ขณะที่ท้องฟ้ากำลังสลัว ๆ นั้น ซูซี่ก็ได้ปลุกเสี่ยวกว้านลุกขึ้นไปปัสสาวะในห้องน้ำเช่นที่เคยทำ
หลังจากที่เสี่ยวกว้านปัสสาวะเสร็จด้วยความสลึมสลือแล้วนั้น ก็ถูกซูซี่อุ้มกลับเตียงด้วยความสลึมสลืออีกครั้ง หลังจากที่ซูซี่ห่มผ้าให้เขาเรียบร้อยแล้วกำลังจะล้มตัวลงนอน ทันใดนั้นก็ได้ยินเสียงพึมพำอันงัวเงียของเสี่ยวกว้าน : “คุณแม่ครับ คุณพ่อรอผมอยู่ด้านล่าง……”
ได้ยินดังนั้นซูซี่จึงยิ้มขึ้นพร้อมลูบศีรษะของเขา : “ทำไมตอนฝันยังฝันถึงคุณพ่ออีกล่ะเนี่ย ? คุณพ่อบอกแล้วว่าฟ้าสว่างแล้วจะมาหาหนูไม่ใช่เหรอคะ ?”
เธอคิดว่าลูกตนจะงอแงใส่ ครั้นคิดไม่ถึงว่าเขาพลิกตัวแล้วนอนหลับไปทันที
ดูเหมือนว่าจะฝันไปจริง ๆ ซูซี่ส่ายหน้าแล้วนอนลงบนเตียง
วันก่อน ๆ ในเวลานี้ซูซี่จะนอนหลับไปพร้อมกับเสี่ยวกว้านโดยเร็ว ครั้นวันนี้หลังจากที่ทิ้งตัวลงนอนเธอกลับตาสว่างขึ้นเรื่อย ๆ ไม่ว่าจะนอนอย่างไรก็นอนไม่หลับ
เธอปิดตาลง สิ่งที่วนเวียนอยู่ในหัวกลับเป็นคำพูดเมื่อสักครู่นี้ของเสี่ยวกว้าน : คุณพ่อรอผมอยู่ด้านล่าง……
แม่เจ้า หรือว่าเธอถูกเสี่ยวกว้านแพร่เชื้อให้แล้ว ? เธอคิดว่าเฉียวซือเหิงอยู่ด้านล่างจริง ๆ หรือนี่ ?
เธอดึงผ้าห่มขึ้นมาคลุมไว้จนถึงศีรษะ ทว่าความรู้สึกอันแปลกประหลาดเช่นนี้ไม่ได้เลือนหายไปเลย สุดท้ายเธอจึงลุกขึ้นจากเตียงนอน จากนั้นก็เดินเท้าเปล่าไปยังหน้าต่าง และใช้มือเลื่อนผ้าม่านเอาไว้พร้อมโผล่หัวออกไป ขณะที่สายตาของเธอเคลื่อนลงด้านล่างนั้น เธอก็เห็นรถของเฉียวซือเหิงจอดอยู่ด้านล่างจริง ๆ ด้วย
เธอชะงักไป นึกว่าตนเองมองผิด จึงใช้นิ้วมาขยี้ตาของตัวเอง
ถูกต้อง นั่นคือรถยนต์ของเฉียวซือเหิงจริง ๆ แถมยังมองเห็นเฉียวซือเหิงกำลังนั่งอยู่ที่นั่งคนขับเลือนลางอีกด้วย
ตอนนี้ฟ้าเพิ่งเริ่มสลัว ๆ ขึ้นเท่านั้น ยังไม่ถึงหกโมงเช้าเขาก็มาแล้วงั้นหรือ ?
เป็นกังวลว่าเธอจะย้ายบ้าน ? หรืออยากเจอหน้าเสี่ยวกว้านจนอดทนรอไม่ไหว ?
หลังจากที่ซูซี่ยืนอยู่ขอบหน้าต่างเป็นเวลาเนิ่นนานแล้ว จึงหันหลังแล้วเดินกลับขึ้นเตียงไป
“เขาชอบรอขนาดนั้นก็ให้เขารอไปเถอะ” เธอกล่าวปลอบใจตัวเองอยู่ลึก ๆ จากนั้นก็ดึงผ้าห่มขึ้นมาคลุมไว้จนถึงศีรษะ ตัดสินใจอย่างแน่วแน่ว่าจะไม่สนใจเขา
หลังจากที่นอนพลิกไปพลิกมาบนเตียงเป็นเวลาราวครึ่งชั่วโมงแล้วนั้น เธอจึงหลับใหลไปช้า ๆ เมื่อเธอตื่นขึ้นมาก็พบว่าเสี่ยวกว้านไม่ได้นอนอยู่ข้าง ๆ เธอแล้ว ครั้นมีเสียงอันร่าเริงของเสี่ยวกว้านดังเข้ามาจากห้องรับแขก และก็มีเสียงของเฉียวซือเหิงที่กระซิบกระซาบปนอยู่ด้วย : “ชู่……คุณแม่กำลังนอนอยู่นะครับ อย่าเสียงดังทำคุณแม่ตื่นนะ”
เสี่ยวกว้านเอานิ้วมือมาไว้ที่ปากพร้อมทำเสียง ‘ชู่’ ขึ้นมาตามเขา
ซูซี่หยิบโทรศัพท์ที่อยู่บนโต๊ะมามองดูเวลา ตอนนี้แปดโมงแล้ว ทว่าเธอไม่ได้ลุกขึ้นจากเตียง ครั้นนอนฟังเสียงพวกเขาทั้งสองคนที่อยู่ด้านนอกต่อไป……ดูเหมือนว่ากำลังทานอะไรอยู่ ?
“คุณพ่อครับ อาหารเช้าที่คุณพ่อซื้อมาอร่อยจังเลยครับ อร่อยกว่าที่คุณแม่ซื้อมาอีก” เสี่ยวกว้านกล่าวประจบประแจงด้วยน้ำเสียงร่าเริง
กำลังทานอะไรอยู่จริง ๆ ด้วย
ซูซี่ลุกขึ้นจากเตียง พร้อมเดินออกจากประตูไปและใช้มือสางเส้นผมไปด้วย
“คุณแม่ ตื่นแล้วเหรอครับ ?” เมื่อเสี่ยวกว้านเห็นเธอเดินออกมาจึงกล่าวขึ้นด้วยน้ำเสียงดีอกดีใจ : “คุณพ่อซื้ออาหารเช้าอร่อย ๆ มาให้ผมด้วย”
“ซื้ออะไรเหรอ ? ให้แม่ดูหน่อย” ซูซี่เดินเข้าไปมองดูอาหารในชามของเสี่ยวกว้านพร้อมพูดขึ้นว่า : “เสี่ยวกว้านแพ้อาหารทะเล ห้ามซื้ออาหารทะเลให้เขาเด็ดขาด”
“ไม่ต้องห่วง ไม่มีอาหารทะเล” เฉียวซือเหิงยิ้มอ่อนพร้อมจ้องหน้าเธอ แล้วกล่าวว่า : “รีบไปล้างหน้าแปรงฟันแล้วมาทานข้าวเช้าด้วยกันเถอะ”
ซูซี่ไม่ได้เข้าไปในห้องน้ำเพื่อล้างหน้าแปรงฟัน ครั้นจ้องหน้าเขาแล้วถามว่า : “ทำไมคุณถึงมาตั้งแต่เช้าแบบนี้ ?”
“คิดถึงเธอกับเสี่ยวกว้านน่ะสิ คิดถึงจนนอนไม่หลับทั้งคืน” เฉียวซือเหิงกล่าวออกมาโดยตรง
ซูซี่คิดไม่ถึงว่าเขาจะพูดมาเช่นนี้ ทันใดนั้นเองนัยน์ตาของเธอก็มีความรู้สึกแปลกประหลาดผุดขึ้นมา ทว่าเธอยังคงกล่าวเหน็บแนมใส่เขาไปด้วยความเคยชิน : “อยู่ในคุกมาสามปี ความสามารถไม่พัฒนาแต่ปากหวานขึ้นเยอะเลยนะ”
“เข้าคุกจะพัฒนาความสามารถอะไรได้ ?” เฉียวซือเหิงยักไหล่ : “เธอรู้ไหมว่าฉันใช้ชีวิตยังไงอยู่ข้างใน ? ความจริงสภาพแวดล้อมหรืออาหารที่นั่นไม่หนักหนาอะไร แต่สิ่งที่ทำให้ฉันสิ้นหวังมากที่สุดคือ……ใบรายงานการแท้งลูกแผ่นนั้นของเธอทำให้ความคึกคักในชีวิตของฉันหมดสิ้นไปเลย……”
“ฉันไปแปรงฟันละ” ซูซี่ไม่รอให้เขากล่าวจบ หันหลังเดินมุ่งไปยังห้องน้ำทันที
เธอไม่อยากฟังเฉียวซือเหิงเล่าเรื่องชีวิตในคุกของเขา ไม่ทราบว่าเหตุใดจึงไม่อยากฟัง
เธอเดินเข้าไปในห้องน้ำและทำการล้างหน้าแปรงฟัน ทันใดนั้นภายในกระจกก็สะท้อนเงาของเฉียวซือเหิงขึ้นมา ซึ่งเขากำลังกอดอกพิงประตูมองเธออยู่
เธอหยุดชะงักไป จากนั้นก็ก้มหน้าก้มตาแปรงฟันต่อ
“เสี่ยวซี่ เมื่อคืนฉันกลับไปจัดการเรื่องเหวินหย่าเรียบร้อยแล้วนะ”
“เหวินหย่าคืออะไร ?” ซูซี่จ้องหน้าเขาผ่านกระจก
“ก็คือคู่หมั้นที่อยู่ในข่าวลือของฉันยังไงล่ะ”
“อ้อ หน้าตาสวยดีนะ ทำไมต้องจัดการเธอด้วย ? แถมยังรวดเร็วขนาดนี้อีก ?” ซูซี่กล่าวขึ้นด้วยความขุ่นเคือง
เฉียวซือเหิงจึงกล่าวขึ้นด้วยสีหน้าจริงจัง : “เพราะฉันคิดว่าถึงเวลาแล้วที่เราจะต้องเปลี่ยนวิธีสื่อสารกัน” เขาสาวเท้าเดินเข้ามาพร้อมโอบกอดเธอจากด้านหลัง และสบตากับเธอผ่านกระจก : “เธอคิดว่ายังไงล่ะ ?”
ซูซี่เบี่ยงสายตาหนีจากใบหน้าของเขาทันทีด้วยความเร็วสูง แล้วพูดว่า : “วิธีอะไร ?”
“อย่างเช่นฉันชอบหาผู้หญิงคนอื่นมากระตุ้นเธอ เพื่อเรียกร้องความสนใจมาจากเธอ อย่างเช่นหลังจากที่เธอเห็นฉันอยู่กับผู้หญิงคนอื่นแล้ว ก็จะแสร้งทำเป็นไม่สนใจแล้วเดินหนี จากนั้นก็จะหายไปจากสายตาของฉัน”
ซูซี่หันหน้าไปมองเขา : “นี่คุณกำลังจะชำระล้างมลทินการกระทำตัวเองที่เลี้ยงผู้หญิงด้านนอกงั้นเหรอ ?”
“ไม่ใช่……”
“เฉียวซือเหิง ทั้งที่คุณรู้อยู่แล้วว่าฉันเกลียดที่จะต้องใช้ผู้ชายร่วมกับผู้หญิงคนอื่น คุณยังคบกับฟางมี่นานขนาดนั้นอีก แถมยังทำเธอท้องด้วย” ซูซี่ยิ้มขึ้นอย่างเย็นชา : “ฉันจะบอกคุณให้นะ เรื่องนี้คุณอย่าได้คิดว่าจะชำระล้างจนสะอาดได้ไปทั้งชาติ”
“เวลาที่ฉันกับเขา……อยู่ด้วยกันน้อยมากจริง ๆ”
“ครั้งเดียวก็เพียงพอแล้ว” ซูซี่ขัดขืนออกจากมือสองข้างของเขา พร้อมหันหลังเดินออกจากห้องน้ำไป
เฉียวซือเหิงรีบเดินตามหลังเธอพร้อมกล่าว : “เสี่ยวซี่ ฉันสาบาน ฉันรับรับปากว่าจากนี้ไปนอกจากเธอฉันจะไม่ได้แตะต้องผู้หญิงคนอื่นอีก ตอนนั้น……หลัก ๆ เป็นเพราะได้รับการกระตุ้นจากเธอ พอเสียใจก็ดื่มเข้าไปเยอะ จากนั้นก็……”
“ก็ไปคืนดีกับฟางมี่อย่างนั้นใช่ไหม ?”
“ขอโทษ ตอนนั้นทั้งหัวของฉันคิดแต่อยากเอาคืนความเย็นชาของเธอ ไม่ได้คิดอะไรเยอะ และก็……”
“หยุด !” อยู่ ๆ ซูซี่ก็ยกมือขึ้นมาห้ามปรามเขา : “อย่าพูดเรื่องพวกนี้ต่อหน้าลูก จะส่งผลที่ไม่ดีให้เขา”
เฉียวซือเหิงจึงทำได้เพียงหุบปากเอาไว้
เวลานี้อยู่ ๆ ก็มีเสียงเคาะประตูดังขึ้นหน้าประตู ซูซี่ชะงักไป เธอเพิ่งนึกขึ้นได้ว่าเมื่อคืนนี้เธอได้บอกเหลียนเฟยว่าวันนี้จะย้ายบ้าน ต่อมาสืบเนื่องจากเรื่องของเฉียวซือเหิงทำให้สับสนวุ่นวายใจ จึงลืมบอกเขาไปว่าไม่ต้องมาแล้ว
ยังไม่ทันรอให้เธอคิดหาวิธีว่าต้องทำอย่างไร เฉียวซือเหิงได้หันหลังเดินไปเปิดประตูเรียบร้อยแล้ว
เหลียนเฟยยืนอยู่หน้าประตูเหมือนอย่างที่คิด ทว่ายังมีไป๋มู่ชิงเพิ่มขึ้นมาอีกคนด้วย
เมื่อเห็นเฉียวซือเหิงยืนอยู่ในห้อง ทั้งสองคนที่อยู่นอกประตูต่างก็ตกตะลึงไปทันที ไป๋มู่ชิงเบิกตากว้างอึ้งไป พร้อมมองสำรวจเขาด้วยความรู้สึกคาดไม่ถึง : “เฉียวซือเหิง ? คุณมาอยู่ที่นี่ได้ยังไง ?”
เฉียวซือเหิงส่งยิ้มอ่อนให้เธอ : “ทำไมผมจะอยู่ที่นี่ไม่ได้ ?”
“คุณ……” ไป๋มู่ชิงอ้าปากขึ้น พลางมองไปยังซูซี่และเสี่ยวกว้านที่อยู่ในห้อง คิดในใจว่าเฉียวซือเหิงทราบว่าซูซี่และเสี่ยวกว้านอยู่ที่นี่ตั้งแต่เมื่อไร
เมื่อสักครู่นี้ขณะที่เหลียนเฟยโทรศัพท์มาบอกเธอว่า ซูซี่ต้องการย้ายบ้านอีกแล้วอยากให้เธอมาเกลี้ยกล่อมหน่อย เธอยังคิดอยู่เลยว่าซูซี่กลัวว่าเฉียวซือเหิงจะเจอตัวอีกแล้วใช่หรือไม่ คิดไม่ถึงว่าเฉียวซือเหิงไม่เพียงแต่เจอตัวเธอแล้ว แถมยังมาบ้านของเธอด้วยเช่นนี้
“เสี่ยวซี่ เธอให้เขาเข้าห้องได้ยังไง ?” หลังจากที่เหลียนเฟยจ้องเฉียวซือเหิงตาขเม็งแล้วนั้น จึงพุ่งเข้ามาในห้องพร้อมสอบถามซูซี่
ซูซี่ไม่ทราบควรตอบเขาเช่นไรดี หลังจากที่มองเฉียวซือเหิงแวบหนึ่งแล้วจึงก้มหน้าก้มตาลง
“ลุงเหลียนครับ พ่อผมมาหาผมน่ะสิครับ” เสี่ยวกว้านยิ้มตาหยีขึ้นพูดกับเขา จากนั้นก็หันไปพูดกับไป๋มู่ชิงอีก : “น้ามู่ชิงครับ ผมมีพ่อแล้วนะครับ”
ไป๋มู่ชิงยิ้มแห้งให้กับเขา : “งั้นเหรอคะ ? ยินดีด้วยนะคะเสี่ยวกว้าน”
“นายเนี่ยนะ ทำไมถึงรังควานไม่เลิกแบบนี้ ?” เหลียนเฟยจ้องหน้าเฉียวซือเหิงพร้อมกล่าวด้วยความไม่สบอารมณ์
เฉียวซือเหิงชายตามองเขาด้วยสีหน้านิ่งเรียบ : “คนที่ตามรังควานน่าจะเป็นนายมากกว่ามั้ง ? ไอ้แบ๊วโง่ ?”
“แกเรียกฉันว่าอะไรนะ ?” เหลียนเฟยไม่พอใจ
“ฉันคิดเหมือนกับเสี่ยวซี่ว่านายแอ๊บแบ๊วมากก็เลยเรียกว่าไอ้แบ๊วโง่ยังไงล่ะ” เฉียวซือเหิงกล่าว : “แต่ว่าพูดจริง ๆ นะ ฉันต้องขอบใจนายมากเลย ถ้าเมื่อคืนนี้นายไม่ตะโกนชื่อเสี่ยวกว้านขึ้นมา ตอนนี้ฉันคงไม่รู้ว่าฉันยังมีลูกชายชื่อเสี่ยวกว้านด้วยเป็นแน่”
เหลียนเฟยรู้สึกโมโหและร้อนใจเป็นอย่างยิ่ง เขาคิดไม่ถึงโดยสิ้นเชิงว่าคำพูดที่ตนเองพลั้งปากโพล่งออกมานั้นจะเป็นการทำให้เฉียวซือเหิงมาอยู่ข้างกายซูซี่โดยตรงเช่นนี้ !
เขาหันหน้าไปมองซูซี่ด้วยความรู้สึกโมโห : “ยังจะย้ายบ้านอีกไหม ?”
ซูซี่มองหน้าเฉียวซือเหิงแวบหนึ่งเท่านั้น ไม่ได้กล่าวอันใด ควรบอกว่าเธอไม่มีสิทธิ์ในการพูดเลยถึงจะถูก
“ย้าย” หลังจากผ่านมาชั่วครู่ เฉียวซือเหิงเป็นผู้เอ่ยขึ้นเอง
เหลียนเฟยรู้สึกยินดีขึ้นมา : “จริงเหรอ ?” สีหน้าของเขากลับกลายเป็นเบิกบานขึ้นทันควัน เขาหัวเราะเหอะ ๆ แล้วพูดขึ้นว่า : “ถ้างั้นก็ดี ฉันนึกว่าเสี่ยวซี่จะเปลี่ยนความคิดเสียอีก”
สิ้นเสียงเขาได้หันไปพูดกับเฉียวซือเหิง : “คุณชายเฉียวเป็นนักธุรกิจท่ี่ยิ่งใหญ่จริง ๆ ด้วย ใจเลยกว้างแบบนี้ ถูกต้องแล้ว ลูกผู้ชายไม่ควรไปวนเวียนอยู่กับอดีต แผ่นดินไม่ไร้เท่าใบพุทรา เหตุใดต้องกลับไปกินหญ้าด้วย นายไม่ต้องห่วงนะ เสี่ยวซี่พักอยู่กับฉันจะต้องมีชีวิตที่ดีอย่างแน่นอน ฉันจะต้องดูแลเธอเป็นอย่างดีและจะปฏิบัติกับเสี่ยวกว้านเหมือนลูกชายแท้ ๆ ของตัวเองด้วยเหมือนกัน……”
“นายคิดมากเกินไปแล้ว คุณแบ๊ว” เฉียวซือเหิงกล่าวขึ้นเนิบ ๆ : “เสี่ยวซี่จะต้องย้ายบ้านจริง ๆ แต่ไม่ใช่ย้ายไปที่บ้านนาย แต่ย้ายไปที่บ้านตระกูลเฉียว”
“นายว่าอะไรนะ ?” รอยยิ้มที่กว่าเหลียนเฟยจะฟื้นกลับมา ได้สลายไปชั่วพริบตา
“น่าตกใจมากเลยเหรอ ? เสี่ยวซี่คือผู้หญิงของฉัน เสี่ยวกว้านคือลูกชายของฉัน พวกเขาไม่ควรที่จะกลับบ้านตระกูลเฉียวหรอกเหรอ ?” เฉียวซือเหิงยักคิ้ว
“แต่ว่านายทิ้งเธอแล้วนะ”
“ผิดแล้ว เสี่ยวซี่เป็นคนทิ้งฉันต่างหาก” เฉียวซือเหิงเดินไปอยู่ข้างกายซูซี่ จากนั้นก็โอบไหล่ของเธอ พร้อมจ้องหน้าเหลียนเฟย : “และก็ นายไม่ต้องผิดหวังหรอกนะ ตัวนายน่าจะชัดเจนดีว่าเสี่ยวซี่ไม่เคยชอบนายเลยตั้งแต่แรก นายก็แค่รักข้างเดียวเท่านั้นแหละ”
“เลิกพูดได้แล้ว” ซูซี่หันหน้าไปถลึงตาใส่เฉียวซือเหิง จากนั้นก็หันไปทางเหลียนเฟย แล้วกล่าวขึ้นด้วยความรู้สึกผิด : “เหลียนเฟย ขอโทษนะที่ให้นายมาเสียเวลาเปล่า”
เหลียนเฟยรู้สึกขุ่นมัว เขาจ้องหน้าเธอ : “ถ้าอย่างนั้นก็แสดงว่าเธอตัดสินใจแล้ว ? ตัดสินใจไปคืนดีกับเขาแล้ว ?”
“ไม่ว่าฉันจะคืนดีกับเขาหรือเปล่า แต่เรื่องที่ว่าฉันไม่เคยรักนายเลยเป็นเรื่องจริง ถึงเวลาแล้วที่นายควรตาสว่างสักที” แม้ว่าซูซี่จะรู้สึกลำบากใจ ครั้นยังคงพูดคำพูดเหล่านั้นออกมาอยู่ดี
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: เจ้าสาวอันดับที่เจ็ด
เขียนดี แต่แปลได้สับสน วางบทตอนกระโดดไปกระโดดมา...