เจ้าสาวอันดับที่เจ็ด นิยาย บท 280

“คุณลุงคะ หนูสั่งเสร็จแล้วค่ะ ถึงตาคุณลุงแล้วค่ะ” เสี่ยวหว่านชิงเลื่อนเมนูอาหารไปไว้เบื้องหน้าเฉียวซือเหิง

เฉียวซือเหิงเรียกสติกลับคืนมาจากการทราบข่าวเมื่อสักครู่นี้ และมองเธอพร้อมยิ้มเจือจางขึ้น : “หนูลืมไปแล้วเหรอคะ ? ว่าคุณลุงไม่ชอบกินของหวาน”

“หนูจำไม่ได้แล้วค่ะ”

“เมื่อก่อนหว่านชิงยังเด็กมาก ก็เลยจำไม่ได้น่ะ” ไป๋มู่ชิงยิ้มพร้อมกล่าวขึ้น

เฉียวซือเหิงจึงสั่งน้ำผลไม้มาดื่มแทน

ไป๋มู่ชิงดื่มชานมเข้าไปหนึ่งอึก จากนั้นก็เงยหน้ามองเขาแล้วถามว่า : “จริงสิ ได้ยินว่าคุณชายเฉียวมีคู่หมั้นแล้ว ? น่าจะมีข่าวดีในเร็ว ๆ นี้ใช่ไหมคะ ? ยินดีด้วยนะคะ !”

คำพูดนี้ของเธอมีความลองใจปนอยู่ด้วย เฉียวซือเหิงจะฟังไม่ออกได้อย่างไร ? เขายักคิ้วขึ้นแล้วถามว่า : “คุณไปได้ยินใครพูดมา ?”

ความจริงแล้วเขาอยากถามว่าซูซี่ก็คิดเช่นนี้เหมือนกันใช่หรือไม่ ครั้นสุดท้ายเขาก็ไม่ได้ถามมันออกมาอยู่ดี

“เอ่อ……ฉันก็จำไม่ได้แล้วเหมือนกันค่ะว่าได้ยินใครพูดมา” ไป๋มู่ชิงยิ้มพลางก้มหน้าดูดหลอดน้ำ ถ้าหากเธอบอกว่าได้ยินหนานกงเฉินพูดมา ไม่ใช่เป็นการดูเหมือนว่าหนานกงเฉินสอดรู้สอดเห็นเกินไปอย่างเห็นได้ชัดหรอกหรือ ?

ความจริงแล้วหนานกงเฉินเองก็เห็นแก่ที่เธอมักจะเป็นกังวลใจเรื่องของซูซี่และเฉียวซือเหิงเรื่อย ดังนั้นจึงถือโอกาสเล่าเรื่องจริงนี้ให้กับเธอฟัง จุดประสงค์ก็คือให้เธอรีบล้มเลิกความตั้งใจนี้เสียเร็ว ๆ อย่าเข้าไปยุ่งเรื่องผู้อื่นอีกเลย ซึ่งแม้กระทั่งเจ้าตัวอย่างพวกเขาทั้งสองคนก็ยังไม่เดือดร้อนเลย

“ถ้างั้นความหมายของคุณคือ……เรื่องนี้ไม่ใช่เรื่องจริงใช่ไหมคะ ? แต่ว่าฉันยังได้ยินมาอีกว่าผู้หญิงคนนั้นได้เข้าไปพักอยู่ในคฤหาสน์ตระกูลเฉียวแล้วด้วยนะคะ อย่าบอกนะว่าไม่ใช่เรื่องจริงเหมือนกัน ?” ไป๋มู่ชิงซักถามด้วยความฉงนใจ

เฉียวซือเหิงชายตามองเธอ ทันใดนั้นก็ไม่อยากกล่าวอธิบายขึ้นมา แถมยังจงใจเล่นตัวไม่บอกตรง ๆ อีกด้วย : “คุณคิดว่าไงล่ะ ?”

ไป๋มู่ชิงคาดไม่ถึงว่าเขาจะพูดเช่นนี้ เธออ้าปากขึ้นครั้นสุดท้ายก็นิ่งเงียบไป

หลังจากที่ส่งไป๋มู่ชิงและลูกสาวขึ้นรถแล้วนั้น เฉียวซือเหิงจึงกลับขึ้นรถตนเองไปทันที จากนั้นก็หยิบแท็บเล็ตออกมาค้นหาเบอร์โทรศัพท์ของซูซี่

ทั้งที่เมื่อวานนี้ไป๋มู่ชิงเพิ่งติดต่อกับซูซี่อยู่เลยแท้ ๆ ครั้นกลับหลอกเขาว่าไม่เคยติดต่อกันมาก่อน เรื่องนี้แสดงให้เห็นว่าเธอกำลังจงใจหลบหน้าเขาอยู่ !

เขาค้นหาสถานที่อยู่อาศัยของเบอร์โทรในอินเทอร์เน็ต ผลที่ได้รับทำให้เขาประหลาดใจเป็นอย่างยิ่ง เนื่องจากเป็นเบอร์ของเมืองซี นั่นหมายความว่าซูซี่ไม่ได้ออกไปจากเมืองซีเลย และไม่ได้ไปต่างประเทศด้วย !

ดูเหมือนว่าเธอตั้งใจหลบหน้าเขาจริง ๆ แถมยังร่วมมือกับไป๋มู่ชิงในการปกปิดเขาอีก เพียงแค่ไม่ทราบว่าเหตุใดเธอจึงได้ทำเช่นนั้น ? รู้สึกผิดหรือไม่อยากเจอหน้าเขาเฉย ๆ ?

ความจริงก่อนออกจากเรือนจำ เขาก็คิดไว้แล้วว่าจะตัดความสัมพันธ์กับเธอ จะไม่ทำให้ลำบากใจทั้งสองฝ่าย ครั้นเขาเพิ่งออกจากเรือนจำมาได้เพียงหนึ่งเดือน เขาก็เริ่มอ่อนไหวแล้ว ความปรารถนาที่ต้องการอยากเอาชนะเธอจึงเริ่มต้นขึ้นอย่างโง่เขลาอีกครา

หรือว่านี่จะเป็นพรมลิขิต ? ฟันไม่ขาดและตัดไม่ขาด จะต้องพัวพันกันไปเช่นนี้ตลอดชีวิต

เขานั่งเหม่อลอยอยู่ในรถยนต์เป็นเวลาเนิ่นนาน เวลาต่อมาก็สตาร์ทรถแล้วขับออกไป

--

ก่อนที่จะออกไปข้างนอกในวันต่อมา คุณนายเฉียวไม่รู้ว่าไปเอาตั๋วชมการแสดงเต้นรำที่โรงละครใหญ่มาสองใบจากไหน และบอกให้เฉียวซือเหิงไปดูกับเหวินหย่าคืนนี้

เฉียวซือเหิงกวาดสายตามองตั๋วเข้าชมการแสดงจากนั้นก็ยื่นมือรับตั๋วมาแล้วกล่าวว่า : “เสียวหย่าไม่สนใจการเต้นรำสักหน่อยครับ ตั๋วที่ดีแบบนี้ถ้าให้เธอใช้คงสิ้นเปลืองเปล่า ๆ”

“ใครบอกว่าเสียวหย่าไม่สนใจการแสดงเต้นรำ ?” คุณนายเฉียวไม่สบอารมณ์

“เสียวหย่าเขียนอยู่บนประวัติส่วนตัวครับ” เฉียวซือเหิงกล่าวเช่นนี้ออกมา เหวินหย่าจึงเป็นใบ้ไปทันที

ถูกต้อง บนประวัติส่วนตัวของเธอไม่ได้ระบุไว้ว่าเธอสนใจงานด้านศิลปะเลยแม้แต่น้อยก็จริง ทว่านั่นไม่ได้แสดงว่าเธอจะไม่สนใจเลยถูกไหม ? อยู่ ๆ เธอก็ครุ่นคิดอย่างไม่สบอารมณ์เท่าไรว่า เฉียวซือเหิงคงไม่ใช่ว่าต้องการนำตั๋วไปให้อดีตภรรยาของเขาหรอกใช่ไหม ? อดีตภรรยาของเขาฝึกเต้นรำมาตั้งแต่เด็กเพราะฉะนั้นจะต้องสนใจการแสดงนี้แน่นอน

“พี่คะ รอฉันก่อนค่ะ” เมื่อเธอเงยหน้าขึ้นมาจึงพบว่าเฉียวซือเหิงได้เดินออกไปเป็นที่เรียบร้อยแล้ว เธอจึงได้รีบสาวเท้าเดินตามออกไปทันที

เธอนั่งรถเฉียวซือเหิงไปบริษัทอย่างเช่นทุกวัน ระหว่างทางเฉียวซือเหิงใช้คางชี้ไปยังตั๋วเข้าชมการแสดงหน้ารถแล้วกล่าวขึ้นว่า : “เสียวหย่าถ้าเธออยากได้ตั๋วก็เอาไปแล้วชวนเพื่อนไปดูด้วยกันเถอะ”

เหวินหย่ามองหน้าเขาด้วยความรู้สึกอึ้งเล็กน้อย จากนั้นก็กล่าวขึ้นด้วยสีหน้าที่เต็มไปด้วยความเจ็บปวดใจ : “พี่คะ พี่ไปดูกับฉันสักครั้งไม่ได้เหรอคะ ? ตั๋วดีแถมที่นั่งยังดีอีกแบบนี้”

“เสียวหย่า ฉันขอพูดความจริงกับเธอก็แล้วกัน” เฉียวซือเหิงหยุดรถข้างทาง จากนั้นก็หันหน้ามาจ้องเธอพร้อมพูดขึ้นด้วยสีหน้าที่จริงจัง : “ฉันรู้ว่าจุดประสงค์ของการที่คุณแม่ให้เธอเข้ามาในบ้านตระกูลเฉียวคืออะไร แต่ฉันไม่ชอบการจัดการแบบนี้ ฉันไม่ชอบฟางมี่ไม่ชอบเธอด้วย สำหรับคนที่ตัวเองไม่ชอบฉันไม่มีทางแต่งงานด้วยแน่นอน นี่เป็นการรับผิดชอบต่อเธอและตัวฉันด้วย”

สีหน้าของเหวินหย่าเปลี่ยนแปลงไปเล็กน้อย เธอคาดไม่ถึงว่าเฉียวซือเหิงจะเอ่ยขึ้นอย่างชัดเจนแจ่มแจ้งและไร้ซึ่งน้ำใจเช่นนี้ ไม่ให้จังหวะในการถอยต่อเธอเลยแม้แต่น้อย

ในเมื่อเขาเอ่ยมาอย่างชัดเจนเช่นนี้แล้ว ถ้าหากเธอยังไม่รู้จักว่าอะไรควรไม่ควรไปเกาะแกะเขาไม่เลิกอีก จุดจบจะต้องเป็นเหมือนอย่างฟางมี่เป็นแน่

เพราะฉะนั้นหลังจากที่ผ่านสงครามหัวใจอันเจ็บปวดอย่างสุดซึ้งแล้วนั้น เธอจึงยิ้มขึ้น พร้อมเงยหน้ามาพูดกับเขาว่า : “ความจริงฉันทราบอยู่แล้วว่าพี่ไม่สนใจฉัน แต่ว่าฉันไม่สามารถปฏิเสธความต้องการของคุณป้าได้นี่นา เพราะงั้นเลยทำได้เพียงเชื่อฟังท่านแล้วมาลองคุยกับพี่ดูเท่านั้น ในเมื่อพี่พูดมาแบบนี้แล้ว แน่นอนว่าฉันคงไม่ไปเกาะแกะกับพี่ต่อไปโดยไม่รู้จักขอบเขตหรอก พวกเรามาเป็นญาติกันต่อเถอะค่ะ”

เฉียวซือเหิงมองหน้าเธอ นัยน์ตาเห็นได้ชัดว่ามีความไม่เชื่อว่าเธอจะเชื่อฟังง่ายดายเช่นนี้ได้

เหวินหย่ากล่าวต่อไปว่า : “แต่ว่าฉันขอร้องพี่อย่างได้ไหมคะ อย่าเพิ่งบอกกับคุณป้า เพื่อเป็นการไม่ให้ท่านโทษว่าฉันไม่พยายามทำให้ใจพี่อ่อน”

“โอเค ได้” เฉียวซือเหิงพยักหน้า

“ถ้างั้น……” เหวินหย่าหยิบตั๋วสองใบที่อยู่หน้ารถขึ้นมา ยิ้มพร้อมกล่าวขึ้นว่า : “ฉันขอเชิญพี่ไปดูการเต้นรำด้วยกันในฐานะเพื่อน พี่คงไม่ปฏิเสธอีกหรอกใช่ไหมคะ ?”

เมื่อเห็นเฉียวซือเหิงลังเลใจ เหวินหย่าจึงกล่าวต่อว่า : “ถ้าพี่ยังปฏิเสธอีก ฉันจะเสียใจและขายหน้ามากเลยนะคะ”

เฉียวซือเหิงชายตามองเธอ ผ่านมาเนิ่นนานจึงกล่าวขึ้นมา : “แค่ครั้งนี้ครั้งเดียวนะ”

“ค่ะ แค่ครั้งนี้ครั้งเดียว” เหวินหย่าฉีกยิ้มขึ้นด้วยความดีใจ

--

ซูซี่เลิกงานและพาเสี่ยวกว้านกลับบ้าน เมื่อผลักเปิดประตูก็ได้กลิ่นไหม้ลอยเข้ามา

ขณะที่เธอวิ่งพุ่งเข้าไปในห้องครัวด้วยความร้อนรนใจนั้น จึงมองเห็นเหลียนเฟยกำลังวุ่ยวายอยู่ในห้องครัว

“เหลียนเฟยทำอะไรน่ะ !” ซูซี่มองสำรวจห้องครัวที่ได้รกรุงรังไปหมดแล้ว จึงได้กล่าวถามด้วยความโมโห

เหลียนเฟยวางตะหลิวในมือลง มองเธอพร้อมกล่าวด้วยสีหน้าอันใสซื่อ : “ขอโทษที ตอนแรกกะว่าจะทำอาหารเย็นรูปหัวใจให้เสี่ยวกว้าน แต่ผลที่ได้……”

“แม้แต่บะหมี่นายยังทำไม่อร่อยเลย ยังจะมีหน้ามาทำอาหารเย็นรูปหัวใจอีกหรือไง ? รีบไสหัวออกไปเดี๋ยวนี้นะ !” ซูซี่ลากเขาออกจาห้องครัวไปด้วยความเกรี้ยวกราด และกระชากชุดกันเปื้อนออกจากเขาด้วย จากนั้นก็มองกระทะของบ้านเธอที่ไหม้จนดำปี๋ไปหมดแล้วด้วยสีหน้าเอือมละอา เธอหันหน้าไปจ้องเขาตาเขม็งด้วยอารมณ์โกรธเคืองทันที

เหลียนเฟยเกาศีรษะด้วยความรู้สึกเคอะเขิน จากนั้นก็หันหลังไปหยอกเสี่ยวกว้าน กลับถูกเสี่ยวกว้านถลึงตาใส่ : “คุณลุงเหลียน โง่จังเลยครับ โง่แบบนี้จะมาเป็นพ่อผมได้ยังไง !”

“ชู่ !” เหลียนเฟยรีบทำมือบอกให้เขาเงียบ : “เด็กน้อยห้ามพูดจาซี้ซั้วนะครับ ระวังลุงจะลงโทษให้หนูไปยืนข้างกำแพงนะ”

เสี่ยวกว้านแลบลิ้นปลิ้นตาใส่เขา จากนั้นก็วิ่งไปเล่นในห้องรับแขก

เหลียนเฟยสาวเท้าเดินเข้าไปในห้องครัว จากนั้นก็หยิบตั๋วสองใบออกจากถุงพลาสติกพร้อมกล่าวขึ้นด้วยรอยยิ้มรู้สึกผิด : “แม้ว่าฉันจะทำข้าวเย็นพัง แต่ฉันมีการชดเชยให้เธอด้วยนะ เธอดูสินี่คืออะไร ?” เขายื่นตั๋วเข้าชมการแสดงของโรงละครใหญ่สองใบในมือให้เบื้องหน้าซูซี่

ซูซี่ถอยหลังไปเล็กน้อย จากนั้นก็มองตั๋วเข้าโรงละครในมือของเขา : “นี่คืออะไร ?”

“สิ่งนี้เธอน่าจะรู้จักมากกว่าฉันนะ”

“ตั๋วเข้าโรงละครใหญ่คืนนี้เหรอ ?” ซูซี่กระซิบกระซาบด้วยความอึ้ง นี่คืองานแสดงเต้นรำอันยิ่งใหญ่ที่จัดขึ้นโดยการร่วมมือของบริษัทศิลปะมีชื่อเสียงแห่งหนึ่งและเมืองซี ราคาตั๋วไม่ได้ถูกเลยแม้แต่น้อย เมื่อดูจากระดับชีวิตความเป็นอยู่ของเธอในตอนนี้นั้นเธอรู้สึกตัดใจไปชมไม่ลง

“รู้อยู่แล้วว่าเธอชอบอะไรแบบนี้” เหลียนเฟยกล่าวด้วยรอยยิ้ม เมื่อเห็นนัยน์ตาที่เปล่งประกายของซูซี่เขาจึงรู้สึกดีใจขึ้นมาโดยปริยาย เขากล่าวขึ้นว่า : “ฉันจัดการเรียบร้อยแล้ว อีกเดี๋ยวให้คุณป้าแม่บ้านมาทำโอทีอยู่กับเสี่ยวกว้าน เราสองคนจะได้ไปดูการแสดงอย่างสบายใจยังไงล่ะ”

ซูซี่กลับกวาดสายตามองเขาแล้วถามว่า : “นายไปเอาตั๋วนี้มาจากไหน ? แถมยังที่นั่งดีแบบนี้อีก”

ตั๋วสองใบนี้คือเงินเดือนหนึ่งเดือนของเขา อีกทั้งตำแหน่งที่นั่งนี้ประชาชนธรรมดาไม่สามารถซื้อได้โดยสิ้นเชิง ซึ่งเป็นที่นั่งวีไอพีที่คนมีฐานะเท่านั้นถึงจะซื้อไหว

“อย่างนั้นเหรอ ? ที่นั่งนี่ดีมากเลยเหรอ ? ผมไม่รู้สิ” เหลียนเฟยลูบจมูก : “เอาเถอะ ผมยอมรับว่าความจริงแล้วผมจับฉลากได้มาตอนที่ไปซื้อของสดที่ห้างเมื่อกี้น่ะ”

“ได้มาจากการจับฉลากงั้นเหรอ ?” ซูซี่รู้สึกสงสัยเป็นอย่างยิ่ง

“ใช่แล้ว จับโดยเอาบิลไปแลก” เหลียนเฟยแสดงสีหน้าอันลำพองใจขึ้นมา : “พนักงานยังบอกฉันด้วยว่านี่คือตั๋วคู่รักที่ดีที่สุดด้วยนะ เป็นไง ? โชคของมือฉันสุดยอดไปเลยใช่ไหมล่ะ ?”

เมื่อเห็นว่าซูซี่ไม่เชื่อ เหลียนเฟยจึงกลอกตาขึ้นด้วยความเอือมละอา : “ที่รัก ห้างสรรพสินค้าที่ใหญ่โตขนาดนั้น จะแกล้งลูกค้าหรือไง ? อีกอย่างฉันไม่ได้ให้เงินเขาสักแดงเดียว ถ้าเขาอยากหลอกฉันก็หลอกไม่ได้หรอก เธออย่าใจแคบไปสงสัยเขาเลยเนอะ รีบทำกับข้าวเถอะ ไม่อย่างนั้นเดี๋ยวไม่ทันเวลา”

ซูซี่ยังคงรู้สึกเหลือเชื่ออยู่ดี ทว่าเมื่อตั๋วที่อยู่ในมือของเขาไม่เหมือนเป็นของปลอมเลยแม้แต่น้อย

--

หลังจากที่เหวินหย่าและเฉียวซือเหิงรับประทานมื้อเย็นด้วยกันข้างนอกเสร็จแล้ว ก็ยังเหลืออีกครึ่งชั่วโมงกว่าจะถึงเวลาเข้าโรงละครยามทุ่มครึ่ง

เหวินหย่าเสนอแนะให้เดินไปโรงละครใหญ่จากร้านอาหารไป ซึ่งเป็นเวลา 20 นาทีพอดี เฉียวซือเหิงคิดได้ว่าที่นั่นหาที่จอดรถยาก จึงตอบตกลงเธอไป

ทั้งสองคนเดินอยู่บนถนนทางคนเดิน เหวินหย่าเข้าไปแนบชิดกับตัวเฉียวซือเหิงโดยไม่รู้ตัว เพื่อสัมผัสถึงตัวตนของขา สูดดมกลิ่นอันแสนพิเศษบนตัวเขา ทันใดนั้นเองเธอก็รู้สึกพึงพอใจอย่างเป็นพิเศษขึ้นมา

ความจริงแล้วขณะที่เธอยังเรียนมัธยมต้นอยู่เมื่อหลายปีก่อนนั้น ตอนที่เธอเจอเฉียวซือเหิงครั้งแรกที่งานเลี้ยงผู้อื่นก็ถูกความโดดเด่นของเขาดึงดูดเขาแล้ว เพียงแค่เนื่องจากความห่างไกลของอายุประกอบกับเฉียวซือเหิงมีภรรยาแล้ว เธอจึงไม่กล้าคิดไปในทางนั้น

เมื่อวันก่อน ๆ เธอได้ยินผู้อื่นพูดว่าคุณนายเฉียวกำลังคัดเลือกคู่หมั้นให้เฉียวซือเหิงในกลุ่มสาวฮอตเมืองซีนั้น ขณะที่เธอได้เตรียมพร้อมด้วยความปิติในการไปให้คุณนายเฉียวคัดเลือก กลับคิดไม่ถึงเลยว่าคุณนายเฉียวจะมองข้ามตระกูลเหวินที่อยู่ในสังคมชั้นกลางไป

สุดท้ายเธอจึงเป็นฝ่ายใช้อุบายในการเข้าพบคุณนายเฉียว อีกทั้งคุณนายเฉียวเองก็รู้สึกถูกใจเมื่อเจอหน้าเธอผู้ที่ ‘อ่อนโยนนุ่มนวล’ ตั้งแต่ครั้งแรก แถมยังให้โอกาสอันดีเลิศนี้กับเธอด้วย

โอกาสที่ได้มายากเย็นเช่นนี้นั้น เธอไม่มีทางล้มเลิกไปโดยง่ายดายและไม่สามารถล้มเลิกได้

ขณะที่ทั้งสองคนมาถึงยังโรงละครใหญ่แล้วนั้น ที่โรงละครใหญ่ก็กำลังจัดแจงให้ผู้ชมเข้าไปบริเวณด้านในเรียบร้อยแล้ว เฉียวซือเหิงมองตั๋วที่อยู่ในมือ จากนั้นก็เดินมุ่งไปยังแถวหน้า

เหวินหย่ากระโจนไปด้านหน้า จากนั้นก็รีบคว้าแขนของเฉียวซือเหิงเอาไว้ทันที

เฉียวซือเหิงหันหน้ามามอง จึงเห็นเธอที่ฉีกยิ้มพร้อมเอ่ยขึ้น ใบหน้าเต็มไปด้วยความรู้สึกผิด : “ขอโทษทีค่ะ แสงไม่ค่อยดี รองเท้าก็สูงอีก……”

ปากเธอบอกว่าขอโทษ ครั้นสองมือที่จับแขนของเขาเอาไว้ยังคงไม่คลายออก

เฉียวซือเหิงก้มหน้ามองรองเท้าของเธอ จากนั้นก็กล่าวตักเตือนขึ้นด้วยความสุภาพ : “ระวังหน่อย”

“ขอบคุณค่ะ ฉันขอยืมแขนจับหน่อยได้ไหมคะ ?” เหวินหย่ายิ้มขึ้น

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: เจ้าสาวอันดับที่เจ็ด