปลี่ยนไปแล้ว ถึงตอนนั้นก็เป็นช่วงเวลาของการเอาชนะใจคนจริงๆ"
องค์กรหนึ่งที่มีชื่อเสียงแถมยังได้ใจอยู่ประชาชน จะไม่ให้ผู้กุมอำนาจเกรงกลัวได้เยี่ยงไร!
หยุนเทียนยิ่นสีหน้าเคร่งขรึม "งั้นก็ให้ชื่อเสียงของนางเน่าเสียต่อไป เน่าเสียจนไม่มีใครกล้าไปรักษาที่โรงหมอของนาง"
หลิวกงกงคิดๆดูแล้วก็เข้าใจหยุนเทียนยิ่นผู้นี้ เพียงแค่ประโยคนี้เขาก็รู้แล้วว่าหลังจากนี้ควรทำเยี่ยงไร แต่ว่าทำงานข้างกายจักรพรรดิไม่ต่างกับเจรจากับคนร้ายเพื่อให้สละผลประโยชน์ของตัวเอง เป็นเรื่องที่ทำไม่ได้ ส่วนคาดเดาพระหทัยของจักรพรรดิเป็นสิ่งที่ผิดที่สุด
ดังนั้นเขาจึงทำได้เพียงแสร้งถามอย่างสับสนแต่ในใจกลับว่าเข้าใจดีว่า : "ความตั้งใจของฝ่าบาท?"
"ให้สายลับในหมู่ประชาชน แอบทำลายชื่อเสียงของเซี่ยจินอานให้เสียหายต่อไป"
"ข้าน้อยน้อมรับคำสั่ง" พูดจบหลิวกงกงถอยออกไปจากห้องทรงพระอักษร ไปออกคำสั่งเลย
หยุนเทียนยิ่นอ่านข้อความบนจดหมาย ไม่อาจละสายตาออกได้เป็นเวลานาน สีหน้ามัวหมองภายใต้แสงเทียนสีเหลืองสลัวๆ แสดงให้เห็นถึงความน่ากลัว มองดูแล้วทำให้คนตัวสั่นคลอนอย่างไม่ตั้งใจ
ภายในจวนเฉิงเซี่ยง เสิ่นหลีซูเพิ่งจะคัดลอกพระคัมภีร์เสร็จ นำปากกาวางบนชั้นวางปากกา หลังจากนั้นเงยหน้ามองสาวใช้ที่อยู่ไม่ไกลด้วยสายตาที่เยือกเย็น
"ช่วงกี่วันมานี้เกิดเรื่องอันใดขึ้น?"
"เซี่ยจินอานกำลังจะเปิดโรงหมอ ช่วงนี้เกิดการโต้เถียงในหมู่ประชาชนแล้ว"
เสิ่นหลีซูได้ยินข่าวนี้ นัยน์ตาเกิดแสงแห่งความเยือกเย็นขึ้น เหมือนว่าเป็นการพูดถึงโดยไม่ได้ตั้งใจ : "องค์หญิงยังคงอยู่ในระหว่างการถูกกักขังหรือ?"
"ใช่เจ้าค่ะ"
"องค์หญิงจะต้องไม่รู้ข่าวนี้แน่นอน คิดหาทางส่งข่าวไปถึงหูขององค์หญิง"
"เจ้าค่ะ" สาวใช้ตอบกลับ "ยังมีอีกเรื่อง เกี่ยวกับท่านอ๋องเจ้าค่ะ"
เสิ่นหลีซูค่อนข้างเข้มงวด เกิดความผันผวนนัยน์ตา "เรื่องอันใด?"
"วันนี้ได้ยินในหมู่ประชาชนลือกันว่าท่านอ๋องและชายชุดม่วงนั่นปรากฏตัวขึ้นที่ ‘สวนสงเคราะห์’ในเวลาเดียวกันเจ้าค่ะ"
สีหน้าของเสิ่นหลีซูค่อนข้างเคร่งขรึม สองมือกำแน่น ข้อนิ้วเกิดสีขาวขึ้น
"นั่นคือที่ไหน?"
"รอบๆสวนสงเคราะห์มีคนคุ้มกัน ข้าน้อยไม่กล้าตรวจสอบลึก แต่ว่าคนที่อยู่ข้างในนั้นคือพวกเด็กกำพร้า พวกเด็กกำพร้าเหล่านั้นเคยได้รับการช่วยเหลือจากชายชุดม่วงและองค์ชายแปด"
เสิ่นหลีซูครุ่นคิดครู่หนึ่ง
องค์ชายแปดเคยช่วยเหลือพวกเด็กที่ถูกคนกระทำทารุณไว้เรื่องนี้นางทราบ คิดไม่ถึงว่าจะร่วมมือช่วยเหลือกับชายชุดม่วง อีกอย่างจู่ๆยังรับเลี้ยงดูไว้เป็นการส่วนตัวอีก ไม่รู้จริงๆว่าเรื่องนี้ฝ่าบาทรู้เรื่องหรือไม่
ถ้าหากฝ่าบาทรู้เรื่องเข้า จากลักษณะนิสัยของเขาแล้วจะทำเยี่ยงไร?
ประณามความผิดหรือว่าลงโทษ?
เพียงแต่ว่าเรื่องระหว่างนี้ถ้าหากเกี่ยวพันกับท่านอ๋อง งั้นก็พูดยากแล้ว
"อีกอย่างข้าน้อยยังได้ยินมาอีกว่า ชายชุดม่วงผู้นั้นชื่อว่าเซี่ยลิ่งหยิง เป็นศิษย์พี่ของเซี่ยจินอาน"
รูม่านตาของเสิ่นหลีซูสั่นคลอนเล็กน้อย พูดด้วยน้ำเสียงเยือกเย็นว่า : "เป็นเรื่องจริงหรือ?"
"จริงแท้แน่นอนเจ้าค่ะ อีกอย่างสวนสงเคราะห์นั่นเหมือนว่าจะเป็นโรงเรียนของพวกเด็กๆนั่น พรุ่งนี้ก็เริ่มเปิดเรียนอย่างเป็นทางการแล้ว"
เสิ่นหลีซูหรี่ตาครุ่นคิดครู่หนึ่ง สุดท้ายพูดว่า : "ตอนนี้รีบไปเตรียมกระดาษ หมึก พู่กัน แท่นฝนหมึกชั้นดีให้ข้าห้าสิบชุดขึ้นไป"
นัยน์ตาของสาวใช้ผู้นั้นเกิดความสงสัย แต่ว่าหลังจากนั้นก็เข้าใจแล้ว : "งั้นพรุ่งนี้คุณหนูต้องการไปสวนสงเคราะห์หรือไม่"
เสิ่นหลีซูพูดด้วยน้ำเสียงนิ่งๆว่า :"อืม"
ในเมื่อมีคนอยากจะแสดงละคร นางก็ลองไปดูสักหน่อยก็ได้
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ชายาหมอเซี่ยจินอาน
จบแบบรีบไปหน่อยเลยหรือเปล่า....สุกมาตั้งแต่ต้น..น่าจะแปลข้ามฟากไปเลยอ่ะ...
เป็นเรื่องที่สนุก เนื้อเรื่องตลก น่ารักดี แต่ตอนจบคือหักมุมจบแบบง่ายเกินไปหน่อยนะคะ...