ไป๋เชินเล่าถึงวิธีที่หมิงโร่สั่งสอนเจ้าหนูน้อยว่าควรจะเรียนวิชาประวัติศาสตร์เช่นไร มีแสงวาบปรากฏขึ้นในแววตาที่ลึกล้ำของซือห้าวเฉิน “หากใช้ประวัติศาสตร์เป็นกระจกสะท้อน ก็จะรู้ถึงสาเหตุของความเจริญรุ่งเรืองและความเสื่อมโทรมของประเทศได้” นี่เรียกว่าสั่งสอนแบบไหนกัน เห็นอยู่ชัด ๆ ว่าเป็นการสอนทักษะของการเป็นจักรพรรดิ ไม่ว่าจะเป็นวิชาแพทย์หรือความรู้ หมิงโร่ทำให้เขารู้สึกประหลาดใจไม่น้อยจริง ๆ
ซือห้าวเฉินส่งเสียงดังหึ : “หากซือเจว๋รู้ว่าตนเองพลาดอะไรไป คงจะต้องเสียดายอย่างที่สุด”
“องค์ชายสามยกเลิกงานแต่ง คงเพราะมีพระราชสาสน์จากองค์ฮ่องเต้ โม่เป่ยเพิ่งส่งข่าวมาว่า จิ้งกั๋วกงและครอบครัวจะหลับมาถึงเมืองหลวงในช่วงเทศกาลไหว้พระจันทร์” ไป๋เชินคิดว่าด้วยความทะเยอทะยานขององค์ชายสาม หากรู้ข่าวนี้ อย่าว่าแต่องค์หญิงหงสาที่มีหน้าตาอัปลักษณ์เลย ต่อให้เป็นหัวหมูก็คงเร่งรีบเร่งเข้าจวน
ไป๋เชินเองก็รู้สึกแปลกใจ เรื่องที่องค์หญิงหงสามีรูปร่างหน้าตาอัปลักษณ์ ถูกลือออกมาได้อย่างไร หากจะพูดว่าพระชายาของพวกเขางดงามที่สุดในโลก ก็ยังดูม่ใช่เรื่องเกินจริง คนที่พูดว่าน่าอัปลักษณ์ ไม่รู้ว่ากล้าพูดออกมาได้อย่างไร (หมิงโร่ : ใต้เท้าไป๋ ด้วยสมองที่ท่านมีอยู่ คงไม่อาจแต่งหน้าเจ้าสาวออกมาจนน่าตกใจเช่นนั้นได้หรอก ผลจากการแต่งหน้าที่แม้แต่ภูตผีกับเทพเจ้ายังต้องร่ำไห้เช่นนั้น แม้แต่ตัวข้าเองยังหวาดกลัวเลย เหอะ ๆ ๆ)
“พระชายาของข้าเป็นหลานสาวเพียงคนเดียวของจิ้งกั๋วกง พี่ชายสุดที่รักของข้าใช้นางฝังทั้งเป็นเพื่อสังเวยไม่สำเร็จ หลังจากนี้เกรงว่าคงไม่อาจนอนหลับได้สนิทใจแล้ว” ซือห้าวเฉินยิ้มเยาะออกมา
ไป๋เชินรู้สึกว่าเป็นฮ่องเต้ตานซู่นั้นไม่ง่ายเลย สมัยยังหนุ่มต้องแก่งแย่งกับพี่น้องทั้งหมดเพื่อแย่งชิงตำแหน่งฮ่องเต้ หลังจากผ่านความยากลำบากนานัปการเพื่อขึ้นนั่งบนบังลังก์มังกร น้องชายคนสุดท้องกลับปีกกล้าขาแข็ง กลายเป็นเทพสงครามที่มีกองทัพอันแข็งแกร่งอยู่ในมือ ภายหลังท่านอ๋องของตนก็กลับมาเมืองหลวงเพื่อรักษาโรคหัวใจ เหล่าองค์ชายเองก็เติบโตขึ้นอีกครั้ง เริ่มที่จะรวบรวมกำลังพลของตนเองอีกครั้ง และต่างก็จับจ้องไปที่บังลังก์......
หมิงโร่พาเจ้าหนูน้อยกลับเรือนไผ่จือเฉ่ากำลังเตรียมมื้อค่ำ กลิ่นหอมลอยฟุ้งออกมาจากห้องครัวเล็ก
หมิงโร่นั่งอยู่ริมระเบียง พบว่ามีปากตัวเล็ก ๆ อยู่ในสระน้ำ จึงให้จือซูหยิบลูกเดือยออกมาจากในครัว แล้วค่อย ๆ โยนลงไปในสระน้ำ มองดูปลาแย่งกันกินอาหาร
“องค์หญิงเพคะ” หญิงสาวสวมใส่ชุดผ้าไหมผูกเอวสีชมพูค่อย ๆ เดินเข้ามา นางเกล้ามวยสูง ประดับด้วยลูกปัดดอกไม้และปิ่นปักผมนิลสีแดง การแต่งกายเช่นนี้ดูไปต่างจากคุณหนูของตระกูลทั่วไปเลย
คนผู้นี้เหมือนกับจี้เสว่ที่อยู่ในความทรงจำ แต่ในความทรงจำของร่างเดิม หญิงรับใช้ที่คอยติดตามต่างแต่งกายเรียบง่าย หมิงโร่ขมวดคิ้วเล็กน้อย : “แล้วคนอื่น ๆ ล่ะ ?”
จี้เสว่ก้มหน้า ดูเหมือนทั้งเสียใจทั้งโมโห : “พอพวกนางได้ยินว่าพระองค์สิ้นพระชนม์แล้ว ก็ตามแม่นมกลับไปทั้งหมด”
หมิงโร่กลับมีสีหน้าเรียบเฉย “เมื่อหมดอำนาจก็ไม่มีใครสนใจ” ถือเป็นเรื่องปกติ หมิงโร่นึกถึงสาวรับใช้ข้างกายอีกคนขึ้นมาได้ : “จี่เยว่เองก็กลับไปพร้อมพวกนางด้วยหรือ ?”
จี้เสว่ผงะไปครู่หนึ่ง : “พี่จี้เยว่นาง......กลับไปแล้วเช่นกันเพคะ......”
ไปกันหมดแล้ว มีเพียงจี้เสว่ที่ยังอยู่ เช่นนี้เห็นได้ชัดว่าจงรักภักดีอย่างยิ่ง
แต่หมิงโร่ไม่ต้องการที่จะใกล้ชิดกับคนสนิทของร่างเดิมมากเกินไป รูปลักษณ์ภายนอกยังพอตบตาได้ แต่นิสัยกลับเปลี่ยนไปโดยสิ้นเชิง ความเคยชินมากมายที่แตกต่างไปจากร่างเดิม จึงง่ายต่อการถูกสงสัย
ตำแหน่งองค์หญิงหงสา ยังคงต้องใช้ต่อไป ยังไม่กล้าทำลายตัวละครทิ้งในตอนนี้
“จือซู เจ้าพาจี้เสว่ไปหาที่พักก่อน” หมิงโร่ครุ่นคิด “อย่าลืมบอกพ่อบ้านโจวด้วยว่า ลานของเรามาสมาชิกใหม่เพิ่มขึ้นมาอีกคน”
“พระชายาวางใจเถอะเพคะ หม่อมฉันจะจัดการให้เรียบร้อยเพคะ” จือซูพาจี้เสว่ออกไป
หมิงโร่บีบจมูก แล้วเอียงหน้าไปเห็นฉากที่น่าตื่นเต้นเข้า——ตัวของเจ้าหนูน้อยกว่าครึ่ง พาดอยู่บนราวกั้น อยากที่จะยื่นมือออกไปจับปลาน้อย
เธอรีบวิ่งเข้าไปคว้าคอเสื้อของเจ้าหนูน้อย ให้เขาออกห่างจากสระน้ำ สระน้ำเล็กไม่ลึกมาก แต่สำหรับเด็กก็ยังถือว่าอันตรายอยู่ดี : “ระวังตกลงไปในน้ำนะ”
“เซวียนเอ๋อร์ไม่กลัวหรอก เซวียนเอ๋อร์ว่ายน้ำเป็น” เจ้าหนูน้อยตบหน้าอกของตัวเอง
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ดวงชีวันพสุธา
ไม่อัพต่อแล้วหรอคะ เรื่องนี้ตามหามานานมาก เสียดายจัง...
เรื่องนี้ก็ดองนานมากเลย😭...