พี่กานจญ์พูดต่อ:“บ้านแกก็ไม่ไกลจากโรงเรียน เรียกว่าอยู่โซนโรงเรียนเลยก็ว่าได้”
“ปกติก็ให้น้ำทิพย์ดูแลเด็กทั้งสองคน ซักผ้าทำอาหารให้พวกเขาก็พอ ค่าอาหาร ……”
ประจวบรีบพูด:“พี่ นั่นหลานแท้ๆ ของผม ไม่ต้องให้ค่าอาหารหรอก ผมจะหาคนช่วยย้ายโรงเรียนเด็กสองคนนั้นเอง ย้ายมาแล้ว ทุกวันหลังเลิกเรียนก็จะให้น้ำทิพย์มารับส่ง ยังไงเธอก็อยู่บ้านเฉยๆ”
พี่กานจญ์สองสามีภรรยาเห็นน้องชายรับปาก ก็ดีใจมาก
แม่สินีกลับเตือนลูกชาย:“ประจวบ เรื่องนี้แกต้องปรึกษาน้ำทิพย์ให้ดี ยังไงบ้านนี้ เธอก็มีส่วนร่วมด้วย”
และเธอก็พูดกับลูกสาวตัวเองว่า:“แม่ได้ยินว่าไม่ได้เรียนประถมที่นี่ก็มาเรียนมัธยมที่นี่ได้ ต้องย้ายทะเบียนบ้านมาที่นี่ ที่นั่นก็ไม่ถือว่าเป็นชนบท แค่เป็นแค่ชานเมือง โรงเรียนรอบๆ ก็ไม่เลว ตอนนั้นแกสองคนก็เรียนที่โรงเรียนเหล่านั้น ก็สามารถสอบเข้ามหาวิทยาลัยดีๆ ได้ทั้งคู่ไม่ใช่เหรอ?”
ตัวเธอคิดว่าแค่เด็กเรียนให้เก่ง ไม่ว่าเรียนที่ไหนก็เหมือนๆ กัน
“ใช่ แม่เตือนฉันอยู่ ประจวบ ไม่งั้น ฉันย้ายทะเบียนบ้านของลูกสองคนมาอยู่ทะเบียนบ้านแกได้ไหม หรือแกจะเอาโฉนดมาเป็นชื่อพี่ พอลูกสองคนของพี่เรียนจบ ค่อยย้ายชื่อหรือโอนโฉนดกลับมาเป็นชื่อของแกเหมือนเดิม”
คุณป้องอุ้มลูกชายมากินแตงโม สำหรับเรื่องนี้ เขาไม่ออกความเห็น
ประจวบไม่คิดอะไรมาก ตอบตกลงทันที แต่ก็พูดไปว่า:“เดี๋ยวผมคุยกับน้ำทิพย์ บ้านนี้เชื่อฟังผม แต่แม่ก็พูดถูก เธอมีส่วนในบ้านหลังนี้ด้วย อีกอย่าง เรื่องรับส่งเด็กไปโรงเรียน ทำอาหารให้เด็กๆ กิน ก็ต้องให้เธอทำ ต้องดูความเห็นของเธอด้วย”
“พี่ แล้วผมจะปรึกษากับเธอสองคน แล้วโทรหาพี่ ไม่ต้องห่วง ผมไม่ให้หลานไม่มีที่เรียนดีๆ แน่”
สองพี่น้องผูกพันกันมาก ประจวบเชื่อพี่สาวมาก คิดว่าช่วยพี่สาวได้ก็ช่วย อีกอย่างหลานก็ไม่ใช่คนอื่น นั่นเป็นหลานแท้ๆ
พี่กานจญ์พอใจและมีความสุขมาก เธอเปลี่ยนเรื่อง โน้มน้าวน้องชายไปว่า:“เดี๋ยวแกก็เลิกทะเลาะกับน้ำทิพย์ได้แล้ว สามีภรรยากันทะเลาะกันเรื่องปกติ พวกแกก็เป็นเพื่อนกันมาหลายปี มีความรู้สึกที่ลึกซึ้ง เห็นแก่โตะ แกก็อย่าถือสาเอาความเธอเลย”
เธอกลัวไปยุยงให้น้องชายกับน้องสะใภ้ทะเลาะกันอีก และน้องสะใภ้โกรธ ไม่ยอมช่วยรับส่งลูกเธอ ไม่ทำอาหารให้ลูกเธอกิน แบบนั้นเธอก็ไม่สบายใจที่จะส่งลูกมาอยู่นี่
เมื่อต้องการอะไรจากคนอื่น ก็ต้องก้มหัวเราะให้บ้าง
เวลานี้พ่อประชินก็พูดว่า:“ประจวบ พี่สาวแกพูดถูก แกอย่าเอาแต่สั่งสอนน้ำทิพย์ มีอะไร ก็นั่งลงแล้วค่อยๆ พูด อย่าลงไม้ลงมือ แกดูพ่อกับแม่แกสิ เป็นสามีภรรยากันมาหลายสิบปี พ่อไม่เคยทุบตีแม่แกเลย”
ประจวบบ่น:“นั่นเพราะแม่เพียบพร้อมไปด้วยคุณงามความดี น้ำทิพย์จะเทียบกับแม่ผมได้ไง เธอชักเยอะขึ้นเรื่อยๆ ไม่ได้หาเงินสักบาท อยู่บ้านเลี้ยงลูกทำเหมือนลำบากมากนัก ผมบอกว่าหารกันเพราะอยากประหยัดเงิน เธอใช้เงินมือเติบมาตลอด พ่อไม่รู้หรอก ผมให้เงินเดือนเธอเดือนละสามพันหยวน วันหนึ่งเธอก็ใช้ไปแล้วหนึ่งพันหยวน”
“และนี่แม่กับพี่ก็ให้ผมหารกับเธอด้วย ไม่ทำแบบนี้ เธอก็ไม่คิดหาทางไปหาเงิน และไม่รู้ว่าผมหาเงินมาอย่างลำบาก ดูเธอสิ จู่ๆ กลับแบ่งงานบ้านกับผมอีก เธอมันน่ารำคาญ”
“วันหนึ่งใช้พันหนึ่งแบบนี้ ใช้เงินเก่งมากเลยนะ พวกแกยังมีค่าบ้าน และยังต้องเลี้ยงลูก เธอไม่มีรายได้ด้วย พึ่งแกอย่างเดียว ไม่รู้จักเข้าใจแกเลยจริงๆ หารกันคนละครึ่งก็ไม่เลว พ่อไม่ได้บอกว่าแกจะหารกันไม่ได้”
พ่อประชินเข้าข้างลูกชายทันที“เมื่อคนถึงทางตัน มักจะคิดหาทางออก เธออยู่บ้านเลี้ยงลูกก็สามารถทำงานเล็กๆ น้อยๆ มาเป็นค่าครองชีพได้บ้าง แต่แกก็อย่าเอาแต่พูดว่าจะจัดการเธอนักเลย สามีภรรยาต้องอยู่ด้วยกันไปทั้งชีวิต พวกแกเพิ่งแต่งงานกันไม่กี่ปี เอาแต่ทะเลาะกันแบบนี้ จะอยู่ไปจนแก่เฒ่าได้ไง?”
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ดอกหญ้าสีคราม